พ่อแม่เลี้ยงลูก

ในทุกช่วงชีวิตของลูกน้อย เหล่าคุณพ่อคุณแม่จำเป็นที่จะต้องรู้วิธีดูแลและสนับสนุนสุขภาพโดยรวมของลูกน้อย เพื่อให้ความเป็นอยู่ของลูกน้อยดีขึ้น เพราะฉะนั้นใน พ่อแม่เลี้ยงลูก คุณจะได้พบกับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ รวมถึงเคล็ดลับในการดูแลลูกให้แข็งแรง มีความสุข และสามารถปรับตัวได้ในทุกสถานการณ์

เรื่องเด่นประจำหมวด

พ่อแม่เลี้ยงลูก

โปลิโอ เป็นแล้วรักษาไม่หาย แต่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน

โปลิโอ หรือที่รู้จักกันในชื่อ ไข้ไขสันหลังอักเสบ เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากไวรัสโปลิโอ (Poliovirus) ซึ่งเคยส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพของมนุษย์ในอดีต โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กเล็ก แม้ว่าในปัจจุบันโรคนี้จะลดลงอย่างมากเนื่องจากการพัฒนาวัคซีน แต่ความตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคและการป้องกันยังคงมีความสำคัญ [embed-health-tool-vaccination-tool] โปลิโอ คืออะไร โรคโปลิโอเกิดจากเชื้อไวรัสในตระกูล Picornavirus โดยไวรัสนี้แบ่งเป็น 3 สายพันธุ์หลัก ได้แก่ PV1, PV2 และ PV3 ซึ่งไวรัสสามารถเข้าสู่ร่างกายผ่านการบริโภคน้ำหรืออาหารที่ปนเปื้อน รวมถึงการสัมผัสกับผู้ติดเชื้อโดยตรง เมื่อไวรัสเข้าสู่ร่างกาย มันจะแพร่กระจายในลำไส้และระบบประสาทส่วนกลาง ทำลายเซลล์ประสาทที่ควบคุมการเคลื่อนไหว ส่งผลให้เกิดภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรงหรืออัมพาต การแพร่กระจายของโรค โรคโปลิโอแพร่กระจายได้ง่ายในพื้นที่ที่มีการสุขาภิบาลไม่ดี โดยเชื้อไวรัสจะถูกขับออกจากร่างกายผู้ติดเชื้อผ่านทางอุจจาระ แล้วปนเปื้อนในน้ำหรืออาหาร นอกจากนี้ การสัมผัสใกล้ชิด เช่น การสัมผัสมือหรือของใช้ส่วนตัวที่มีเชื้อไวรัสอยู่ ก็เป็นอีกเส้นทางที่โรคสามารถแพร่กระจายได้ กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงคือเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี และผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนครบถ้วน อาการของโรคโปลิโอ โรคโปลิโอมีลักษณะอาการหลากหลาย ตั้งแต่ไม่มีอาการไปจนถึงอัมพาตรุนแรง ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ (70-90%) ไม่มีอาการ แต่สามารถแพร่เชื้อได้ อาการเบื้องต้น รวมถึงไข้ต่ำ อ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อ และคลื่นไส้ อาการรุนแรง ได้แก่ อัมพาตของแขนขา หรือในบางกรณีเชื้อไวรัสอาจทำลายระบบประสาทที่ควบคุมการหายใจ ส่งผลให้เสียชีวิต สำหรับบางคนที่เคยติดเชื้อ อาจเกิดภาวะ กลุ่มอาการหลังโปลิโอ (Post-Polio Syndrome) ในระยะเวลาหลายปีหลังจากการติดเชื้อ ซึ่งทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงและปวดกล้ามเนื้อ การป้องกันด้วยวัคซีน ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาโรคโปลิโอเฉพาะเจาะจง การป้องกันที่ดีที่สุดคือการรับวัคซีน […]

