พ่อแม่เลี้ยงลูก

ในทุกช่วงชีวิตของลูกน้อย เหล่าคุณพ่อคุณแม่จำเป็นที่จะต้องรู้วิธีดูแลและสนับสนุนสุขภาพโดยรวมของลูกน้อย เพื่อให้ความเป็นอยู่ของลูกน้อยดีขึ้น เพราะฉะนั้นใน พ่อแม่เลี้ยงลูก คุณจะได้พบกับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ รวมถึงเคล็ดลับในการดูแลลูกให้แข็งแรง มีความสุข และสามารถปรับตัวได้ในทุกสถานการณ์

เรื่องเด่นประจำหมวด

พ่อแม่เลี้ยงลูก

โปลิโอ เป็นแล้วรักษาไม่หาย แต่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน

โปลิโอ หรือที่รู้จักกันในชื่อ ไข้ไขสันหลังอักเสบ เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากไวรัสโปลิโอ (Poliovirus) ซึ่งเคยส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพของมนุษย์ในอดีต โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กเล็ก แม้ว่าในปัจจุบันโรคนี้จะลดลงอย่างมากเนื่องจากการพัฒนาวัคซีน แต่ความตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคและการป้องกันยังคงมีความสำคัญ [embed-health-tool-vaccination-tool] โปลิโอ คืออะไร โรคโปลิโอเกิดจากเชื้อไวรัสในตระกูล Picornavirus โดยไวรัสนี้แบ่งเป็น 3 สายพันธุ์หลัก ได้แก่ PV1, PV2 และ PV3 ซึ่งไวรัสสามารถเข้าสู่ร่างกายผ่านการบริโภคน้ำหรืออาหารที่ปนเปื้อน รวมถึงการสัมผัสกับผู้ติดเชื้อโดยตรง เมื่อไวรัสเข้าสู่ร่างกาย มันจะแพร่กระจายในลำไส้และระบบประสาทส่วนกลาง ทำลายเซลล์ประสาทที่ควบคุมการเคลื่อนไหว ส่งผลให้เกิดภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรงหรืออัมพาต การแพร่กระจายของโรค โรคโปลิโอแพร่กระจายได้ง่ายในพื้นที่ที่มีการสุขาภิบาลไม่ดี โดยเชื้อไวรัสจะถูกขับออกจากร่างกายผู้ติดเชื้อผ่านทางอุจจาระ แล้วปนเปื้อนในน้ำหรืออาหาร นอกจากนี้ การสัมผัสใกล้ชิด เช่น การสัมผัสมือหรือของใช้ส่วนตัวที่มีเชื้อไวรัสอยู่ ก็เป็นอีกเส้นทางที่โรคสามารถแพร่กระจายได้ กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงคือเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี และผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนครบถ้วน อาการของโรคโปลิโอ โรคโปลิโอมีลักษณะอาการหลากหลาย ตั้งแต่ไม่มีอาการไปจนถึงอัมพาตรุนแรง ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ (70-90%) ไม่มีอาการ แต่สามารถแพร่เชื้อได้ อาการเบื้องต้น รวมถึงไข้ต่ำ อ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อ และคลื่นไส้ อาการรุนแรง ได้แก่ อัมพาตของแขนขา หรือในบางกรณีเชื้อไวรัสอาจทำลายระบบประสาทที่ควบคุมการหายใจ ส่งผลให้เสียชีวิต สำหรับบางคนที่เคยติดเชื้อ อาจเกิดภาวะ กลุ่มอาการหลังโปลิโอ (Post-Polio Syndrome) ในระยะเวลาหลายปีหลังจากการติดเชื้อ ซึ่งทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงและปวดกล้ามเนื้อ การป้องกันด้วยวัคซีน ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาโรคโปลิโอเฉพาะเจาะจง การป้องกันที่ดีที่สุดคือการรับวัคซีน […]

