พ่อแม่เลี้ยงลูก

ในทุกช่วงชีวิตของลูกน้อย เหล่าคุณพ่อคุณแม่จำเป็นที่จะต้องรู้วิธีดูแลและสนับสนุนสุขภาพโดยรวมของลูกน้อย เพื่อให้ความเป็นอยู่ของลูกน้อยดีขึ้น เพราะฉะนั้นใน พ่อแม่เลี้ยงลูก คุณจะได้พบกับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ รวมถึงเคล็ดลับในการดูแลลูกให้แข็งแรง มีความสุข และสามารถปรับตัวได้ในทุกสถานการณ์

เรื่องเด่นประจำหมวด

พ่อแม่เลี้ยงลูก

โปลิโอ เป็นแล้วรักษาไม่หาย แต่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน

โปลิโอ หรือที่รู้จักกันในชื่อ ไข้ไขสันหลังอักเสบ เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากไวรัสโปลิโอ (Poliovirus) ซึ่งเคยส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพของมนุษย์ในอดีต โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กเล็ก แม้ว่าในปัจจุบันโรคนี้จะลดลงอย่างมากเนื่องจากการพัฒนาวัคซีน แต่ความตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคและการป้องกันยังคงมีความสำคัญ [embed-health-tool-vaccination-tool] โปลิโอ คืออะไร โรคโปลิโอเกิดจากเชื้อไวรัสในตระกูล Picornavirus โดยไวรัสนี้แบ่งเป็น 3 สายพันธุ์หลัก ได้แก่ PV1, PV2 และ PV3 ซึ่งไวรัสสามารถเข้าสู่ร่างกายผ่านการบริโภคน้ำหรืออาหารที่ปนเปื้อน รวมถึงการสัมผัสกับผู้ติดเชื้อโดยตรง เมื่อไวรัสเข้าสู่ร่างกาย มันจะแพร่กระจายในลำไส้และระบบประสาทส่วนกลาง ทำลายเซลล์ประสาทที่ควบคุมการเคลื่อนไหว ส่งผลให้เกิดภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรงหรืออัมพาต การแพร่กระจายของโรค โรคโปลิโอแพร่กระจายได้ง่ายในพื้นที่ที่มีการสุขาภิบาลไม่ดี โดยเชื้อไวรัสจะถูกขับออกจากร่างกายผู้ติดเชื้อผ่านทางอุจจาระ แล้วปนเปื้อนในน้ำหรืออาหาร นอกจากนี้ การสัมผัสใกล้ชิด เช่น การสัมผัสมือหรือของใช้ส่วนตัวที่มีเชื้อไวรัสอยู่ ก็เป็นอีกเส้นทางที่โรคสามารถแพร่กระจายได้ กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงคือเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี และผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนครบถ้วน อาการของโรคโปลิโอ โรคโปลิโอมีลักษณะอาการหลากหลาย ตั้งแต่ไม่มีอาการไปจนถึงอัมพาตรุนแรง ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ (70-90%) ไม่มีอาการ แต่สามารถแพร่เชื้อได้ อาการเบื้องต้น รวมถึงไข้ต่ำ อ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อ และคลื่นไส้ อาการรุนแรง ได้แก่ อัมพาตของแขนขา หรือในบางกรณีเชื้อไวรัสอาจทำลายระบบประสาทที่ควบคุมการหายใจ ส่งผลให้เสียชีวิต สำหรับบางคนที่เคยติดเชื้อ อาจเกิดภาวะ กลุ่มอาการหลังโปลิโอ (Post-Polio Syndrome) ในระยะเวลาหลายปีหลังจากการติดเชื้อ ซึ่งทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงและปวดกล้ามเนื้อ การป้องกันด้วยวัคซีน ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาโรคโปลิโอเฉพาะเจาะจง การป้องกันที่ดีที่สุดคือการรับวัคซีน […]