หมวดหมู่ พ่อแม่เลี้ยงลูก เพิ่มเติม

สำรวจ พ่อแม่เลี้ยงลูก

การเติบโตและพัฒนาการ

ฉี่รดที่นอน ในเด็ก สาเหตุและวิธีแก้ปัญหา

ฉี่รดที่นอน อาจเกิดขึ้นได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ การฉี่รดที่นอนในเด็กเป็นส่วนหนึ่งของการเจริญเติบโต แต่หากไม่เลิกฉี่รดที่นอนอาจทำให้คุณพ่อคุณแม่กังวลใจ สาเหตุฉี่รดที่นอนอาจเกิดจากกรรมพันธ์ุ และปัจจัยอื่นประกอบด้วย จำเป็นที่คุณพ่อคุณแม่ต้องทำความเข้าใจเพื่อรับมือกับปัญหานี้ ฉี่รดที่นอน เกิดจากอะไร โดยปกติแล้ว เด็กสามารถควบคุมกระเพาะปัสสาวะได้เองตามธรรมชาติเมื่อโตขึ้น ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยเรื่องอายุ กรรมพันธ์ สภาพแวดล้อม เด็กผู้ชายอาจฉี่รดที่นอนในบางคืนมากกว่าเด็กผู้หญิงถึง 2 เท่า แต่หลังจากอายุ 5 ขวบเป็นต้นไป ประมาณร้อยละ 15 ของเด็กยังคงฉี่รดที่นอน และเมื่ออายุ 10 ขวบ ประมาณร้อยละ 95 มักเลิกฉี่รดที่นอน ฉี่รดที่นอน มักสร้างปัญหาให้ทุกคนในครอบครัว ไม่เพียงแต่ต้องทำความสะอาดที่นอนบ่อย ๆ แต่ยังอาจสร้างความกังวลใจให้พ่อแม่และเด็กด้วย ทั้งที่จริงแล้ว การฉี่รดที่นอนเป็นส่วนหนึ่งของการเจริญเติบโต ควรทำความเข้าใจถึงสาเหตุของการฉี่รดที่นอน สาเหตุที่ทำให้เด็กฉี่รดที่นอน สาเหตุของการฉี่รดที่นอนอาจเกิดได้จากกรรมพันธ์ุ โดยเด็ก 3 ใน 4 คนมักมีคุณพ่อคุณแม่หรือญาติใกล้ชิดที่ฉี่รดที่นอนเหมือนกันในวัยเด็ก โดยนักวิทยาศาสตร์อธิบายว่า เกิดจากยีนบางตัวที่ทำให้ความสามารถในการควบคุมกระเพาะปัสสาวะล่าช้าออกไป นอกเหนือจากกรรมพันธุ์แล้ว อาจเกิดจากปัจจัยอื่น ๆ ร่วมด้วยที่ทำให้เด็กฉี่รดที่นอน ได้แก่ มีปัสสาวะมากกว่าที่กระเพาะปัสสาวะจะรับได้ กระเพาะปัสสาวะมีปัญหา บีบตัวไวเกินไป ทำให้ไม่สามารถกลั้นปัสสาวะได้ นอนหลับลึก เด็กจึงไม่รับรู้สัญญาณที่ร่างกายบอกว่า กระเพาะปัสสาวะเต็ม หรือถึงเวลาต้องไปปัสสาวะ […]


การเติบโตและพัฒนาการ

พ่อแม่เข้มงวด ส่งผลต่อลูกอย่างไรบ้าง

เด็กๆ มักจะบ่น หรือไม่พอใจเวลาที่ พ่อแม่เข้มงวด แต่ความจริงแล้ว การมีพ่อแม่เข้มงวด อาจนำมาสู่ข้อได้เปรียบหลายประการ เนื่องจากผู้ปกครองที่เข้มงวด มักจะกำหนดมาตรฐานในการเลี้ยงดูลูกเอาไว้สูง ผู้ปกครองกลุ่มนี้มักจะรู้ว่าจะผลักดันหรือช่วยให้เด็กสามารถพัฒนาตนเองได้อย่างเต็มประสิทธิภาพได้อย่างไรบ้าง เด็กๆ อาจจะมองว่าพ่อแม่เข้มงวดมากเกินไป แต่ทุกการกระทำล้วนมีผลตามมา ความเข้มงวดต่อเด็กในเรื่องต่างๆ จะสามารถช่วยพวกให้เด็กได้พัฒนาตัวเอง และส่งผลดีเมื่อพวกเขาโตขึ้น ผลดีจากการมี พ่อแม่เข้มงวด 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา หลายๆ คนมักจะพบว่า บ้านไหนที่พ่อแม่เข้มงวด ลูกบ้านนั้นมักจะเป็นแบบอย่างของการเป็นลูกที่ดี เพราะเด็กเหล่านี้มักจะเชื่อฟังผู้อื่น ทั้งพ่อแม่ที่บ้าน และคุณครูที่โรงเรียน แถมส่วนใหญ่ยังมีผลการเรียนที่ดี มักจะประสบความสำเร็จในเรื่องการเรียน เพราะรู้จักแสวงหาความรู้ในเรื่องอื่นๆ อยู่เสมอ โดยความคิดนี้เกิดขึ้นเพราะเด็กที่มีพ่อแม่เข้มงวดมักอยู่ในสภาพแวดล้อมที่คอยผลักดันให้ต้องทำเรื่องต่างๆ ได้สำเร็จตามมาตรฐานที่พ่อแม่ตั้งเอาไว้สูง นอกจากรู้จักแสวงหาความรู้แล้ว เด็กเหล่านี้ยังได้ฝึกวินัยในตัวเองตั้งแต่เด็ก และมักผลักดันตัวเองให้เรียนหนักขึ้น ตั้งใจเรียนมากขึ้น เพื่อให้ได้ผลการเรียนดีขึ้น นอกจากนี้ ยังมีผลการวิจัยเกี่ยวกับวิธีการเลี้ยงดูและผลการเรียนของเด็ก พบว่า เด็กที่มีผลการเรียนดี ส่วนใหญ่มักจะมีพ่อแม่เข้มงวด 2. พ่อแม่เข้มงวด ลูกก็มีความมั่นใจ การมีผู้ปกครองเข้มงวดหมายความว่า เด็กๆ จะต้องรับผิดชอบกับทุกการกระทำของตัวเอง พวกเขาโตมากับความเข้าใจว่า การทำงานหนักจะนำพาให้พวกเขาประสบความสำเร็จ ยิ่งพ่อแม่ตั้งความหวังเอาไว้สูง เด็กๆ ก็ยิ่งต้องพยายามหนักขึ้น จะได้ประสบความสำเร็จ เด็กเหล่านี้จะได้ฝึกความสามารถในการประเมินสถานการณ์ก่อนการตัดสินใจ พ่อแม่ที่เข้มงวดจะช่วยผลักดันให้ลูกๆ ของพวกเขาทำทุกอย่างให้ดีขึ้น เด็กๆ จึงรู้สึกว่าตัวเองมีความสามารถ และรู้สึกมั่นใจในตัวเองมากขึ้น เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน […]