หมวดหมู่ พ่อแม่เลี้ยงลูก เพิ่มเติม

สำรวจ พ่อแม่เลี้ยงลูก

พ่อแม่เลี้ยงลูก

พ่อแม่ติดเหล้า ส่งผลกับลูกอย่างไรบ้าง

พ่อแม่ติดเหล้า คือ ปัญหาครอบครัวพบได้มากและอาจส่งผลไปยังปัญหาอื่น ๆ เช่น การทำร้ายร่างกาย ความรุนแรงในครอบครัว จนอาจบั่นทอนสุขภาพจิตของคนในครอบครัวโดยเฉพาะกับลูก เนื่องจากครอบครัวเป็นสถาบันพื้นฐานแรกที่สำคัญ ซึ่งเปรียบเสมือนโรงเรียนแห่งแรกที่คอยสั่งสอน แนะนำวิธีการดำรงชีวิต ปลูกฝังความคิด และพฤติกรรมต่าง ๆ ให้กับเด็ก อาการของพ่อแม่ติดเหล้า ที่อาจนำไปสู่โรคพิษสุราเรื้อรัง สำหรับอาการที่อาจทำให้สังเกตได้ว่าพ่อแม่ติดเหล้าอาจมีดังนี้ ดื่มเหล้าคนเดียวเป็นประจำ ดื่มเหล้าหนักและบ่อยขึ้น ดื่มเหล้าจนหมดสติ บางครั้งอาจจำเหตุการณ์ช่วงเวลากินเหล้าไม่ได้ พยายามเลิกเหล้าแต่ล้มเหลว อารมณ์ไม่คงที่ หงุดหงิดง่าย ดื่มเหล้ามากจนป่วย และกระทบต่อการใช้ชีวิต การทำงาน การเงิน ความสัมพันธ์ส่วนตัว ล้มเลิกความตั้งใจในการทำกิจกรรมหรืองานอดิเรก และหันมาดื่มเหล้าแทน มีความต้องการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตลอดเวลา ชอบเก็บเหล้าไว้ใกล้ตัว เช่น ใต้เตียง ลิ้นชักโต๊ะทำงาน พ่อแม่ติดเหล้า ส่งผลกระทบกับลูกอย่างไร หากคุณพ่อหรือคุณแม่คนใดคนหนึ่งติดเหล้าหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อาจเสี่ยงต่อการใช้ความรุนแรงจากการขาดสติของฤทธิ์แอลกอฮอล์ ขาดความสนใจลูก จนอาจส่งผลให้เด็กรู้สึกเครียด อับอาย และอาจก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรมและอารมณ์ ดังนี้  เด็กเล็กและเด็กวัยเรียน กลัวการถูกทอดทิ้ง ฝันร้ายเป็นประจำ ร้องไห้ ปัสสาวะรดที่นอน  เด็กโตและเด็กวัยรุ่น มีปัญหาด้านการเรียน เสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง ต้องคอยถามการตัดสินใจจากผู้อื่น ใช้ความรุนแรงทั้งทางพฤติกรรมและคำพูด เช่น พูดจาก้าวร้าว อาจติดเหล้าเหมือนผู้ปกครองตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น […]


สุขภาพเด็ก

มลพิษทางอากาศ ส่งผลต่อสุขภาพเด็ก ได้อย่างไรบ้าง

มลพิษทางอากาศ อาจ ส่งผลต่อสุขภาพของเด็ก และพัฒนาการต่าง ๆ เช่น ปอด สมอง การเรียนรู้ เนื่องจาก เด็กเป็นวัยที่เสี่ยงต่อมลพิษทางอากาศมากกว่าวัยอื่น ๆ และปอดของเด็กกำลังเติบโตและหายใจรับอากาศเข้าไปได้มาก ดังนั้น การป้องกันเด็กจากมลพิษทางอากาศ จึงเป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรใส่ใจ เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงและพัฒนาการที่ดีของเด็ก มลพิษทางอากาศ ส่งผลต่อสุขภาพเด็ก อย่างไร มลพิษทางอากาศอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพเด็ก ในด้านต่าง ๆ ดังนี้ อาจส่งผลต่อการทำงานของปอด เด็กอาศัยอยู่ภายในบริเวณ 100 เมตรจากถนนสายสำคัญที่มีมลพิษทางอากาศต่าง ๆ เช่น ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ควันจากท่อไอเสีย อาจทำให้การทำงานของปอดแย่กว่าเด็กที่อาศัยอยู่ห่างจากถนนสายสำคัญออกไป 400 เมตรหรือมากกว่า อาจทำให้เกิดภาวะคลอดก่อนกำหนด มลพิษทางอากาศ ฝุ่นละออง อาจส่งผลต่อทารกที่อยู่ในครรภ์ ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสี่ยงในการเกิดภาวะคลอดก่อนกำหนด นอกจากนี้ การคลอดก่อนกำหนดยังอาจเกิดขึ้นได้บ่อยในเวลาที่เกิดมลพิษ อาจส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของปอด เด็กที่เติบโตในพื้นที่ที่มีมลพิษทางอากาศมากอาจมีความเสี่ยงที่ปอดจะเจริญเติบโตได้ลดลง ทั้งยังอาจทำให้ปอไม่สามารถกลับคืนสภาพเดิมได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งผลกระทบของมลพิษทางอากาศอาจเทียบได้กับผลกระทบที่เกิดขึ้นในเด็กที่เติบโตในบ้านที่มีผู้ปกครองที่สูบบุหรี่ ผลกระทบอื่น ๆ ต่อสุขภาพเด็ก ปอดของเด็กยังคงพัฒนา ดังนั้น การสูดดมมลพิษทางอากาศเข้าไปมาก ๆ อาจส่งผลกระทบต่อการพัฒนาของปอดได้ สมองของเด็ก ๆ […]