หมวดหมู่ พ่อแม่เลี้ยงลูก เพิ่มเติม

สำรวจ พ่อแม่เลี้ยงลูก

ขวบปีแรกของลูกน้อย

พัฒนาการเด็ก สัปดาห์ที่ 8 ของลูกน้อย

พัฒนาการเด็ก สัปดาห์ที่ 8 เป็นช่วงที่สมองของลูกน้อยมีขนาดใหญ่ขึ้นและมีความซับซ้อนมากขึ้นด้วย ซึ่งภายในไตรมาสแรกนี้สมองอาจจะใหญ่ขึ้นได้ถึง 5 เซนติเมตร คุณแม่คุณพ่อควรใช้เวลาอยู่กับลูกน้อยเพื่อช่วยส่งเสริมพัฒนาการทางสมองและทักษะด้านต่าง ๆ ให้เติบโตสมวัย [embed-health-tool-vaccination-tool] การเจริญเติบโต พฤติกรรมและ พัฒนาการเด็ก สัปดาห์ที่ 8 ของลูกน้อย ลูกน้อยจะเติบโตอย่างไร ตอนนี้สมองของลูกน้อยมีขนาดใหญ่ขึ้นและมีความซับซ้อนมากขึ้นด้วย ซึ่งภายในไตรมาสแรกนี้อาจจะใหญ่ขึ้นได้ถึง 5 เซนติเมตร อาจสังเกตได้จากบางครั้งที่มีช่วงตื่นตัวและช่วงเงียบ ถือเป็นเรื่องปกติลูกน้อยกำลังสำรวจสภาพแวดล้อมต่าง ๆ  คุณพ่อคุณแม่ควรโต้ตอบกับลูก เช่น พูดคุย ร้องเพลง หรือบรรยายรายละเอียดว่ากำลังทำอะไร ลูกน้อยอาจจะไม่เข้าใจ แต่จะเรียนรู้และซึมซับน้ำเสียงและการแสดงออกต่าง ๆ ไว้ในหน่วยความจำของสมอง พัฒนาการเด็ก สัปดาห์ที่ 8 มีอะไรบ้าง ในช่วงสัปดาห์นี้ลูกน้อยอาจมีพัฒนาการต่าง ๆ ดังนี้ ชันศีรษะขึ้น 90 องศา เวลานอนคว่ำ ยกคอตั้งขึ้นได้เมื่อจับตัวตั้งตรง นำมือสองข้างมาประสานกันได้ มีอาการเงียบผิดสังเกต ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะลูกน้อยกำลังสังเกตและเรียนรู้อยู่ ควรดูแลลูกน้อยอย่างไร ช่วงนี้คือเวลาสำคัญในการเรียนรู้ของลูกน้อย ควรใช้เวลาตอนที่เขากำลังเงียบ ๆ เพื่อพูดคุย สื่อสาร ร้องเพลง หรือบรรยายภาพต่าง ๆ  คุณแม่สามารถพูดคุยไปพร้อม ๆ กับลูบไล้เนื้อตัวลูกน้อยด้วยความรัก ในขณะที่เปลี่ยนผ้าอ้อมหรือป้อนอาหาร นี่คือ วิธีที่ดีที่สุดในการช่วยส่งเสริมพัฒนาทักษะทางด้านภาษา การได้ยิน […]


เลี้ยงลูกด้วยนมแม่

6 เคล็ดลับ เพิ่มน้ำนม ให้คุณแม่ด้วยวิธีธรรมชาติ

คุณแม่หลายคนอาจต้องการ เคล็ดลับ เพิ่มน้ำนม เพื่อจะได้แน่ใจว่าตัวเองนั้นมีน้ำนมให้ลูกอย่างเพียงพอ ซึ่งการกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ พักผ่อนให้เพียงพอ พยายามให้นมลูกบ่อย ๆ อาจช่วยทำให้น้ำนมมีปริมาณเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือบริโภคคาเฟอีกมากเกินไป เพราะอาจส่งผลให้น้ำนมน้อยลงได้ [embed-health-tool-vaccination-tool] เคล็ดลับ เพิ่มน้ำนม ด้วยวิธีธรรมชาติ สำหรับคุณแม่ที่ต้องการเพิ่มน้ำนมให้ตัวเองด้วยวิธีธรรมชาติ อาจทำได้ดังนี้ 1. เทคนิคผิวสัมผัสผิว เทคนิคผิวสัมผัสผิว (Skin-to-skin)  คือ การที่คุณแม่กอดลูกไว้ในอ้อมอก โดยที่คุณแม่ไม่สวมเสื้อและลูกสวมเพียงผ้าอ้อม เพื่อให้ผิวของคุณแม่กับลูกสัมผัสกันโดยตรง คุณแม่อาจทำตอนช่วงงีบหลับตอนกลางวัน ตอนก่อนนอน หรือในตอนกลางคืนก็ได้ เนื่องจาก การที่ผิวได้สัมผัสผิวแบบนี้จะช่วยทำให้คุณแม่มีน้ำนมมากขึ้น เนื่องจากฮอร์โมนแห่งความรัก หรือ ฮอร์โมนอ็อกซีโทซิน (Oxytocin) หลั่ง ส่งผลให้มีน้ำนมเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังทำให้ลูกผ่อนคลาย กินนมได้นานขึ้น รวมถึงช่วยเรื่องระบบการหายใจและอุณหภูมิในร่างกายด้วย 2. กินอาหารที่มีประโยชน์ คุณแม่ควรกินอาหารที่มีประโยชน์ กินให้ครบ 5 หมู่ในทุก ๆ มื้อ เพื่อให้ได้รับสารอาหารครบถ้วนในแต่ละวัน การกินอาหารที่ดี มีประโยชน์ จะทำให้มีน้ำนมเพิ่มขึ้น และช่วยทำให้ร่างกายมีพลังมากขึ้นด้วย โดยคุณแม่อาจกินอาหารที่ช่วยเพิ่มน้ำนม หรือในทางการแพทย์จะเรียกกลุ่มอาหารที่ช่วยเพิ่มน้ำนมว่า กาแลคตาโกจี (Galactagogues) เช่น […]