โรคติดเชื้อในเด็ก

ไข้เลือดออกในเด็ก อาการและวิธีรับมือที่ควรรู้

ยุงมักเป็นสาเหตุในการแพร่กระจายของโรคไข้เดงกี่ (Dengue fever) ที่คนไทยนิยมเรียกว่าไข้เลือดออก โดยปกติแล้ว ไข้เดงกี่หรือไข้เลือดออกจะไม่รุนแรง และสามารถหายได้เองในภายในระยะเวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์ แต่ผู้ป่วยส่วนหนึ่งก็อาจมีอาการรุนแรง จนกลายเป็น โรคไข้เลือดออกเดงกี่ (Dengue hemorrhagic fever) ที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ในปัจจุบัน สัญญาณของปัญหา ไข้เลือดออกในเด็ก หรือ ไข้เดงกี่ในเด็ก มีมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้ปกครองจึงควรรับทราบถึงอาการไข้ เพื่อหาทางจัดการได้อย่างทันท่วงที สัญญาณและอาการ ในอดีต ไข้เดงกี่มักถูกเรียกว่าไข้กระดูกแตก (Breakbone fever) เนื่องจากผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้มักมีอาการเจ็บกระดูก ข้อต่อ และกล้ามเนื้อ จนทำให้รู้สึกเหมือนกระดูกกำลังจะแตก ลูกของคุณอาจพบกับสัญญาณและอาการที่พบได้ทั่วไป ได้แก่ มีไข้สูง ซึ่งอาจสูงถึง 40° องศาเซลเซียส เลือดกำเดาไหล หรือเลือดออกตามไรฟัน ลูกของคุณอาจโวยวายจากอาการปวดศีรษะรุนแรง มีอาการเจ็บนัยน์ตาด้านหลัง ในข้อต่อ กล้ามเนื้อหรือกระดูก ลำตัวส่วนใหญ่ปกคลุมไปด้วยผื่น โดยทั่วไป ไข้เลือดออกในเด็ก โดยเฉพาะเด็กเล็ก และผู้ติดเชื้อไข้เดงกี่เป็นครั้งแรก จะมีอาการที่ไม่รุนแรง ในขณะที่ผู้สูงอายุ ผู้ใหญ่และผู้ที่เคยติดเชื้อไข้เดงกี่ อาจมีอาการของโรคปานกลางจนถึงรุนแรง การวินิจฉัยไข้เลือดออกในเด็ก ไวรัสเดงกี่สามารถตรวจพบได้จากการตรวจเลือด แต่คุณหมอที่มีประสบการณ์ส่วนมาก จะสามารถประเมินและวินิจฉัยโรคไข้เดงกี่ได้จากลักษณะภายนอกของลูกคุณ แต่กระนั้น การตรวจเลือดก็ยังเป็นวิธีที่แนะนำในการตรวจหาไวรัสเดงกี่ คุณหมออาจแนะนำให้คุณตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดแดง เพื่อดูว่าเชื้อไวรัสสร้างความเสียหายรุนแรงต่อลูกของคุณแค่ไหน เนื่องจากเชื้อไวรัสสามารถสร้างความเสียหายแก่เกล็ดเลือด หากคุณสงสัยว่า […]