เลี้ยงลูกด้วยนมแม่

ท่าให้นม ท่าไหนดีที่เหมาะสมทั้งคุณแม่และลูกน้อย

ท่าให้นม เป็นท่านั่งสำหรับคุณแม่ที่ต้องเน้นลักษณะท่าทางที่ผ่อนคลาย เนื่องจากเป็นการนั่งที่อาจต้องใช้เวลานาน หากนั่งผิดท่านอกจากจะไม่สบายตัวแล้ว อาจส่งผลต่อสุขภาพหลังและสุขภาพด้านอื่น ๆ ในระยะยาว ดังนั้น คุณแม่จึงควรเลือกท่าให้นมที่เหมาะสมกับสรีระ รวมทั้งต้องคำนึงถึงท่าทางการดื่มนมของลูกน้อยด้วย เพื่อลูกจะได้ดื่มนมอย่างถูกวิธีไม่เกิดปัญหาการสำลัก แก๊สในกระเพาะอาหาร หรือปัญหาอื่น ๆ ตามมา [embed-health-tool-due-date] ท่าให้นมที่เหมาะสมสำหรับคุณแม่ 1. ท่าลูกนอนขวางตัก (Cradle Hold) ท่านี้เป็นท่าให้นมที่พบมากที่สุด โดยคุณแม่จะนั่งตัวตรง หลังพิงเก้าอี้หรือหมอนตามความถนัด ร่วมกับการงอแขนแล้วประคองตัวลูก โดยให้ศีรษะของลูกวางอยู่ที่ด้านในของข้อศอก ใช้ฝ่ามือของแขนข้างเดียวกัน ประคองก้นของลูกเอาไว้ ให้ลำตัวของลูกหันเข้ามาลำตัวของแม่ ซึ่งหน้าท้องของเด็กต้องอยู่แนบกับหน้าท้องของแม่ จากนั้นยกลูกขึ้นหาเต้านม โดยใช้มืออีกข้างหนึ่งเพื่อจับเต้านม เพื่อให้หัวนมอยู่ในตำแหน่งที่พอดีกับปากของลูก เพื่อให้ลูกอมหัวนมได้ง่ายขึ้น 2. ท่าลูกนอนขวางตักแบบประยุกต์ (Cross-cradle hold) ท่านี้คล้ายกับท่าลูกนอนขวางตัก แต่การวางตำแหน่งแขนจะต่างกัน นั่นคือให้ใช้แขนข้างที่ถนัดโอบด้านหลังลูก แล้วใช้มือข้างนั้นประคองศีรษะลูกเอาไว้ พร้อมกับหันตัวลูกเข้าหาลำตัวของแม่ โดยหน้าท้องของเด็ก และแม่อาจต้องแนบชิดกัน หรือหากไม่ถนัด อาจใช้หมอนรองแขน เพื่อช่วยยกตัวลูกให้อยู่ในระดับที่ใกล้กับหัวนมมากขึ้น แล้วใช้มืออีกด้านหนึ่งประคองเต้านมเอาไว้ เพื่อช่วยให้ลูกน้อยอมหัวนมได้ถนัดขึ้น 3. ท่าอุ้มฟุตบอล (Football Hold) ถือได้ว่าเป็นอีกท่าที่เหมาะสำหรับแม่ที่คลอดลูกด้วยการผ่าท้องคลอด หรือแม่ที่มีขนาดหน้าอกค่อนข้างใหญ่ ท่านี้ลำตัวส่วนล่างของเด็กจะถูกหนีบอยู่ใต้แขนของแม่ คล้ายกับการล็อคลำตัวของเด็กไว้ไม่ให้เคลื่อนขณะให้นม จากนั้นแม่จะใช้มือข้างเดียวกันประคองศีรษะของเด็กเอาไว้ และหันหน้าเด็กเขาหาเต้านม พร้อมนำอีกมือหนึ่งของแม่ประคองเต้านมไว้ร่วม เพื่อให้ลูกดื่มนมจากเต้าคุณแม่ได้ถนัดขึ้น 4. ท่าตะแคงข้าง […]