โภชนาการเด็กวัยหัดเดินและเด็กก่อนวัยเรียน

ประโยชน์ของวิตามินบี สำหรับเด็กมีอะไรบ้าง ทำไมจึงจำเป็นต่อร่างกาย

ประโยชน์ของวิตามินบี คือ ช่วยสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง ซึ่งจะลำเลียงออกซิเจนไปทั่วร่างกาย และยังมีบทบาทสำคัญในกระบวนการเผาผลาญและสร้างพลังงาน มีส่วนช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโตและมีพัฒนาการด้านต่าง ๆ สมวัย จึงนับว่าเป็นวิตามินที่จำเป็นต่อเด็ก ๆ และควรได้รับอย่างเพียงพอ พบมากในอาหาร เช่น ไข่แดง เนื้อสัตว์ ผักใบเขียว ประโยชน์ของวิตามินบี ประเภทต่างๆ วิตามินบี เป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย โดยสามารถแบ่งออกเป็นวิตามินบีชนิดต่าง ๆ ที่สำคัญดังนี้ วิตามินบี1 หรือ ไทอามีน (Thiamine) วิตามินบี1 มีหน้าที่ในการสร้างพลังงาน ช่วยเปลี่ยนน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตประเภทอื่น ๆ ให้เป็นพลังงาน อีกทั้งยังช่วยป้องกันระบบประสาทจากความเสียหาย หรือภาวะเสื่อมสภาพ ประโยชน์ของวิตามินบี1 คือ ช่วยสารสื่อประสาทในการสื่อสารไปยังอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับเด็กแล้ว ความต้องการวิตามินบี1 อยู่ระหว่าง 500 ถึง 900 ไมโครกรัมต่อวัน วิตามินบี1 สามารถพบได้ในถั่ว เมล็ดทานตะวัน ปลา ถั่วลันเตา ถั่วเหลืองคั่ว ถั่วเขียว และขนมปังจากแป้งสาลี อย่างไรก็ดี วิตามินบี1 มีความไวสูงต่ออุณหภูมิ ดังนั้น ในการปรุงอาหารอาจทำให้สูญเสียวิตามินบี1 หากปรุงสุกเกินไป […]


ภาวะทุพโภชนาการ

เด็กขาดวิตามินดี ส่งผลเสียอย่างไรบ้าง

วิตามินและแร่ธาตุสำคัญมีส่วนช่วยสำคัญในการเจริญเติบโตของเด็ก อย่างไรก็ตาม วิตามินดีเป็นหนึ่งในสารอาหารที่จำเป็นมากที่สุดสำหรับการเจริญเติบโตของเด็ก หาก เด็กขาดวิตามินดี ก็อาจส่งผลต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของกระดูก ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่จึงควรให้เด็กรับประทานอาหารตามหลักโภชนาการอย่างครบถ้วน รวมไปถึงอาหารเสริมและกิจกรรมที่เสริมสร้างความแข็งแรงอยู่เสมอ [embed-health-tool-vaccination-tool] ทำไมจึงไม่ควรให้ เด็กขาดวิตามินดี วิตามินดีมีส่วนช่วยในเรื่องการพัฒนาการของกระดูกและช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ดีขึ้น เสริมสร้างกระดูกและสุขภาพฟันให้แข็งแรง นอกจากนี้ วิตามินดี ยังมีส่วนช่วยในการสร้างและควบคุมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันทำให้ร่างกายป้องกันการติดเชื้อ กระตุ้นการผลิตสารอินซูลิน และช่วยเสริมสร้างพัฒนาการของเซลล์ หาก เด็กขาดวิตามินดี อาจทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคแพ้ภูมิตัวเอง (Autoimmune Diseases) เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis) โรคกระดูกอ่อนในเด็ก (Rickets) ทั้งยังอาจทำให้พัฒนาการและการเจริญเติบโตของกระดูกล่าช้า หรือต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานตามพันธุกรรม ดังนั้น การได้รับวิตามินดีที่เพียงพออาจช่วยปกป้องให้เด็ก ๆ ห่างไกลจากโรคต่าง ๆ เช่น โรคหัวใจ โรคมะเร็งบางชนิด โรคเบาหวาน ปริมาณวิตามินดีสำหรับเด็ก สำหรับปริมาณวิตามินดีที่เหมาะสำหรับเด็กแต่ละช่วงวัย มีดังนี้ ทารก 6-12 เดือน ควรได้รับวิตามินดีประมาณ 5 ไมโครกรัม/วัน เด็ก 1-8 ปี ควรได้รับวิตามินดีประมาณ 5 ไมโครกรัม/วัน วัยรุ่น 9-18 ปี ควรได้รับวิตามินดีประมาณ 5 […]


