พ่อแม่เลี้ยงลูก

ในทุกช่วงชีวิตของลูกน้อย เหล่าคุณพ่อคุณแม่จำเป็นที่จะต้องรู้วิธีดูแลและสนับสนุนสุขภาพโดยรวมของลูกน้อย เพื่อให้ความเป็นอยู่ของลูกน้อยดีขึ้น เพราะฉะนั้นใน พ่อแม่เลี้ยงลูก คุณจะได้พบกับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ รวมถึงเคล็ดลับในการดูแลลูกให้แข็งแรง มีความสุข และสามารถปรับตัวได้ในทุกสถานการณ์

เรื่องเด่นประจำหมวด

พ่อแม่เลี้ยงลูก

ทารกสะอึกแบบไหนที่คุณพ่อคุณแม่ควรระวัง

เรื่องใหญ่สำหรับคุณพ่อคุณแม่คงจะหนีไม่พ้นการดูแลลูกน้อยให้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง และมีพัฒนาการที่เหมาะสมตามวัย แน่นอนว่าการใส่ใจในทุกรายละเอียดของชีวิตประจำวันเป็นสิ่งสำคัญ เพราะฉะนั้นคุณพ่อคุณแม่คงจะรู้จักลูกน้อยของตนเองดีกว่าใคร ยิ่งถ้าหากวันไหนลูกเกิดมีอาการผิดสังเกตไปจากปกติ คุณพ่อคุณแม่คงหวั่นใจไม่น้อย หนึ่งในอาการที่มักพบได้บ่อยในเด็กทารกที่มีอายุต่ำกว่า 12 เดือน คืออาการ “สะอึก”1 คุณพ่อคุณแม่อาจสงสัยว่าอาการสะอึกของลูกปกติดีหรือไม่? ลูกไม่สบายตรงไหนรึเปล่า? Hello คุณหมอได้รวบรวมคำตอบ พร้อมเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับอาการสะอึกของทารก เอาไว้ให้ในบทความนี้แล้ว ครั้งต่อไปที่ลูกสะอึกก็พร้อมรับมือด้วยความมั่นใจได้อย่างแน่นอน ลูกสะอึกแต่ละที สะเทือนไปทั้งตัว แม้ว่าอาการสะอึกจะเกิดขึ้นกับคนได้ทุกวัย ถ้าแก้ไขถูกวิธีแค่ไม่นานก็หาย ดูแล้วไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร แต่เมื่อเด็กทารกสะอึก กลับดูสะเทือนไปทั้งตัว จนคุณพ่อคุณแม่อดห่วงไม่ได้ว่าลูกจะเจ็บตรงไหนหรือรู้สึกไม่สบายหรือเปล่า ที่จริงแล้วอาการสะอึกไม่ได้รบกวนลูกน้อยแต่อย่างใด ทารกที่สะอึกสามารถกินและนอนได้ตามปกติ หากอาการสะอึกนั้นเกิดขึ้นช่วงสั้นๆ เพียง 5-10 นาที2 สาเหตุที่ทารกสะอึกคืออะไร ทารกสะอึกไม่ใช่เรื่องผิดปกติแต่อย่างใด โดยอาการนี้มักเกิดขึ้นหลังจากที่ทารกอิ่มนมแล้ว อาจเป็นไปได้ว่าเพราะดื่มเยอะ ดื่มเร็ว หรือกลืนอากาศเข้าไปด้วย สาเหตุเป็นเพราะนมที่ดื่มเข้าไปทำให้กระเพาะอาหารขยายตัว จนเกิดแรงดันส่งไปยังกล้ามเนื้อกะบังลม พอหายใจออก กล้ามเนื้อกะบังลมก็จะหดตัวอย่างรวดเร็ว จนเกิดเสียงสะอึกออกมา³ อาการสะอึกของเด็กทารก มักพบได้บ่อยในช่วง 3 เดือนแรก พออายุเข้า 4-5 เดือน อาการสะอึกก็จะค่อยๆ ลดลง หายไปเอง นอกเหนือจากสาเหตุข้างต้นแล้ว เหตุผลที่เด็กทารกสะอึกก็อาจมาจากอาการท้องอืด เพราะระบบย่อยอาหารยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ หรืออาจเป็นผลข้างเคียงจากการรับประทานยาบางชนิดก็ได้เช่นกัน3 ทารกสะอึกแบบไหนถึงเรียกว่าอันตราย     อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้น ว่าทารกสะอึกจะเกิดขึ้นเพียง 5-10 นาที จากนั้นจะค่อยๆ […]