โรคเด็กและอาการทั่วไป

โรคไอกรน (Whooping cough) อาการ สาเหตุ และการรักษา

โรคไอกรน เป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจที่รุนแรงในจมูกและลำคอ ในกรณีส่วนใหญ่ โรคนี้สังเกตได้จากอาการไอแค็ก ๆ ตามด้วยการเกิดเสียงแหลมดังขึ้นขณะหายใจเข้า [embed-health-tool-bmi] คำจำกัดความ โรคไอกรนคืออะไร โรคไอกรน (Whooping cough) หรือ Pertussis จัดเป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจที่รุนแรงในจมูกและลำคอ ในกรณีส่วนใหญ่ โรคนี้สังเกตได้จากอาการไอแค็ก ๆ ตามด้วยการเกิดเสียงแหลมดังขึ้นขณะหายใจเข้า โรคไอกรนสามารถแพร่กระจายได้ง่าย แต่สามารถป้องกันได้โดยการฉีดวัคซีน DTaP และวัคซีน Tdap ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ โรคไอกรนพบบ่อยเพียงใด โรคไอกรนพบในทารกและเด็กมากกว่าวัยผู้ใหญ่ แต่สามารถส่งผลต่อผู้ป่วยได้ทุกวัย สามารถจัดการได้โดยลดความเสี่ยง โปรดปรึกษาแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม อาการ อาการของโรคไอกรน ระยะเวลาแสดงอาการของโรคมักอยู่ที่ประมาณ 10 วันหลังจากได้รับเชื้อ โดยสิ่งบ่งชี้และอาการทั่วไปของไอกรนในระยะเริ่มแรกมักไม่รุนแรงและคล้ายคลึงกับอาการหวัดโดยทั่วไป เช่น น้ำมูกไหล คัดจมูก ตาแดงและน้ำตาไหล มีไข้ ไอ หลังจาก 1-2 สัปดาห์ผ่านไป สิ่งบ่งชี้และอาการจะเริ่มแย่ลง โดยจะมีอาการไอรุนแรงและเป็นเวลานาน ซึ่งก่อให้เกิดอาการร่วมต่างๆ ดังนี้ อาเจียน ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงหรือเขียวคล้ำ อ่อนเพลียมาก หายใจแล้วมีเสียงแหลมเกิดขึ้น อาจไม่พบอาการไอในทารกที่เป็นโรคไอกรน แต่อาจมีปัญหาเกี่ยวกับการหายใจหรืออาจหยุดหายใจชั่วคราว อาจมีสิ่งบ่งชี้หรืออาการบางประการที่ไม่ได้กล่าวถึงข้างต้น หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับอาการ โปรดปรึกษาแพทย์ ควรไปพบหมอเมื่อใด ควรไปพบหมอหากมีอาการใดๆ ดังต่อไปนี้ อาเจียน ผิวหนังเปลี่ยนเป็นสีแดงหรือเขียว หายใจลำบากหรือหยุดหายใจอย่างสังเกตได้ หายใจเข้าแล้วมีเสียงดัง สาเหตุ สาเหตุของโรคไอกรน แบคทีเรียเป็นสาเหตุของโรคไอกรน โดยเมื่อสัมผัสกับผู้ติดเชื้อหรืออยู่ใกล้ผู้ติดเชื้อที่ไอหรือจาม แล้วอาจหายใจเอาละอองขนาดเล็กที่มีเชื้อที่แพร่กระจายในอากาศเข้าสู่ปอด ปัจจัยเสี่ยง ปัจจัยเสี่ยงของโรคไอกรน มีปัจจัยเสี่ยงหลายประการที่ทำให้เกิดโรคไอกรน เช่น วัคซีนไอกรนที่ได้รับในวัยเด็กหมดฤทธิ์ไป […]