เลี้ยงลูกด้วยนมแม่

ประโยชน์ของการให้นมลูก มีอะไรบ้าง

น้ำนมแม่ ได้ชื่อว่าเป็นอาหารที่เหมาะสมกับทารกแรกเกิดมากที่สุด เพราะมีสารอาหารสำคัญหลายชนิดที่ดีต่อพัฒนาของทารก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พัฒนาการของระบบภูมิคุ้มกัน แต่ ประโยชน์ของการให้นมลูก อาจมีมากกว่าประโยชน์ต่อสุขภาพของลูกน้อย เพราะการให้นมลูกอาจส่งผลดีต่อสุขภาพของคุณแม่ด้วยเช่นกัน 10 ประโยชน์ของการให้นมลูก ที่คุณแม่จะได้รับ 1. ลดความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจ สถาบันกุมารเวชศาสตร์แห่งอเมริกาให้ข้อมูลว่า คุณแม่ที่ให้นมลูกนานกว่า 1 ปี จะลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ 10%  เนื่องจากการให้นมลูกจะช่วยทำให้ความดันโลหิตลดลง และช่วยลดคอเลสเตอรอลด้วย ซึ่งทั้งความดันและคลอเรสเตอรอลต่างก็เป็นสาเหตุของโรคหัวใจ ส่วนสาเหตุที่ทำให้การให้นมลูกมีผลต่อโรคหัวใจ ก็เป็นเพราะเวลาที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ คุณแม่จะกินอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกาย และหลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ช่วยป้องกันการเป็นโรคหัวใจ 2. ภาวะเลือดออกหลังคลอด ร่างกายของผู้หญิงจะมีการสร้างเลือดมากขึ้นในช่วงตั้งครรภ์ เพื่อการเลี้ยงดูทารกในครรภ์ และหลังจากให้กำเนิดทารกแล้ว เลือดนี้จะถูกขับออกมาจากร่างกายเหมือนกับประจำเดือน และมันจะค่อยๆ น้อยลงหลังจากผ่านไปราวหนึ่งสัปดาห์หรือราวๆ นั้น แต่ก็อาจจะใช้เวลาหลายสัปดาห์ก็ได้กว่าจะหยุดโดยสิ้นเชิง (เราเรียกเลือดนี้กันว่า “น้ำคาวปลา”) ถึงแม้เรื่องนี้จะเป็นเรื่องปกติ แต่เราก็สามารถช่วยร่างกายในการกำจัดเลือดนี้ให้หมดไปไวขึ้นได้ และการให้นมลูกก็เป็นวิธีหนึ่งที่ได้ผลดีในการทำให้น้ำคาวปลาหมดไวขึ้น และเมื่อคุณแม่มีเลือดออกลดลง ผลดีอีกอย่างที่ได้ก็คือ จะทำให้ระดับพลังงานของคุณแม่เพิ่มขึ้น เนื่องจากการเสียเลือดมักทำให้เรารู้สึกอ่อนเพลีย และความอ่อนเพลียก็เป็นเรื่องไม่ดีต่อคุณแม่ เพราะอาจทำให้เกิดอาการซึมเศร้าหลังคลอดลูกได้ การให้นมลูกที่ช่วยลดปริมาณและระยะเวลาของการมีเลือดออก (ในน้ำคาวปลา) จึงถือว่าช่วยให้คุณแม่ไม่อ่อนเพลีย และมีความเสี่ยงต่อปัญหาอื่นๆ ต่ำลงด้วย 3. เบาใจเรื่องโรคเบาหวาน ประโยชน์ของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวาน เมื่อลูกโตขึ้น นอกจากนี้ยังทำให้คุณแม่ ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 1 […]


โรคเด็กและอาการทั่วไป

กรดไหลย้อนในเด็ก (Infant Reflux)