ปัญหาระบบย่อยอาหารในเด็ก

ทารกท้องอืด แก๊สในกระเพาะอาหารเยอะ รับมือได้อย่างไรบ้าง

ทารกท้องอืด ที่มีสาเหตุจากแก๊สในกระเพาะอาหารเยอะ นับเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้บ่อยในเด็กแรกเกิด แต่เด็กบางคนอาจมีปัญหาในการระบายแก๊สออกมาทำให้เกิดอาการไม่สบายเนื้อไม่สบายตัวจนร้องไห้งอแงมากกว่าปกติ เมื่อลูกเกิดอาการท้องอืด คุณพ่อคุณแม่อาจช่วยลูกน้อยให้รู้สึกดีขึ้นได้เพียงแต่รู้วิธีรับมือทารกท้องอืดที่เหมาะสม แก๊สในกระเพาะอาหารเด็กทารกเกิดขึ้นได้อย่างไร อาการทารกท้องอืด อาจนับเป็นพัฒนาการอย่างหนึ่งของเด็กทารก เด็กทุกคนมักจะมีแก๊สในกระเพาะอาหารเยอะ เนื่องจากกินไม่หยุด และระบบการย่อยอาหารของเขายังพัฒนาไม่เต็มที่ ส่งผลให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหารขึ้นมา เพื่อช่วยให้ร่างกายสามารถย่อยนมแม่และนมผงได้ แต่หากอาการเหล่านี้ทำให้ทั้งคุณพ่อคุณแม่และลูกน้อยไม่ได้หลับไม่ได้นอน คุณพ่อคุณแม่ต้องหาทางแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน วิธีช่วยแก้ปัญหาทารกท้องอืด เมื่อลูกท้องอืด จากแก๊สในกระเพาะอาหาร คุณพ่อคุณแม่สามารถช่วยบรรเทาอาการที่เกิดขึ้นได้ด้วยวิธีเหล่านี้ ตรวจเช็กท่าป้อนนม และจุกนม ในช่วงที่ให้ลูกน้อยกินนมแม่หรือป้อนนมขวด ลองพยายามยกศีรษะลูกให้สูงกว่าท้อง เพราะจะช่วยให้น้ำนมไหลลงไปอยู่ตรงกระเพาะอาหารส่วนล่าง และไล่อากาศให้มาอยู่ด้านบน ซึ่งจะช่วยให้ลูกน้อยเรอออกมาได้ง่ายขึ้น วางขวดนมให้ตั้งขึ้นเล็กน้อย เพื่อจะได้ลดฟองอาการในจุกนมลง ถ้าคุณพ่อคุณแม่ป้อนนมขวดให้ลูกกิน อาจลองเปลี่ยนไปใช้จุกนมแบบที่ทำให้น้ำนมไหลออกมาช้าๆ ซึ่งจะช่วยลดการเกิดแก๊สในกระเพาะอาหารลงได้   ช่วยทำให้ลูกน้อยเรอออกมา  วิธีที่ง่ายที่สุดในการระบายแก๊สออกมา ก็คือ การทำให้ลูกน้อยเรอออกมาในช่วงระหว่างและหลังป้อนนม ถ้าลูกน้อยไม่ยอมเรอ อาจลูกนอนหงายซักสองสามนาที จากนั้นลองทำให้เรอใหม่อีกครั้ง ถ้าลูกน้อยเกิดอาการเคลิ้มหลับในระหว่างป้อนนม ควรพาออกไปเดินเล่นให้เรอออกมา เมื่อเด็กเรอออกมาแล้ว จะทำให้สบายตัว การเรอช่วยระบายแก๊สในกระเพาะอาหารทำให้เด็กนอนหลับได้ยาวขึ้น  ทารกท้องอืด นวดช่วยได้ การนวดเนื้อตัวให้ลูกเบา ๆ พร้อมกับจับขาหมุนวนเหมือนท่าถีบจักรยานอากาศ รวมถึงการลูบท้องลูกวนตามเข็มนาฬิกา จะช่วยแก้ปัญหาท้องอืดได้ นอกจากนี้การอาบน้ำอุ่นก็ช่วยไล่แก๊สในกระเพาะอาหาร และทำให้ลูกน้อยหลับสบายได้เช่นกัน ตรวจสอบอาหาร คุณพ่อคุณแม่ควรพูดคุยกับคุณหมอ เกี่ยวกับอาหารที่ทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหารได้มากเป็นพิเศษ พ่อแม่บางคนให้ลูกน้อยดื่มน้ำผลไม้ที่มีส่วนผสมของซอร์บิทอล (Sorbitol) ซึ่งเป็นน้ำตาลแอลกอฮอล์ชนิดหนึ่ง ที่ร่างกายของทารกไม่สามารถดูดซึมได้ จนทำให้ทารกท้องอืด  แน่นท้อง ดังนั้นเพื่อป้องกันอาการท้องอืดจากอาหารควรปรึกษาคุณหมอว่าควรให้ลูกกินอาหารชนิดใด และหลีกเลี่ยงอาหารชนิดใดบ้าง ระมัดระวังอาหารที่กิน ถ้าลูกกินนมแม่ อาจมีปัญหาในเรื่องการย่อยอาหารบางชนิดที่คุณแม่รับประทานเข้าไปซึ่งส่งผ่านให้ทางน้ำนม เช่น ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม คาเฟอีน […]