หมวดหมู่ พ่อแม่เลี้ยงลูก เพิ่มเติม

สำรวจ พ่อแม่เลี้ยงลูก

ขวบปีแรกของลูกน้อย

พัฒนาการเด็ก สัปดาห์ที่ 15 ของลูกน้อย

พัฒนาการเด็ก สัปดาห์ที่ 15 หรือประมาณ 4 เดือน เป็นช่วงเวลาที่ลูกเริ่่มมีความอยากรู้อยากเห็น มองสำรวจสิ่งต่าง ๆ รอบตัว และอาจเริ่มสามารถดันตัวเองได้ขณะนอนคว่ำ อีกทั้งยังอาจชอบหยิบจับสิ่งของต่าง ๆ เข้าปาก คุณพ่อคุณแม่ควรระมัดระวังเรื่องปัญหาการสำลัก และควรเลือกสิ่งที่ปลอดภัยที่จะให้ลูกน้อยหยิบจับหรือนำเข้าปาก ไม่ควรเลือกของเล่นชิ้นเล็กเกินไป เพราะอาจส่งผลให้ติดต่อได้ [embed-health-tool-vaccination-tool] การเจริญเติบโตและพฤติกรรม ลูกน้อยจะเติบโตอย่างไร ลูกน้อยจะเริ่มหาข้อสรุปเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัว เขาจะมองทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความอยากรู้อยากเห็น โดยอาจวางกระจกเงาชนิดที่ตกไม่แตกไว้ข้างๆ ลูกน้อย หรือจับเขาไปอยู่หน้ากระจกเวลาที่กำลังแต่งตัวในตอนเช้าๆ เจ้าตัวเล็กจะไม่รู้หรอกว่าภาพในกระจก คือตัวเขาเอง (แต่จะเริ่มรู้เมื่อมีอายุได้สองขวบ) แต่ที่สำคัญคือเขาชอบจ้องมองภาพสะท้อน ของตัวเองและคนอื่นๆ และอาจแสดงความชอบใจออกมาด้วยการยิ้มกว้างโชว์ให้เห็นเหงือก ในสัปดาห์ที่สามของเดือนที่สามนี้ ลูกน้อยอาจจะ… ชันคอแข็งเวลาเวลาที่ลำตัวตั้งตรง ใช้มือดันหน้าอกขึ้นได้ เวลาที่นอนคว่ำ หยิบจับสิ่งของได้ ระวังสิ่งของเล็กๆ อย่างเช่น ลูกเกด โดยอย่าวางข้าวของประเภทนี้ ในบริเวณที่เขาเอื้อมหยิบได้เด็ดขาด เขาเริ่มตัดสินโน่นนี่กับสิ่งต่างๆ รอบตัว และมองสิ่งต่างๆ รวมทั้งตัวเขาเอง ด้วยสายตาที่ส่อถึงความอยากรู้อยากเห็นเป็นอย่างมาก ควรดูแลลูกน้อยอย่างไร ลูกน้อยอาจหยุดดูดนิ้วหัวคุณแม่มือหรือขวดนม เพื่อที่จะฟังเสียง ปล่อยให้ลูกน้อยส่งเสียงอ้อแอ้ไปเรื่อยๆ และก็เล่าเรื่องราวให้เขาฟัง วิธีไม่เพียงแต่ช่วยสร้างความสัมพันธ์ให้กับลูกน้อยเท่านั้นนะ แต่ยังช่วยให้ลูกน้อยได้แสดงอารมณ์ออกมาด้วย ลองดูซิว่าลูกน้อยส่งสัญญาณโต้ตอบกลับมาบ้างหรือเปล่า เวลาที่อยู่กับเพื่อนๆ ก็ควรปล่อยให้ลูกน้อยนั่งอยู่ใกล้ๆ เพื่อที่จะได้ยินเสียงคนโน้นคนนี้พูด  หรือรู้จักตอบโต้กับคนอื่น ลูกน้อยจะเพลิดเพลินกับการนั่งมองเด็กคนอื่นเล่นโน่นเล่นนี่ หรือมองเด็กที่โตกว่ากำลังหัดเดิน […]