กรดไหลย้อนในเด็ก (Infant Reflux) เป็นภาวะที่อาหารไหลย้อนกลับออกมาจากกระเพาะอาหาร ส่งผลให้เด็กอาเจียน หรือที่มักเรียกกันว่า “แหวะนม” มักเกิดกับเด็กทารก เป็นอาการที่มักไม่ส่งผลกระทบรุนแรง และส่วนใหญ่จะหายไปเมื่อเด็กมีอายุเกิน 18 เดือน คำจำกัดความกรดไหลย้อนในเด็ก (Infant Reflux) คืออะไร กรดไหลย้อนในเด็ก (Infant Reflux) เกิดขึ้นเมื่ออาหารไหลย้อนกลับออกมาจากกระเพาะอาหารของเด็ก จนทำให้เด็กอาเจียน หรือแหวะนม เป็นอาการที่มักไม่ส่งผลกระทบรุนแรง กรดไหลย้อน นี้มักหายไปเมื่อเด็กโตขึ้น แต่หากเด็กอายุ 18 เดือนแล้วอาการยังไม่หายไป หรือมีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้น เด็กอาจเป็นโรคกรดไหลย้อน (Gastroesophageal Reflux Disease หรือ GERD) เด็กบางคนอาจเกิดภาวะกรดไหลย้อนวันละหลายครั้ง แต่หากเด็กสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงดี เติบโตและมีพัฒนาการตามปกติ กรดไหลย้อนในเด็กนี้ไม่ใช่อาการที่น่าเป็นห่วงมากนัก ในกรณีหายาก กรดไหลย้อนในเด็กอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพ เช่น โรคภูมิแพ้ ระบบทางเดินอาหารถูกรบกวน หรือโรคกรดไหลย้อน  พบได้บ่อยแค่ไหน กรดไหลย้อนในเด็กนั้นพบได้ทั่วไปในเด็กแรกเกิดไปจนถึงเด็กทารก โดยในช่วงสามเดือนแรก เด็กมักอาเจียน หรือแหวะนมวันละหลายครั้ง และอาการนี้มักหายไปในช่วงอายุ 12-14 เดือน สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมโปรดปรึกษาแพทย์ อาการอาการของ กรดไหลย้อนในเด็ก โดยทั่วไปแล้วกรดไหลย้อนในเด็กไม่ใช่ปัญหาที่น่ากังวล และไม่ใช่เรื่องง่ายที่ในกระเพาะอาหารจะมีกรดมากพอจนทำให้ลำคอหรือหลอดอาหารเกิดการระคายเคือง หรือทำให้มีสัญญาณหรืออาการแทรกซ้อนใด ๆ อย่างไรก็ตาม อาจมีอาการอื่นนอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้น หากมีข้อสงสัยใดๆ […]


เด็กทารก

สีอุจจาระทารก ที่แตกต่างกันสะท้อนสุขภาพลูกน้อยอย่างไรบ้าง

สีอุจจาระทารก นั้นมีความสำคัญมากกว่าที่คุณพ่อ และคุณแม่คิด เพราะสีและลักษณะเนื้ออุจจาระอาจช่วยบ่งบอกถึงสุขภาพของลูกน้อยในขณะนั้นได้ การสังเกตสีและลักษณะของอุจจาระทารกจึงถือว่าเป็นเรื่องสำคัญที่คนในครอบครัวไม่ควรละเลย หากเกิดความผิดปกติกับลูกน้อย จะได้รักษาทันท่วงที   สีอุจจาระทารก บ่งบอกโรคอะไรได้บ้าง สีที่แตกต่างกันของอุจจาระทารกนั้นสะท้อนสุขภาพของทารกแตกต่างกันไปด้วย โดยสีอุจจาทารกนั้น อาจมีสีต่างๆ ได้ดังนี้ สีดำอมเขียว หากลูกน้อยอยู่ในช่วงอายุ 2-4 วัน โดยส่วนใหญ่แล้วอุจจาระมักมีสีดำอมเขียว มีลักษณะข้นๆ เหนียวๆ คล้ายน้ำมันรถ เป็นผลมาจากการย่อยสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น นม อาหาร น้ำคร่ำ น้ำมูก เซลล์ผิวหนัง ในช่วงที่ทารกยังอยู่ในครรภ์ตลอดระยะเวลา 9 เดือน สิ่งเหล่านี้จะถูกคัดกรองออกมาในรูปแบบของอุจจาระจึงทำให้เกิดเป็นสีดำอมเขียวขึ้น ถึงแม้อุจจาระสีนี้จะดูน่าเกลียดน่ากลัว แต่มักไม่มีกลิ่นเหม็น  หลังจากถ่ายอุจจาระออกมาเป็นสีนี้สองสามครั้ง อุจจาระของลูกน้อยก็จะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีอ่อนขึ้น โดยเริ่มจากสีเขียวเข้มเรื่อยไปจนถึงสีเหลืองมัสตาร์ด ซึ่งแสดงให้เห็นว่าทารกเริ่มย่อยนมแม่และนมผงได้แล้ว ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดี สีเหลืองมัสตาร์ด ลูกน้อยจะเปลี่ยนจากการถ่ายอุจจาระสีดำอมเขียวมาเป็นสีเหลืองมัสตาร์ด หรือสีส้ม หากให้ลูกน้อยกินนมแม่เพียงอย่างเดียว ซึ่งอุจจาระสีเหลืองนี้ถือเป็นเรื่องปกติ นอกจากนี้ อุจจาระยังมีลักษณะเหลวๆ เช่นเดียวกับมัสตาร์ดจริงๆ และยังไม่ส่งกลิ่นเหม็น  สีเหลืองเข้ม ถ้าลูกน้อยกินนมผงมากกว่านมแม่ อุจจาระมักเป็นสีเหลืองเข้ม นอกจากนี้ ยังมีเนื้ออุจจาระที่ค่อนข้างหนากว่า และอาจส่งกลิ่นเหม็นเล็กน้อย  แต่ก็ยังถือว่าเป็นอุจจาระที่อยู่ในระดับปกติ เนื่องจากกระเพาะของลูกน้อยนั้นสามารถย่อยนมแม่ และนมผงได้แตกต่างกัน สีเขียวสด อุจจาระสีนี้มักจะพบได้กับเด็กทารกที่กินนมแม่ สาเหตุที่พบได้โดยทั่วไปก็เกิดจากการที่ทารกได้รับนมส่วนหน้า (ที่มีไขมันต่ำ) เกินปริมาณที่เหมาะสม ในขณะที่ได้รับนมส่วนหลัง (ที่มีแคลอรี่มากกว่า) ซึ่งน้ำนมที่ลูกน้อยดูดกินในช่วงแรกๆ […]