ปัญหาระบบย่อยอาหารในเด็ก

ลูกท้องผูก สาเหตุ อาการ วิธีรับมือ

ลูกท้องผูก เป็นปัญหาที่คุณพ่อคุณแม่รู้สึกกังวลใจ เพราะบางครั้งไม่สามารถช่วยเหลือลูกน้อยได้ โดยส่วนใหญ่เด็กที่มีอาการท้องผูกมักขับถ่ายได้น้อยหรือมีอุจจาระแข็งและแห้ง โดยขับถ่ายน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์  และมีอาการปวดขณะขับถ่าย แต่อาจมีอาการอื่นที่คุณพ่อคุณแม่ต้องคอยสังเกตด้วยเช่นกัน คำจำกัดความลูกท้องผูก คืออะไร ลูกท้องผูก (Constipation in children) เป็นปัญหาที่พบได้ทั่วไป เด็กที่มีอาการท้องผูกมักขับถ่ายได้น้อยหรือมีอุจจาระแข็งและแห้ง ลูกท้องผูก พบบ่อยเพียงใด ท้องผูกพบได้ทั่วไปในเด็ก โปรดปรึกษาแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม อาการ อาการลูกท้องผูก เป็นอย่างไร อาการทั่วไป ได้แก่ ขับถ่ายน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ อุจจาระแข็ง แห้ง และถ่ายยาก อุจจาระมีเส้นผ่าศูนย์กลางขนาดใหญ่มาก มีอาการปวดขณะขับถ่าย ปวดท้อง มีร่องรอยอุจจาระเหลวหรือคล้ายดินเหนียว ในกางเกงชั้นในของเด็ก ซึ่งเป็นสิ่งบ่งชี้ว่า อุจจาระไหลย้อนกลับเข้าไปในทวารหนัก อุจจาระแข็งและมีรอยเลือดปน อาจมีสิ่งบ่งชี้หรืออาการบางประการที่ไม่ได้กล่าวถึงข้างต้น หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับอาการ โปรดปรึกษาแพทย์ ควรไปพบหมอเมื่อใด ควรปรึกษาแพทย์หากมีอาการท้องผูกมากกว่า 2 สัปดาห์ หรือเกิดขึ้นร่วมกับอาการดังต่อไปนี้ อาการไข้ อาเจียน เลือดปนในอุจจาระ ท้องบวม น้ำหนักลด มีบาดแผลบริเวณผิวหนังโดยรอบทวารหนัก ลำไส้ยื่นออกมาจากทวารหนัก สาเหตุสาเหตุลูกท้องผูก สาเหตุที่ลูกท้องผูกที่พบได้มากที่สุด คือ การที่อุจจาระเคลื่อนที่ผ่านทางทางเดินอาหารช้ากว่าปกติ ทำให้อุจจาระแข็งและแห้ง และยังมีปัจจัยอีกหลายประการที่ทำให้ลูกท้องผูก ซึ่งได้แก่ การกลั้นอุจจาระ เด็กอาจไม่ยอมถ่ายอุจจาระเนื่องจากกลัวโถส้วมหรืออยากเล่นต่อ เด็กบางคนมักกลั้นอุจจาระเมื่ออยู่นอกบ้านเนื่องจากไม่สะดวกที่จะเข้าห้องน้ำสาธารณะ การขับถ่ายอุจจาระขนาดใหญ่และแข็งทำให้เด็กรู้สึกเจ็บ และยังอาจมักกลั้นอุจจาระไว้ เมื่อรู้สึกเจ็บเวลาขับถ่าย เด็กก็จะพยายามกลั้นอุจจาระไว้ เพราะไม่อยากเจ็บซ้ำอีก การฝึกการเข้าห้องน้ำ หากเด็กเพิ่งเริ่มฝึกการเข้าห้องน้ำ อาจจะยังขัดขืนและกลั้นอุจจาระไว้ หากเด็กรู้สึกว่าถูกบังคับให้เข้าห้องน้ำจะสร้างนิสัยการขับถ่ายที่ไม่ดีและจะเปลี่ยนแปลงได้ยาก การเปลี่ยนแปลงอาหารที่รับประทาน หากเด็กไม่รับประทานผักและผลไม้ที่มีกากใยและดื่มน้ำอย่างเพียงพอ ก็ทำให้เกิดอาการท้องผูกได้ นอกจากนี้ การที่เด็กในวัยหนึ่งเปลี่ยนจากการกินอาหารเหลวทั้งหมดมาเป็นอาหารแข็ง ก็มีส่วนทำให้เกิดอาการท้องผูกได้เช่นกัน การเปลี่ยนแปลงกิจวัตรประจำวัน การเปลี่ยนแปลงใดๆ เกี่ยวกับกิจวัตรประจำวันของเด็ก เช่น การเดินทาง […]


ความผิดปกติทางพัฒนาการและพฤติกรรม

โรคดื้อต่อต้าน ในเด็กและวัยรุ่น มีวิธีสังเกตและรับมืออย่างไร

โรคดื้อต่อต้าน เป็นภาวะผิดปกติทางพฤติกรรมที่มักพบในเด็กที่เริ่มโต หรือวัยรุ่น เด็กมักแสดงพฤติกรรมก้าวร้าว  เอาแต่ใจ พูดไม่ฟัง ชอบสร้างความขัดแย้ง หาเรื่องผู้อื่น จนสร้างปัญหาให้ตัวเองและผู้คนรอบข้าง โรคนี้เป็นโรคทางพฤติกรรมที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาที่เหมาะสมโดยเร็ว เพราะหากปล่อยไว้ อาจนำไปสู่พฤติกรรมที่อาจเป็นอันตรายถึงถึงชีวิต และส่งผลต่อการใช้ชีวิตในสังคมได้ [embed-health-tool-vaccination-tool] โรคดื้อต่อต้าน คืออะไร โรคดื้อต่อต้าน (Oppositional Defiant Disorder หรือ ODD) คือ ความผิดปกติทางพฤติกรรมที่เริ่มต้นในช่วงวัยเด็กหรือวัยรุ่น เด็กที่เป็นโรคนี้จะแสดงพฤติกรรมต่อต้าน เมินเฉย ไม่เชื่อฟัง ไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งหรือคำร้องขอจากผู้อื่น เพราะคิดว่าคำสั่งหรือคำขอเหล่านั้นไร้เหตุผล จึงรู้สึกโมโห และแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวออกมา โดยเด็กที่เป็นโรคดื้อต่อต้านมักจะมีอาการของโรคสมาธิสั้น โรควิตกกังวล และโรคซึมเศร้าร่วมด้วย การที่เด็กดื้อรั้น หรือไม่เชื่อฟังผู้ใหญ่บ้างบางครั้งนับเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะเมื่อเด็กรู้สึกเหนื่อย อารมณ์เสีย หรือไม่ได้ดั่งใจ แต่เด็กที่เป็นโรคดื้อต่อต้าน จะแสดงพฤติกรรมเหล่านี้เป็นประจำ และพฤติกรรมจะรุนแรงขึ้น จนเป็นปัญหารบกวนการใช้ชีวิตประจำวันของเด็กและผู้คนรอบข้าง ปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคดื้อต่อต้านมีทั้งปัจจัยทางชีวภาพ จิตใจ และสังคม เช่น กรรมพันธุ์ ความขัดแย้งภายในครอบครัว พ่อแม่หย่าร้าง การใช้ความรุนแรงในครอบครัว คนในครอบครัวมีประวัติป่วยเป็นโรคทางจิตเวช ครอบครัวมีผู้ติดยาเสพติดหรือแอลกอฮอล์ การเลี้ยงลูกผิดวิธี การถูกรังแกหรือถูกละเลย ครอบครัวมีฐานะยากจน หรือมีปัญหาทางการเงิน พฤติกรรมแบบใดเข้าข่ายเป็นโรคดื้อต่อต้าน หากเด็กมีอาการเหล่านี้เป็นเวลานานกว่า 6 เดือน อาจเข้าข่ายเป็นโรคดื้อต่อต้าน สัญญาณทางความคิด […]