ขวบปีแรกของลูกน้อย

พัฒนาการเด็ก สัปดาห์ที่ 14 ของลูกน้อย

พัฒนาการเด็ก สัปดาห์ที่ 14 หรือประมาณ 3 เป็นช่วงที่ลูกน้อยอาจชื่นชอบในการสัมผัสตัว เช่น การกอด การจับ ซึ่งอาจช่วยเพิ่มความผูกพันและช่วยปลอบโยนลูกได้ รวมไปถึงการสัมผัสกับสิ่งของต่าง ๆ รอบตัวเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งของนั้น ๆ ในช่วงนี้คุณพ่อคุณแม่ควรปล่อยให้ลูกได้ทดลองสัมผัสกับสิ่งต่าง ๆ รอบตัว และควรให้ลูกได้รับวัคซีนที่ครบถ้วน เพื่อช่วยเสริมสร้างพัฒนาการและภูมิคุ้มกันของลูก [embed-health-tool-vaccination-tool] การเจริญเติบโตและพฤติกรรม ลูกน้อยจะเติบโตอย่างไร ในช่วงนี้ลูกจะชอบสัมผัส ซึ่งจริง  ๆ แล้ว การสื่อสารด้วยการสัมผัสนั้นมีบทบาทสำคัญมากต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็ก การสัมผัสเนื้อตัวไม่เพียงแต่จะช่วยให้และลูกน้อยผูกพันกับคนในครอบครัวเท่านั้น แต่ยังเป็นการปลอบโยนเวลาที่ลูกน้อยรู้สึกหงุดหงิด หรือรำคาญใจด้วย ลูกอาจโบกไม้โบกมือและถีบขา เวลาที่สะโพกและขามีความยืดหยุ่นขึ้น ลูกน้อยก็จะสามารถถีบได้แรงขึ้น ในช่วงสัปดาห์ที่ 14 นี้ ลูกน้อยอาจจะมีพัฒนาการต่าง ๆ ดังนี้ หัวเราะเสียงดัง ชันคอตั้งได้ถึง 90 องศา ในขณะที่นอนราบ กรีดร้องเวลาที่รู้สึกตื่นเต้น ประสานมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกัน หัวเราะได้บ่อย ๆ มองตามวัตถุที่อยู่ในระยะ 15 เซนติเมตร และสามารถหันได้ 180 องศา จากด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่ง ควรดูแลลูกน้อยอย่างไร พัฒนาการเด็ก สัปดาห์ที่ 14 ควรช่วยให้ลูกมีพัฒนาการมากขึ้น โดยปล่อยให้เขาสัมผัสกับวัตถุต่าง ๆ หลากหลายชนิด อย่างเช่น ผ้าขนสัตว์ ผ้าสักหลาด […]


ขวบปีแรกของลูกน้อย

พัฒนาการเด็ก สัปดาห์ที่ 13 ของลูกน้อย

ถ้าคุณเป็นคุณแม่ที่เพิ่งคลอดได้ไม่นาน แล้วอยากจะรู้ถึงพัฒนาการของลูกน้อยในแต่ละช่วงเวลาล่ะก็ นี่คือข้อมูลของ พัฒนาการเด็ก สัปดาห์ที่ 13 ที่คุณแม่ควรรู้เอาไว้ [embed-health-tool-vaccination-tool] การเจริญเติบโต พฤติกรรมและ พัฒนาการเด็ก สัปดาห์ที่ 13 ลูกน้อยจะเติบโตอย่างไร ในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนที่ 3 ลูกน้อยอาจจะ จดจำคุณพ่อคุณแม่ได้ ในช่วงอายุ 13 สัปดาห์นี้ ลูกน้อยแสดงออกได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น เด็กในกลุ่มวัยนี้ประมาณครึ่งหนึ่งจะแสดงความสามารถในการจดจำคุณพ่อคุณแม่ได้เป็นอย่างดี ยิ้มให้คนแปลกหน้า โดยเฉพาะคนที่มองตาเวลาพูดคุยหรือเล่นกับเด็ก อย่างไรก็ตามทารกจะเพ่งมองและแยกแยะว่าพวกเขาเป็นใคร และแน่นอนว่าลูกน้อยจะรักคุณพ่อคุณแม่ และผู้คนรอบตัวมากกว่า การตอบสนองของลูกน้อย ลูกน้อยสามารถนิ่ง สบตา หรือมองหาคุณพ่อคุณแม่ในห้อง รวมถึงขยับแขน หรือหัวเราะด้วยความตื่นเต้นเมื่อเจอคุณพ่อคุณแม่ ควรดูแลลูกน้อยอย่างไร เด็ก ๆ ที่พูดคุยกับคุณพ่อคุณแม่ จะมีไอคิวสูงและรู้คำศัพท์มากมาย เมื่อพวกเขามีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเด็กคนอื่น ๆ ฉะนั้นการพูดจาโต้ตอบกับลูกน้อยในช่วงนี้จึงมีความสำคัญมาก พูดคุยเกี่ยวกับสิ่งรอบตัวเวลาที่พาลูกน้อยไปเดินเล่น หรือไปซื้อของในห้างสรรพสินค้า ถึงแม้ลูกน้อยจะยังพูดตามไม่ได้ แต่เขาสามารถจับใจความสำคัญ และมีพัฒนาการทางด้านความจำได้ สุขภาพและความปลอดภัย ผื่นผ้าอ้อม ผื่นแดงจากผ้าอ้อม มักจะเกิดจากความเปียกชื้นและการเสียดสี ปัสสาวะและอุจจาระที่คั่งค้างอยู่ในผ้าอ้อมเป็นเวลานาน ๆ อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิว และทำให้เชื้อแบคทีเรียและเชื้อราเพิ่มจำนวนมากขึ้น ในบางครั้งก็ทำให้เกิดการติดเชื้อบนผิวหนังขึ้นมาได้ นอกจากนี้ กลิ่นของผ้าอ้อม หรือแผ่นการเช็ดทำความสะอาดสำเร็จรูป ก็อาจทำให้ผิวระคายเคืองได้ด้วย แต่อาจพบได้ค่อนข้างน้อย วิธีเยียวยาผื่นผ้าอ้อมที่ดีที่สุด คือ ให้ลูกน้อยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย และไม่อับชื้น […]