เด็กทารก

ทารกสะอึก คุณแม่มือใหม่ควรรับมืออย่างไรดี

ทารกสะอึก เกิดจากกล้ามเนื้อกระบังลมและฝาปิดกล่องเสียงของทารกหดตัวกะทันหัน จึงทำให้เกิดเสียงสะอึกขึ้นมา โดยทั่วไปการสะอึกไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการหายใจหรือภาวะสุขภาพของทารกแต่อย่างใด ทารกสามารถนอนหลับไปพร้อมกับสะอึกไปด้วยได้ อย่างไรก็ตาม คุณแม่ควรศึกษาวิธีแก้อาการสะอึกของทารกให้ดี เพราะหากแก้อาการสะอึกของทารกแบบผิดวิธีเพราะอาจทำให้เกิดอันตรายได้ [embed-health-tool-vaccination-tool] ทารกสะอึก ควรรับมืออย่างไร เมื่อ ทารกสะอึก อาจหาวิธีทำให้ทารกหยุดสะอึก ซึ่งสามารถทำได้ดังนี้ หยุดป้อนนมแล้วปล่อยให้เรอ หยุดป้อนนมแล้วปล่อยให้ทารกเรอ เพราะการเรอจะช่วยกำจัดแก๊สส่วนเกินออกไป ซึ่งแก๊สพวกนี้อาจเป็นสาเหตุของอาการสะอึกได้ โดยการจับให้ตัวทารกให้อยู่ในท่าตัวตั้งตรง สำหรับทารกที่กินนมแม่ ควรปล่อยให้ทารกเรอก่อนที่จะสลับเต้านมให้นมลูกดูดอีกข้าง ใช้จุกนมหลอก อาการสะอึกในทารกอาจไม่ได้เริ่มจากการป้อนนมเสมอไป ฉะนั้น เวลาที่ทารกเริ่มมีอาการสะอึกขึ้นมาเอง อาจปล่อยให้ดูดจุกนมหลอกดู เพราะอาจจะช่วยให้กระบังลมเกิดการผ่อนคลาย แล้วในที่สุดก็หยุดสะอึกได้ ปล่อยให้หยุดเอง โดยปกติแล้ว อาการสะอึกในเด็กทารกมักจะหยุดได้เอง ถ้าอาการสะอึกไม่ยอมหยุดเอง ควรปรึกษาคุณหมอ เพราะมีบางกรณีที่อาการสะอึกอาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพที่มีอาการรุนแรงได้ วิธีป้องกันทารกสะอึก การป้องกันการสะอึกนั้นทำได้ค่อนข้างยาก เนื่องจากเป็นภาวะปกติของร่างกาย แต่อาจลองปฏิบัติตามวิธีดังนี้ กล่อมให้ทารกอยู่ในอาการสงบขณะป้อนนม โดยอาจจะไม่ต้องรอให้ทารกหิวแล้วค่อยป้อน เพราะเมื่อทารกหิวมาก ๆ อาจจะร้องไห้ หรือมีอาการโยเยก่อนที่จะได้ป้อนนมทำให้เกิดอาการสะอึกได้  หลังจากป้อนนมเสร็จแล้ว ควรหลีกเลี่ยงการให้ทารกทำกิจกรรมอะไรหนัก ๆ อย่างเช่น การเขย่าตัว การจั๊กจี้ทารก การปล่อยให้คลานเร็ว ๆ  หลังป้อนนมเสร็จแล้ว ควรจับทารกให้อยู่ในท่าตัวตั้งตรง เป็นเวลา 20 ถึง 30 นาที สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรทำเมื่อทารกสะอึก ถึงแม้จะมีวิธีแก้อาการสะอึกที่ใช้กับผู้ใหญ่ได้ แต่ไม่ควรนำมาใช้กับเด็กทารก เพราะอาจก่อให้เกิดอันตรายได้ โดยเฉพาะวิธีเหล่านี้   แหย่ให้ทารกตกใจ อย่าพยายามแหย่ทารกให้สะดุ้ง เพราะเสียงดังอาจทำให้แก้วหูที่บอบบางของทารกเกิดความเสียหายได้ และอาการตกใจนั้น อาจทำให้ทารกร้องไห้ไม่หยุด ให้รับประทานผลไม้หรือขนมรสเปรี้ยว  ถึงแม้ขนมเปรี้ยวๆ […]