การเติบโตและพัฒนาการ

การละเล่น แบบไหน ถึงจะเหมาะสมสำหรับวัยเด็ก

การละเล่น ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ความสนุกสนานสำหรับเด็กเท่านั้น แต่ การเล่นสำหรับเด็ก ยังเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งในการเจริญเติบโตของเด็กและพัฒนาการด้านต่างๆ ซึ่งการเล่นที่เหมาะสมกับวัยแต่ละช่วงอายุของเด็ก จะช่วยในการพัฒนาทักษะของเด็กในหลายๆด้าน และนี่คือรายละเอียดที่พ่อแม่ควรรู้เกี่ยวกับ การละเล่น สำหรับวัยเด็ก [embed-health-tool-vaccination-tool] การละเล่น สำคัญอย่างไร การเล่นเป็นกิจกรรมที่คู่กับเด็กทุกคน เพราะลักษณะนิสัยของเด็กส่วนใหญ่จะสนใจสิ่งรอบข้าง อยากรู้อยากเห็น และอยากเรียนรู้สิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบข้างตลอดเวลา การเล่นจึงช่วยพัฒนาทักษะของเด็กในหลายๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมจินตนาการ ความคิด การเคลื่อนไหวร่างกาย ความคล่องแคล่ว และสติปัญญาในการแก้ปัญหา หรือแม้กระทั่งการฝึกเรื่องทักษะทางด้านอารมณ์ เช่น การเล่นบางชนิดสามารถฝึกเรื่องความอดทนได้อีกด้วย ดังนั้นเพื่อให้การเล่นของเด็ก ช่วยในการพัฒนาเด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น พ่อแม่ก็ควรเลือกวิธีการเล่นหรือของเล่น ให้เหมาะสมกับอายุของลูกด้วย เพราะจะสามารถช่วยพัฒนาการเจริญเติบโตทั้งทางด้านร่างกายและทักษะอื่นๆ ไปพร้อมกัน การละเล่น ที่เหมาะสมกับเด็กแต่ละช่วงอายุ อายุ 1-3 เดือน เด็กวัยนี้เริ่มเคลื่อนไหวร่างกายได้ เช่น การเคลื่อนไหวของแขนและขา สองข้างเริ่มเคลื่อนไหวได้เท่ากัน เริ่มจ้องมอง และเคลื่อนสายตาตามวัตถุนั้นๆ เริ่มคว้าสิ่งของต่างๆ ซึ่งอาจจะคว้าได้บ้างไม่ได้บ้าง เพราะการประสานงานระหว่างกล้ามเนื้อตาและมือยังไม่สมบูรณ์ดี ดังนั้น เด็กในช่วงอายุ 1- 3 เดือน จึงเหมาะกับของเล่นจำพวก โมบายหมุนได้สีสันสดใส เพื่อพัฒนาสายตาและการมองเห็น นอกจากนี้พ่อแม่ควรอุ้ม สัมผัสและพูดคุย เพราะเป็นการพัฒนาการตอบสนองไปในตัว เนื่องจากเด็กวัยนี้จะเริ่มตอบสนองต่อสิ่งที่เห็นและได้ยิน อายุ 4-5 เดือน เด็กวัยนี้เริ่มจำวัตถุและบุคคลใกล้ชิดได้ คอแข็ง พลิกตัวหมุนตัวได้ […]