ลูกวัยเตาะแตะและเด็กก่อนวัยเรียน

พัฒนาการเด็ก 1 ขวบ 2 เดือน

พัฒนาการเด็ก 1 ขวบ 2 เดือน อาจแตกต่างกันไปในเด็กแต่ละคน แต่โดยพื้นฐานแล้วย่อมต้องมีพัฒนาการตามวัยทั้งทางด้านร่ายกาย อารมณ์ และจิตใจ  คุณพ่อคุณแม่จำเป็นต้องศึกษาข้อมูลและสังเกตพัฒนาการของลูกน้อย ทั้งนี้ เพื่อจะได้รับมือกับลูกน้อยได้อย่างเข้าใจ รวมทั้งหากเกิดความผิดปกติด้านพัฒนาการ จะได้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญอย่างทันท่วงที การเจริญเติบโตทางร่างกายและความสามารถของเด็ก 1 ขวบ 2 เดือน 1.จากรายงานขององค์กรอนามัยโลก (WHO)  น้ำหนักเฉลี่ยของเด็กวัยนี้อยู่ที่ 9 กิโลกรัมสำหรับเด็กผู้หญิง และ  10 กิโลกรัมสำหรับเด็กผู้ชาย ส่วนความสูงเฉลี่ยอยู่ที่ 76 เซนติเมตรสำหรับเด็กผู้หญิง และ 78 เซนติเมตรสำหรับเด็กผู้ชาย 2.เด็กในวัยนี้ส่วนใหญ่สามาถยืนได้ด้วยตนเองและเริ่มก้าวเท้าสองสามก้าวได้แล้ว บางคนอาจเดินได้เองแล้ว หรืออาจมีเด็กบางคนที่อาจเริ่มวิ่งหรือแม้กระทั่งเริ่มคลานขึ้นบันได รวมทั้งปีนป่าย 3. ฟันน้ำนมเริ่มขึ้นแล้ว ควรแปรงฟันให้ลูกน้อยเป็นประจำทุกวัน และวัยนี้อาจสามารถเอ่ยคำง่าย ๆ เช่น พ่อ แม่ ได้ และอาจจะพูดคำอื่น ๆ ได้อีก 5-6 คำ รวมทั้งความสามารถในการรับคำสั่งง่าย ๆ เช่น ไปหยิบของเล่น ไปข้างนอก 4. พ่อแม่หลายคนอาจเริ่มอยากฝึกให้ลูกเข้าห้องน้ำหรือฝึกใช้กระโถน โดยปกติแล้ว เด็ก […]