การดูแลทารก

วิธีอาบน้ำทารก และการดูแลร่างกายส่วนต่าง ๆ

วิธีอาบน้ำทารก เป็นขั้นตอนที่คุณพ่อคุณแม่ต้องให้ความใส่ใจและให้ความระมัดระวังมากเป็นพิเศษ นอกเหนือจากขั้นตอนต่าง ๆ ที่ควรอาบน้ำให้ถูกต้องแล้ว ควรคำนึงถึงผลิตภัณฑ์ที่เลือกใช้ คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรใช้ครีมอาบน้ำ สบู่ ยาสระผม รวมถึงผลิตภัณฑ์บำรุงผิวของผู้ใหญ่กับเด็กทารก เพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองได้ [embed-health-tool-vaccination-tool] วิธีอาบน้ำทารก โดยปกติแล้ว ทารกแรกเกิดจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์สายสะดือจึงจะหลุดออก ซึ่งในระหว่างนั้นไม่ควรอาบน้ำให้ทารก แต่ควรใช้ฟองน้ำนุ่ม ๆ ชุบน้ำอุ่นเช็ดทำความสะอาดแทน ส่วนเด็กผู้ชายที่ทำการขลิบไม่ควรอาบน้ำจนกว่าแผลที่บริเวณอวัยวะเพศจะหายดีแล้ว โดยคุณพ่อคุณแม่อาจอาบน้ำทารกได้ ดังนี้ ถอดเสื้อผ้าและผ้าอ้อมออกจากตัวทารก แล้ววางทารกไว้บนผ้าเช็ดตัวแห้งสะอาด หากอากาศหนาว ให้ถอดเสื้อผ้าออกทีละชิ้น เพื่อป้องกันทารกหนาวเกินไปจนอาจทำให้เป็นไข้ได้ ใช้ผ้าขนหนูนุ่ม ๆ ชุบน้ำอุ่น บิดให้หมาด แล้วเช็ดหน้าให้ทารกโดยไม่ต้องใช้สบู่ ผสมน้ำอุ่นกับสบู่ นำผ้าขนหนูที่ใช้เช็ดหน้าเมื่อสักครู่ชุบน้ำสบู่ที่ผสมไว้ บิดให้หมาด แล้วเช็ดตัวให้ทารก โดยเช็ดทำความสะอาดส่วนที่อยู่ใต้ผ้าอ้อมเป็นที่สุดท้าย ล้างตัวด้วยน้ำสะอาด แล้วใช้ผ้าขนหนูแห้งสนิทซับตัวให้แห้ง ควักน้ำอุ่นใส่ศีรษะทารกช้า ๆ ให้น้ำเปียกทั่วศีรษะ บีบยาสระผมปริมาณเล็กน้อยลงบนศีรษะ จากนั้นถูวนเป็นวงกลมให้ทั่ว เสร็จแล้วค่อย ๆ ล้างยาสระผมออกให้เกลี้ยง โดยต้องระวังอย่าให้ยาสระผมเข้าตา สำหรับวิธีอาบน้ำทารก นอกจากต้องใส่ใจในทุกขั้นตอนและควรทำด้วยความระมัดระวังแล้ว ยังควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนต่อผิวและเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับทารกโดยเฉพาะ คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรใช้ครีมอาบน้ำ สบู่ ยาสระผม รวมถึงผลิตภัณฑ์บำรุงผิวของผู้ใหญ่กับทารก เพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคือง การดูแลร่างกายส่วนต่าง ๆ ของทารก นอกจากคุณพ่อคุณแม่จะต้องเรียนรู้วิธีอาบน้ำทารกที่ถูกต้องแล้ว ก็ควรดูแลร่างกายส่วนอื่น […]


วัคซีน

วัคซีนป้องกันงูสวัด เหมาะสำหรับใคร ฉีดแล้วเกิดผลข้างเคียงอะไรบ้าง

วัคซีนป้องกันงูสวัด เป็น วัคซีนที่ฉีดสำหรับป้องกันโรคงูสวัด ซึ่งเป็นโรคติดต่อที่เกิดจากการติดเชื้อ หากได้สัมผัสกับแผลของผู้ป่วยก็จะทำให้สามารถติดเชื้อได้ โดยปกติแล้วเมื่อเป็นโรคงูสวัดจะเกิดเป็นผื่นแดง มีอาการปวด แสบ แต่ในบางรายอาจมีอาการแทรกซ้อนที่รุนแรง ดังนั้น ผู้สูงอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไปหรือผู้ที่ภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอควรได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันงูสวัด โรคงูสวัดคืออะไร โรคงูสวัด (Shingles) เกิดจากการติดเชื้อไวรัส Aricella-Zoster ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสตัวเดียวกันกับเชื้อที่ทำให้เกิดโรคอีสุกอีใส แม้ว่าจะหายจากโรคอีสุกอีใสหรือโรคงูสวัด ไม่มีอาการของโรคแล้ว แต่เชื้อไวรัสตัวนี้ก็จะยังอยู่ในระบบประสาทไปอีกหลายปี เมื่อไรที่ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ่ลงหรือในช่วงที่ร่างกายอ่อนแอเชื้อที่ยังอยู่ในร่างกายก็จะออกมาเล่นงานทำให้กลับมาเป็นโรคเหล่านี้ได้อีกครั้ง อาการผู้ป่วยโรคงูสวัดคือจะมีลักษณะเป็นผื่นแดง ปวดและแสบร้อนบริเวณที่เป็น โดยปกติแล้วโรคงูสวัดมักจะไม่มีภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง แต่ในบางรายซึ่งพบได้ค่อนข้างน้อย อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ทำให้ตาบอดได้ จึงจำเป็นต้องได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรค กลุ่มเสี่ยงโรคงูสวัด โรคงูสวัดสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกคน แม้จะเคยเป็นโรคอีสุกอีใสหรือเคยเป็นงูสวัดมาแล้วก็ตาม แต่ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นโรคอีสุกอีใสจะเป็นโรคงูสวัดได้ ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงในการเป็นโรคงูสวัด ได้แก่ มีอายุ 60 ปีขึ้นไป มีโรคประจำตัว หรือเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับการทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง เช่น โรคเอชไอวี โรคเอดส์ หรือโรคมะเร็ง เคยเข้ารับเคมีบำบัดหรือเคยได้รับการรักษาด้วยรังสี ใช้ยาที่มีส่วนทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง เช่น สเตียรอยด์ หรือยาที่ได้รับหลังจากการปลูกถ่ายอวัยวะ ใครควรได้รับ วัคซีนป้องกันงูสวัด องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) ได้มีการอนุมัติว่า วัคซีนที่สามารถป้องกันโรคงูสวัดได้ คือ วัคซีน Zostavax และ วัคซีน Shingrix […]