โรคเด็กและอาการทั่วไป

ธาลัสซีเมียในเด็ก อาการ สาเหตุ วิธีรักษาและป้องกัน

ธาลัสซีเมียในเด็ก เป็นโรคเลือดที่เกิดจากการสร้างฮีโมโกลบินของร่างกายผิดปกติ ธาลัสซีเมียมีหลายประเภท บางชนิดไม่แสดงอาการใดๆ ในขณะที่ชนิดอื่นอาจทำให้เสียชีวิต หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที [embed-health-tool-vaccination-tool] ธาลัสซีเมียในเด็ก คืออะไร ธาลัสซีเมีย (Thalassemia) เป็นโรคเกี่ยวกับเลือด ที่เกิดจากการสร้างฮีโมโกลบินของร่างกายผิดปกติ หากลูกน้อยเป็นธาลัสซีเมีย จะมีระดับฮีโมโกลบิน และเซลล์เม็ดเลือดแดงในร่างกายน้อยกว่าปกติ โรคนี้พบได้มากที่สุดในเด็กที่สืบเชื้อสายมาจากประเทศในแถบเมดิเตอร์เรเนียน แอฟริกา และเอเชีย ธาลัสซีเมียมีหลายประเภท บางชนิดไม่แสดงอาการใด ๆ ในขณะที่ชนิดอื่นอาจทำให้เสียชีวิต หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาการของธาลัสซีเมียในเด็ก หากลูกน้อยเป็นธาลัสซีเมีย อาจมีอาการดังนี้ อ่อนเพลีย หมดแรง ผิวซีด กระดูกใบหน้าผิดรูป การเจริญเติบโตช้า ปัสสาวะมีสีเข้ม ท้องบวม สาเหตุของธาลัสซีเมียในเด็ก ธาลัสซีเมียเกิดจากยีนที่ทำหน้าที่สร้างฮีโมโกลบินมีความบกพร่อง เด็กอาจได้รับการถ่ายทอดยีนดังกล่าวจากพ่อหรือแม่ หรือทั้งสองคน หากทั้งพ่อและแม่มียีนบกพร่อง ทารกจะมีอาการอยู่ในระดับธาลัสซีเมียใหญ่ หรือ ธาลัสซีเมียชนิดรุนแรง (Thalassemia Major) เมื่อมียีนผิดปกติถ่ายทอดมาจากพ่อหรือแม่ หรือจากทั้งสองคน หากทารกมีอาการอยู่ในระดับธาลัสซีเมียน้อย หรือ ธาลัสซีเมียไมเนอร์ (Thalassemia minor) แล้ว ทารกจะเป็นเพียงพาหะของยีนบกพร่อง การรักษาธาลัสซีเมียในเด็ก คุณหมอจะพิจารณาสัญญาณบ่งชี้และอาการ และทดสอบเลือด เพื่อยืนยันอาการผ่านการทดสอบต่างๆ ได้แก่ การตรวจตัวอย่างรกเด็ก การเจาะตรวจน้ำคร่ำ และการตรวจตัวอย่างเลือดทารกในครรภ์ ผู้ป่วยในระดับธาลัสซีเมียน้อย ไม่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษา ในขณะที่ผู้ป่วยในระดับธาลัสซีเมียใหญ่ ต้องเข้ารับการถ่ายเลือดเป็นประจำทุกเดือน […]


การเติบโตและพัฒนาการ

เด็กถูกเพื่อนล้อว่าอ้วน คุณพ่อคุณแม่ช่วยได้อย่างไรบ้าง

เด็กถูกเพื่อนล้อว่าอ้วน เป็นหนึ่งในปัญหาที่พบได้บ่อย ที่อาจเริ่มต้นตั้งแต่ในชั้นวัยอนุบาล ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตของเด็กเป็นอย่างมาก ทำให้เด็กขาดความมั่นใจ เกิดความเครียด ทำให้เด็กไม่มีความสุข รวมถึงอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายเนื่องจากปัญหาความเครียดสะสมได้ ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่จึงควรหาวิธีการรับมือเมื่อเด็กถูกเพื่อนล้อ รวมถึงหาทางแก้ไขปัญหาโรคอ้วนในเด็ก เพื่อสุขภาพของเด็กที่ดีขึ้น [embed-health-tool-vaccination-tool] เด็กถูกเพื่อนล้อว่าอ้วน คุณพ่อคุณแม่รับมืออย่างไรดี คุณพ่อคุณแม่สามารถรับมือกับกรณีที่ลูกโดนล้อเรื่องน้ำหนักตัวได้ ดังนี้ สนับสนุนให้ลูกบอกผู้ใหญ่ เช่น บอกคุณครูที่โรงเรียน สอนให้ลูกตั้งสติ เดินหนี และไม่โต้ตอบกับการโดนล้อเลียน อย่าลืมดูคอมพิวเตอร์ และโทรศัพท์ของลูก เนื่องจากการโดนล้อเรื่องรูปร่างผ่านโซเชียลมีเดีย สามารถสร้างความเจ็บปวดให้เด็กๆ ได้เช่นกัน ผู้ปกครองควรใส่ใจการกลั่นแกล้งทางโซเชียลมีเดีย (Cyber-bullying) ด้วย ให้ลูกเข้าร่วมกิจกรรมนอกโรงเรียน เพื่อให้มีกลุ่มเพื่อนกลุ่มอื่นนอกจากเพื่อนในโรงเรียน ใช้เวลาอยู่กับลูกให้มาก เช่น ทำกิจกรรมร่วมกันทั้งครอบครัวในวันหยุดสุดสัปดาห์ เป็นผู้ฟังที่ดี โดยเวลาที่เด็กอยากเล่าเรื่องที่โรงเรียนให้ฟัง ผู้ปกครองควรหยุดฟังอย่างตั้งใจ โดยไม่แสดงความคิดเห็นจนกระทั่งเขาเล่าเรื่องทั้งหมดจนจบ และควรสบตากับเด็กขณะที่เขากำลังเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น อย่าล้อเลียนเพื่อหวังให้เด็กลดน้ำหนัก ถ้าเพื่อนหรือสมาชิกในครอบครัวล้อเลียนหรือแกล้งเด็กที่มีน้ำหนักเกิน เพื่อหวังให้เด็กๆ เปลี่ยนแปลงตัวเอง ถือเป็นความเข้าใจผิด เนื่องจากการล้อเลียนหรือกลั่นแกล้ง ไม่สามารถช่วยให้เด็กลดความอ้วนได้ ชวนลูกทำกิจกรรมร่วมกับครอบครัว ในกรณีที่ลูกเริ่มไม่เข้าสังคม และอยู่คนเดียวบ่อยๆ ผู้ปกครองอาจช่วยให้เขาเข้าสังคมมากขึ้น ด้วยการพาลูกไปทำกิจกรรมกับครอบครัวในช่วงเวลาหลังเลิกเรียน นอกจากนี้ยังอาจใช้วิธีการพูดคุยกับลูก โดยคุณพ่อคุณแม่ควรอธิบายให้เด็กฟังว่า การกลั่นแกล้ง ล้อเลียน และการรังแกถือเป็นเรื่องไม่ดี และอาจถามความคิดเห็นของลูก […]