การดูแลทารก

สายสะดือ มีหน้าที่อะไร และวิธีดูแลสายสะดือที่ถูกต้อง

สายสะดือ ทำหน้าที่ลำเลียงสารอาหารและออกซิเจน เพื่อช่วยให้ลูกน้อยได้มีพัฒนาการในการเจริญเติบโตตอนที่ยังอยู่ในครรภ์ แต่หลังจากที่ทารกคลอดออกมา สายสะดือก็ไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป สายสะดือจึงถูกตัดและรัดเอาไว้จนกลายเป็นตอสั้น ๆ ซึ่งถ้าดูแลไม่ดี ก็อาจก่อให้เกิดการติดเชื้อจนทำให้เลือดไหลออกมา มีไข้ มีหนองไหลอกมาได้ [embed-health-tool-vaccination-tool] สายสะดือ คืออะไร สายสะดือ เป็นสายที่ต่อมาจากช่องท้องของทารก แล้วเชื่อมต่อกับรก ทำหน้าที่ในการลำเลียงสารอาหารและออกซิเจนผ่านทางรกที่ติดอยู่กับผนังมดลูกด้านในของคุณแม่ หลังจากที่ทารกคลอดออกมาแล้ว สายสะดือจะถูกรัดและตัดให้ชิดอยู่กลางลำตัวของร่างกายเด็ก ทำให้เกิดเป็นตอสะดือ ซึ่งขั้นตอนนี้ไม่ทำให้ทารกรู้สึกเจ็บปวด สายสะดือจะแห้งและหลุดออกภายใน 7-21 วัน เหลือไว้แต่แผลเล็ก ๆ ที่อาจหายได้เองภายใน 2-3 วัน วิธีดูแลสายสะดือ สายสะดือจะแห้งและหลุดออกไปในที่สุด ซึ่งโดยปกติจะหลุดออกภายใน 1-3 สัปดาห์หลังคลอด ซึ่งในระหว่างนี้คุณพ่อคุณแม่ก็ควรดูแลสายสะดือให้เด็กทารก ด้วยวิธีการต่อไปนี้ รักษาความสะอาดและทำให้สายสะดือแห้งอยู่เสมอ พับผ้าอ้อมไม่ให้ไปกดทับในบริเวณสายสะดือ (หรือซื้อผ้าอ้อมสำหรับเด็กแรกเกิดที่ทำรอยเว้าเอาไว้สำหรับสายสะดือ) วิธีนี้อาจช่วยให้สายสะดือโดนลม และช่วยป้องกันไม่ได้โดนปัสสาวะของเด็กด้วย อาบน้ำให้ลูกน้อยด้วยการใช้ฟองน้ำ ชุบน้ำเช็ดตามเนื้อตัวให้ลูกน้อย แทนการจับลูกน้อยลงไปนอนแช่ในอ่างน้ำ เลือกเสื้อผ้าที่โปร่งสบายให้ลูกน้อย ถ้าสภาพอากาศอบอุ่นสบาย ก็ให้ลูกน้อยใส่แค่ผ้าอ้อมและเสื้อยืดหลวม ๆ เพื่อช่วยให้เกิดอากาศถ่ายเท ซึ่งจะทำให้แผลแห้งได้เร็วขึ้น อย่าสวมเสื้อผ้ารัดแน่นให้ลูกน้อย หลีกเลี่ยงการสวมกางเกงหรือบอดี้สูทให้ลูกน้อย อย่าพยายามแกะแผลสายสะดือ ผลการศึกษาวิจัยพบว่า การไม่ไปแตะต้องกับแผลบริเวณสะดือเลย จะช่วยให้แผลแห้งได้เร็วกว่า และไม่ต้องเสี่ยงที่จะเกิดการติดเชื้อ  สัญญาณที่บ่งบอกว่าสายสะดือเกิดการติดเชื้อ ถึงแม้แผลสายสะดือจะเกิดอาการติดเชื้อได้ยาก แต่ถ้าลูกน้อยมีอาการต่อไปนี้ ก็ควรรีบปรึกษาคุณหมอทันที […]