การเติบโตและพัฒนาการ

ผลข้างเคียงของการใช้โกรทฮอร์โมนสังเคราะห์ในเด็ก

ในปัจจุบัน มีการใช้โกรทฮอร์โมนสังเคราะห์ในเด็ก เนื่องจากเข้าใจว่าอาจสามารถช่วยกระตุ้นการพัฒนาการและการเจริญเติบโตของลูก และช่วยเพิ่มส่วนสูงของลูก แต่การใช้โกรทฮอร์โมนสังเคราะห์ในเด็กอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงต่าง ๆ เช่น ผื่นคัน ปวดหัว เป็นไข้ ความดันโลหิตสูง ดังนั้น จึงควรศึกษาเกี่ยวกับอันตรายจากการใช้โกรทฮอร์โมนสังเคราะห์ในเด็ก และปรึกษาคุณหมอก่อนใช้ยาใด ๆ ทำความเข้าใจเกี่ยวกับโกรทฮอร์โมนสังเคราะห์ โกรทฮอร์โมนสังเคราะห์ (Human Growth Hormone; HGH) ได้รับการยอมรับจากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) ว่าสามารถใช้รักษาอาการบางอย่างได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ โดยการฉีด โกรทฮอร์โมนสังเคราะห์ในเด็ก ที่ใช้เพื่อรักษาภาวะตัวเตี้ยเกินไป และภาวะไม่เจริญเติบโตของเด็กๆ นั้น จะใช้ในกรณีที่เด็กๆ เป็นโรคดังนี้ กลุ่มอาการเทอร์เนอร์ซินโดรม (Terner syndrome) กลุ่มอาการพราเดอร์-วิลลีซินโดรม (Prader-Willi Syndrome) โรคไตเรื้อรัง ภาวะขาดโกรทฮอร์โมน เด็กที่คลอดก่อนกำหนดตอนอายุครรภ์น้อย ดังนั้น ในกรณีที่เด็กไม่สูง แต่ไม่ได้เป็นโรคอะไรหรือมีปัญหาที่เกี่ยวกับความผิดปกติของโกรทฮอร์โมน ก็ไม่จำเป็นต้องได้รับโกรทฮอร์โมนสังเคราะห์ เพราะอาจมีผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายต่อลูกได้ ผลข้างเคียงจากการใช้โกรทฮอร์โมนสังเคราะห์ในเด็ก หากเด็กๆ หรือวัยรุ่น ได้รับการฉีดโกรทฮอร์โมนสังเคราะห์เข้าร่างกาย อาจมีผลข้างเคียง ดังนี้ ผื่นคัน ปวดศีรษะ เจ็บปวดเนื่องจากการฉีดยา เป็นไข้ เป็นโรคข้ออักเสบ เกิดอาการบวมน้ำ เกิดภาวะต้านอินซูลิน ความดันโลหิตสูง โรคข้อสะโพกหลุด ผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยที่สุด […]


เด็กทารก

เลิกจุกนมหลอก ให้ลูก คุณพ่อคุณแม่ควรทำอย่างไร

เด็กส่วนใหญ่ชอบดูดจุกนมหลอก เพราะดูดแล้วรู้สึกสบายใจ แต่หากเด็กกำลังอยู่ในวัยหัดพูดจุกนมหลอกอาจรบกวนพัฒนาการของเด็กได้ แต่เมื่อพยายามดึงจุกนมหลอกออกก็อาจทำให้ลูกร้อไห้ งอแง ซึ่งอาจทำให้คุณพ่อคุณแม่กังวลใจและเกิดความเครียด อย่างไรก็ตาม เลิกจุกนมหลอก อาจต้องทำตั้งแต่อายุยังน้อย ด้วยการค่อย ๆ ลดจำนวนการใช้จุกนมหลอกลง หรืออาจต้องหาวิธีอื่น ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นตามมา วิธี เลิกจุกนมหลอก สำหรับวิธีการเลิกจุกนมหลอกที่คุณพ่อคุณแม่อาจทำได้ด้วยตัวเองมีดังนี้ อาจให้เลิกจุกนมหลอกตั้งแต่อายุยังน้อย หากอยากให้ลูกเลิกดูดจุกหลอกได้อย่างถาวร อย่าปล่อยเอาไว้นานจนลูกติดจุกนมหลอก การให้ลูกน้อยเลิกดูดจุกนมหลอกตั้งแต่อายุยังน้อย มักจะทำได้ง่ายกว่าตอนลูกโตแล้ว ยิ่งลูกโตเท่าไหร่ก็ยิ่งเลิกจุกนมหลอกได้ยากเท่านั้น อาจใช้วิธีหักดิบ เมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะให้ลูกเลิกดูดจุกนมหลอก ก็ควรนำจุกนมหลอกออกไปให้พ้นจากสายตาเขาทันที แต่วิธีหักดิบแบบนี้อาจจะไม่ราบรื่นนัก เนื่องจากลูกอาจมีอาการงอแง ร้องไห้ที่จะดูดจุกนมหลอกตลอดเวลา ไม่ยอมกิน ไม่ยอมนอน จนคุณพ่อคุณแม่อาจใจอ่อนยอมให้ลูกดูดจุกนมหลอกเหมือนเดิม หากตัดสินใจแล้วก็ควรทำให้ได้ เพราะไม่เช่นนั้นจะทำให้ครั้งต่อไปยากขึ้นกว่าเดิม อาจค่อย ๆ ลดจำนวน การให้ลูกน้อยเลิกดูดจุกนมแบบค่อยเป็นค่อยไปอาจเป็นวิธีที่นุ่มนวลกว่าการหักดิบ แต่อาจต้องใช้เวลากว่าลูกจะเลิกดูดจุกนมได้ การลดจำนวนการใช้จุกนมหลอกลงเรื่อย ๆ อาจทำให้ลูกน้อยไม่สามารถใช้จุกนมหลอกได้ตลอดเวลา และในที่สุดก็จะเลิกสนใจไปเอง โดยวิธีการก็คือ คุณพ่อคุณแม่ต้องจำกัดการใช้จุกนมหลอกให้เหลือแค่ชิ้นเดียว ทุกครั้งที่ลูกร้องหาจุกนมหลอก ก็ค่อย ๆ ตัดปลายจุกนมหลอกออกทีละนิด หลังจากทำแบบนี้ไปสัก 2-3 วัน ลูกอาจจะเริ่มรู้สึกว่าดูดจุกนมหลอกแล้วไม่รู้สึกดีเหมือนเดิม แล้วในที่สุดก็จะตัดขาดจากจุกนมหลอกได้ทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ อาจโน้มน้าวด้วยของเล่น หากคุณพ่อคุณแม่มีความสามารถในการแต่งนิทานหรือเล่าเรื่อง อาจจะแต่งนิทานเกี่ยวกับจุกนมหลอกมาเล่าให้ลูกฟัง เพื่อช่วยโน้มน้าวให้เขาเลิกดูดจุกนมหลอกได้ นอกจากนั้นอาจหาของขวัญที่มีประโยชน์ เช่น ของเล่นเสริมทักษะ มาให้ลูกแทน […]