การเติบโตและพัฒนาการ

สไตล์การเรียนรู้ คืออะไร สำคัญอย่างไรต่อเด็ก ๆ

เด็กแต่ละคนจะมีวิธีการเรียนรู้ที่แตกต่างกันไป คุณพ่อคุณแม่ สไตล์การเรียนรู้ (Learning Style) หรือรูปแบบการเรียนรู้ของเด็ก ๆ เพราะมีส่วนช่วยในการส่งเสริมพัฒนาการด้านการศึกษาของเด็กได้ และในบางกรณีอาจมีส่วนช่วยแก้ไขภาวะบกพร่องด้านต่าง ๆ เช่น ภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ (Learning Disabilities หรือ LD)  โรคสมาธิสั้น (Attention deficit hyperactivity disorder หรือ ADHD) [embed-health-tool-vaccination-tool] สไตล์การเรียนรู้ คืออะไร รูปแบบการเรียนรู้แบ่งเป็น 4 ประเภท ได้แก่ การฟัง (Auditory) การเคลื่อนไหวร่างกาย (Kinesthetic) การสัมผัส (Tactual) และการมองเห็น (Visual) คุณพ่อคุณแม่ควรเริ่มประเมินรูปแบบการเรียนรู้ของเด็ก เมื่ออายุ 6-7 ปี และรูปแบบการเรียนรู้จะเริ่มตกผลึกจริง ๆ เมื่อเข้าสู่การเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น นอกจากนี้ วิธีการสอนวิธีเดียวอาจไม่ได้ผลสำหรับเด็กทุกคน หรือแม้แต่กับเด็กส่วนใหญ่ ความตระหนักของผู้สอนเกี่ยวกับสไตล์การเรียนรู้ที่หลากหลาย และความพยายามที่จะปรับเรียนการสอนให้เข้ากับสไตล์การเรียนรู้ของเด็ก ๆ  อาจช่วยในการสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ ที่มีประสิทธิภาพสำหรับเด็กทุกคนได้ดีกว่า นอกจากนั้น คุณพ่อคุณแม่สามารถสังเกตสไตล์การเรียนรู้ของเด็ก ๆ ได้ ดังต่อไปนี้ สไตล์การเรียนรู้ 4 […]

ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา

กำลังมองหาเรื่องราวในการเลี้ยงดูบุตรใช่หรือไม่?

เข้าร่วมชุมชนการเลี้ยงดูบุตรและแลกเปลี่ยนข้อมูลกับคุณแม่และคุณพ่อคนอื่น ๆ เข้าร่วมชุมชนได้เลย!





ad iconโฆษณา

ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของเรา

ทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของ Hello คุณหมอ ประกอบไปด้วยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มาร่วมสร้างสรรค์บทความในเว็บไซต์ของเราตามความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญของเราจะช่วยรับรองว่าข้อมูลด้านสุขภาพของเราถูกต้อง เป็นปัจจุบัน และตรงตามหลักฐานจากงานวิจัยล่าสุด
ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรามุ่งมั่นเต็มที่ในการช่วยให้คุณได้รับข้อมูลและความรู้ด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือ เข้าใจง่าย และเป็นประโยชน์ และพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพกับคุณเสมอ เพื่อให้คุณได้รับทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น

ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ชุมชน