เด็กทารก

เพิ่มพลังสมองลูก วัยทารก ทำได้อย่างไรบ้าง

เด็กวัยทารก ถือเป็นวัยที่มีพัฒนาการทางด้านร่างกายและสมองเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว การส่งเสริมพัฒนาการ และ เพิ่มพลังสมองลูก ในวัยนี้ ด้วยวิธีที่เหมาะสม ถือเป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรให้ความสำคัญ นอกจากนี้ คุณพ่อคุณแม่ควรหมั่นสังเกตพัฒนาการทางสมอง สติปัญญา อารมณ์ ร่างกาย และจิตใจของทารกอยู่เสมอ หากพบความผิดปกติทางด้านพัฒนาการใด ๆ ควรรีบพาลูกไปพบคุณหมอ เพื่อหาสาเหตุและวิธีรักษาที่เหมาะสมที่สุด 9 วิธีช่วย เพิ่มพลังสมองลูก 1. อ่านหนังสือให้ลูกฟัง เลือกหนังสือที่มีรูปภาพขนาดใหญ่ ที่มีสีสันและรูปร่างสวยสดงดงาม แล้วร่วมแบ่งปันความสุขกับลูกน้อย ด้วยการชี้ไปที่รูป พร้อมกับทำเสียงที่ฟังดูน่าสนใจ อย่างเช่น ทำเสียงสัตว์เวลาที่เปิดไปเจอรูปสัตว์ที่อยู่ในฟาร์ม ปรับโทนเสียงให้ฟังดูน่าตื่นเต้น พร้อมกับเล่าเรื่องราวให้ฟังง่ายๆ หรือใส่รายละเอียดที่น่าสนใจ ภาษาที่เขาได้ยินรวมทั้งสิ่งทีคุณพูดกับเขาทุกวันนั้น มีส่วนอย่างมากในการส่งเสริมพัฒนาการทางด้านภาษาของลูกน้อย 2. เล่นสนุกกับลูกน้อย การเล่นกับลูกน้อย เช่น การจั๊กจี้ หรือการนวดตัวทารก มีผลการศึกษาวิจัยชิ้นหนึ่งแสดงให้เห็นว่า ทารกที่ได้รับการเอาใจใส่จากแม่ด้วยวิธีการเหล่านี้ จะมีสมองส่วนหน้าที่เกี่ยวข้องกับความจำที่หนากว่าเด็กที่ไม่ได้รับการเอาใจใส่ ซึ่งก็หมายความว่า ลูกน้อยจะมีพัฒนาการทางด้านความจำ การเพ่งความสนใจ และมีความสามารถในการเรียนรู้ที่ดีขึ้น 3. ทำหน้าตลกๆ การทำหน้าตลกๆ ให้ลูกน้อยดู เด็กแรกเกิดที่มีอายุตั้งแต่สองวันขึ้นไป สามารถเลียนแบบการเคลื่อนไหวบนใบหน้าที่เขาเห็นได้แล้ว ซึ่งนี่เป็นสัญญาณของการแก้ปัญหาช่วงเริ่มต้นชีวิตของเขา 4. ร้องเพลงง่ายๆ ที่มีจังหวะและวลีซ้ำๆ เพลงเด็กๆ อย่างเช่น ‘แมงมุมลายตัวนั้น‘ และ ‘เป็ดอาบน้ำในคลอง‘ […]

ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา

กำลังมองหาเรื่องราวในการเลี้ยงดูบุตรใช่หรือไม่?

เข้าร่วมชุมชนการเลี้ยงดูบุตรและแลกเปลี่ยนข้อมูลกับคุณแม่และคุณพ่อคนอื่น ๆ เข้าร่วมชุมชนได้เลย!





ad iconโฆษณา

ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของเรา

ทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของ Hello คุณหมอ ประกอบไปด้วยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มาร่วมสร้างสรรค์บทความในเว็บไซต์ของเราตามความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญของเราจะช่วยรับรองว่าข้อมูลด้านสุขภาพของเราถูกต้อง เป็นปัจจุบัน และตรงตามหลักฐานจากงานวิจัยล่าสุด
ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรามุ่งมั่นเต็มที่ในการช่วยให้คุณได้รับข้อมูลและความรู้ด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือ เข้าใจง่าย และเป็นประโยชน์ และพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพกับคุณเสมอ เพื่อให้คุณได้รับทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น

ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ชุมชน