การเติบโตและพัฒนาการ

วิธีฝึกวินัยให้ลูก ตั้งแต่วัยเตาะแตะ ทำได้อย่างไร

การฝึกวินัยให้ลูก เป็นสิ่งสำคัญที่ คุณพ่อคุณแม่ควรทำ เพื่อให้ลูกได้เรียนรู้และฝึกฝนความเป็นระเบียบ เข้าใจและปฏิบัติตามกฏเกณฑ์ และสามารถอยู่ร่วมกับสังคมได้อย่างมีความสุข โดยควรเริ่มฝึกตั้งแต่ช่วงวัยเตาะแตะ เพราะเป็นช่วงวัยที่สามารถเรียนรู้และจดจำได้อย่างรวดเร็ว [embed-health-tool-vaccination-tool] วิธีฝึกวินัยให้ลูก หลีกเลี่ยงสถานการณ์ตึงเครียด เมื่อลูกอยู่ในวัยเริ่มหัดเดิน อาจมีหลายปัจจัยที่ทำให้ลูกรู้สึกหงุดหงิด งอแง ขึ้นมาได้ โดยเฉพาะเวลาที่ลูกหิว ง่วงนอน หรือมีอาการไม่คุ้นเคยกับสถานที่ ก่อนจะฝึกวินัยให้ลูก จึงควรตรวจสอบด้วยว่าลูกพร้อมไหม อย่าฝืนให้ลูกทำอะไรโดยที่เขาไม่ชอบ หรือไม่เต็มใจที่จะทำ อีกทั้งการฝึกวินัยให้ลูกควรเริ่มฝึกตั้งแต่ที่บ้าน โดยเฉพาะวินัยในการกินอาหาร และการนอน ทั้งการงีบหลับ และนอนกลางคืน เพราะการอยู่ในสถานที่ที่คุ้นเคยจะช่วยให้เด็กผ่อนคลายได้มากกว่า นอกจากนี้คุณพ่อคุณแม่ยังสามารถฝึกให้ลูกมีวินัยโดยให้เขายังรู้สึกสนุกสนานไปได้ด้วย เช่น เวลาจะไปข้างนอกก็ให้ลูกเลือกชุดใส่เอง ให้ลูกช่วยเลือกวัตถุดิบในการประกอบอาหาร และควรบอกให้เขารู้เป็นระยะว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป วิธีนี้จะช่วยให้ลูกน้อยรู้ตัวว่าตนเองต้องทำอะไร ปรับตัวยังไง ซึ่งจะช่วยให้เขาเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ โดยไม่อาละวาด หรืองอแง คิดให้เหมือนลูกน้อย พูดง่าย ๆ ก็คือ “เอาใจเขามาใส่ใจเรา” นั่นเอง เด็กในวัยหัดเดินแตกต่างกับผู้ใหญ่โดยสิ้นเชิง พวกเขาจะยังไม่ค่อยเข้าใจอะไรมากนักในหลาย ๆ เรื่อง ฉะนั้น ถ้าเราใช้ความคิดแบบลูกน้อยเสียเอง ก็จะช่วยให้เราเข้าใจในตัวเขาได้มากขึ้น ซึ่งนั่นจะช่วยป้องกันไม่ให้ลูกน้อยเกิดอารมณ์ฉุนเฉียวขึ้นมาได้ นอกจากนี้การให้ลูกน้อยเลือกที่จะทำโน่นทำนี่ได้เอง ก็เป็นการเคารพสิทธิ์ และแสดงให้ลูกรู้ว่าเราสนใจความรู้สึกของเขาด้วย ก่อนให้ลูกเข้านอนอาจมีการถามลูกด้วยว่าอยากฟังนิทานเรื่องไหน ลูกจะได้รู้สึกสนุกกับสิ่งที่ชอบก่อนนอน ไม่รู้สึกว่าถูกบังคับให้นอนทั้ง […]


เลี้ยงลูกด้วยนมแม่

ฝึกลูก หย่านมแม่ อย่างไรให้ถูกวิธีและได้ผล

หย่านมแม่ หมายถึง การที่เด็กเปลี่ยนจากดูดนมแม่จากเต้าไปดูดนมขวดหรือรับประทานอาหารอย่างอื่นทดแทน คุณแม่ส่วนใหญ่มักให้ลูกหย่านมหลังจากลูกอายุครบ 1 ขวบ ซึ่งเด็กในวัยนี้จะเริ่มหัดเดิน หัดพูด และกินอาหารหยาบได้มากขึ้นแล้ว อย่างไรก็ตาม คุณแม่ควรให้ลูกน้อยดูดนมแม่ไปให้นานที่สุด ตราบเท่าที่คุณแม่และลูกน้อยสบายใจ เมื่อลูกน้อยพร้อมและจะช่วยให้การหย่านมแม่เป็นเรื่องง่ายขึ้น สัญญาณที่บ่งบอกว่าลูกพร้อมหย่านมแม่แล้ว เด็กบางคนอาจไม่ยอมเลิกดูดนมแม่ง่าย ๆ ในขณะที่เด็กบางคนอาจส่งสัญญาณบอกคุณแม่ว่าพร้อมจะหย่านมแล้ว ซึ่งสัญญาณเหล่านั้นได้แก่ ทำท่าทางเหมือนไม่สนใจ หรือไม่อยากดูดนมแม่ ใช้เวลาในการดูดนมแม่น้อยลง ในช่วงที่กำลังดูดนมแม่ ลูกมักมีอาการวอกแวกง่ายขึ้น ไม่จดจ่อกับการดูดนมแม่ ไม่ได้ดูดนมจริงจัง แต่แสดงท่าทางเหมือนกำลังเล่นอยู่มากกว่า เช่น ดึงหรือกัดหัวนมแม่ ซึ่งควรให้ลูกเลิกดูดนมแม่ อมหัวนมไม่ได้ตั้งใจดูดนมให้มีน้ำนมไหลออกมา วิธีฝึกลูก หย่านมแม่ แบบปลอดภัยและเหมาะสม การหย่านมแม่นั้นมีอยู่หลายวิธี ควรเลือกวิธีที่เหมาะกับตัวคุณแม่และลูกน้อยมากที่สุด ซึ่งมีวิธีต่าง ๆ ดังนี้ เปลี่ยนให้สมาชิกคนอื่นป้อนนม คุณแม่ควรปล่อยให้สมาชิกคนอื่นในครอบครัว เช่น คุณพ่อ คุณยาย หรือพี่เลี้ยงเด็กป้อนนมจากขวดเมื่อลูกน้อยหิว โดยคุณแม่อาจต้องหลบไปอยู่อีกห้องหนึ่งเพื่อไม่ให้ลูกเห็น ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าเด็ก ๆ มักจะมีพฤติกรรมที่ดีขึ้นเวลาที่ไม่เห็นคุณแม่อยู่ใกล้ ๆ หรือถ้าคุณแม่ป้อนนมขวดเอง ควรเปลี่ยนบรรยากาศจากเคยป้อนนมในห้องนอน อาจเปลี่ยนไปป้อนนมในห้องนั่งเล่นแทน หรือลองเปลี่ยนท่าป้อนนมใหม่ ถ้าใช้วิธีนี้แล้วยังไม่ได้ผล อาจให้ลูกดูดนมแม่เหมือนเดิม ไว้รอหลังจากนั้นสองสามสัปดาห์แล้วค่อยทดลองอีกครั้ง สลับมื้อระหว่างป้อนนมขวดกับดูดนมแม่ วิธีการหย่านมแบบนี้จะค่อยเป็นค่อยไป โดยเปลี่ยนจากให้ลูกดูดนมแม่มาเป็นให้นมขวดในบางมื้อ ซึ่งอาจจะเป็นนมแม่ที่ปั๊มใส่ขวดเอาไว้ นมผงชงใส่ขวด หรือจะเป็นอาหารหยาบก็ได้ ทั้งนี้ […]

ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา

กำลังมองหาเรื่องราวในการเลี้ยงดูบุตรใช่หรือไม่?

เข้าร่วมชุมชนการเลี้ยงดูบุตรและแลกเปลี่ยนข้อมูลกับคุณแม่และคุณพ่อคนอื่น ๆ เข้าร่วมชุมชนได้เลย!





ad iconโฆษณา

ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของเรา

ทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของ Hello คุณหมอ ประกอบไปด้วยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มาร่วมสร้างสรรค์บทความในเว็บไซต์ของเราตามความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญของเราจะช่วยรับรองว่าข้อมูลด้านสุขภาพของเราถูกต้อง เป็นปัจจุบัน และตรงตามหลักฐานจากงานวิจัยล่าสุด
ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรามุ่งมั่นเต็มที่ในการช่วยให้คุณได้รับข้อมูลและความรู้ด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือ เข้าใจง่าย และเป็นประโยชน์ และพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพกับคุณเสมอ เพื่อให้คุณได้รับทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น

ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ชุมชน