การเติบโตและพัฒนาการ

ฝึกให้ลูกใส่เสื้อผ้าด้วยตัวเอง คุณพ่อคุณแม่ทำได้อย่างไรบ้าง

การฝึกให้ลูกเริ่มทำกิจวัตรประจำวันด้วยตัวเองนั้น เป็นการเสริมทักษะและพัฒนาการของลูกได้เป็นอย่างดี โดยคุณพ่อคุณแม่อาจจะเริ่มจากการ ฝึกให้ลูกใส่เสื้อผ้าด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นกิจกรรมง่าย ๆ จากนั้นจึงเริ่มเปลี่ยนให้ลูกได้ทำสิ่งอื่นด้วยตัวเองต่อไป แต่การที่จะฝึกให้ลูกทำกิจวัตรประจำวันต่าง ๆ ด้วยตัวเองนั้นอาจต้องค่อยเป็นค่อยไป ทั้งยังอาจต้องคอยให้ความช่วยเหลือจนกว่าลูกจะทำสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างคล่องแคล่ว 4 ข้อควรรู้ในการ ฝึกให้ลูกใส่เสื้อผ้าด้วยตัวเอง การฝึกให้ลูกสามารถช่วยเหลือตัวเองด้วยกิจวัตรประจำวันแบบง่าย ๆ นับว่าเป็นการเริ่มต้นพัฒนาทักษะอันจำเป็นต่อการเติบโตของเด็กได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม ยังอาจมีสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรรู้เกี่ยวกับการฝึกให้ลูกใส่เสื้อผ้าด้วยตัวเอง ดังนี้ เข้าใจลูก ลุกก็เหมือนกับคุณพ่อคุณแม่ที่มักมีสไตล์การแต่งตัวเป็นของตัวเอง ดังนั้น ควรเลือกเสื้อผ้าให้ลูกด้วยการถามความสมัครใจ หรือความชอบในการใส่เสื้อผ้าของลูกแทนที่จะเลือกตามความชอบของคุณพ่อคุณแม่เอง โดยอาจจะถามลูกว่า ต้องการใส่เสื้อผ้าแบบไหน อยากใส่ชุดสีอะไร ให้พวกเขาได้ตัดสินใจและเลือกสไตล์ของตัวเอง ซึ่งอาจช่วยเพิ่มความมั่นใจในกับลูกอีกทางหนึ่ง สร้างมาตรฐาน การให้ลูกได้แต่งกายตามสไตล์ของตัวเองเป็นเรื่องที่ดี แต่ในบางครั้ง ลูกอาจมีความต้องการสวมเสื้อผ้าที่ผิดกฎระเบียบของโรงเรียน หรือมีการแต่งตัวที่ไม่เหมาะสมกับสถานที่ คุณพ่อคุณแม่อาจต้องการอธิบายให้ลูกเข้าใจในเรื่องของกาลเทศะ หรืออาจแก้ปัญหาด้วยการแยกชุดไว้ว่า ชุดนี้สำหรับแต่งตัวไปเล่น ชุดนี้สำหรับไปโรงเรียน เคารพความเป็นส่วนตัว คุณพ่อคุณแม่อาจไม่ได้เข้าใจในสไตล์การแต่งตัวของลูก ดังนั้น จึงควรทำความเข้าใจว่า ลูกไม่ได้สนใจเกี่ยวกับภาพลักษณ์ในการแต่งตัวมากเท่ากับว่า เสื้อผ้าชุดนั้นสวมใส่สบายหรือไม่ ลูกอาจเพียงแค่ต้องการสวมใส่ชุดที่สบายและสะดวกกับการใช้ชีวิตมากกว่าการใส่เสื้อผ้าที่ช่วยให้ดูดีในสายตาของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ปล่อยให้เป็นเรื่องของเด็ก ในบางครั้ง ลูกอาจมีการผสมผสานเสื้อผ้าแบบต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ซึ่งอาจดูแปลกตาและไม่ค่อยถูกใจคุณพ่อคุณแม่สักเท่าไหร่ อย่างไรก็ตาม คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรห้ามหรือดุด่าพวกเขา ควรปล่อยให้เป็นเรื่องของพวกเขา เพียงแค่คอยให้คำแนะนำถึงกาลเทศะว่า แต่ละชุดนั้นสามารถแต่งไปที่ไหนได้บ้าง และไม่ควรแต่งไปในสถานที่แบบใด วิธีฝึกให้ลูกใส่เสื้อผ้าด้วยตัวเอง เริ่มจากกางเกงยางยืด […]


เด็กวัยเรียน

เรียนหนัก มากเกินไป ส่งผลต่อเด็กอย่างไรบ้าง

ในปัจจุบันนี้การทุ่มเทเวลาอยู่กับการเรียนตลอดทั้งวันและทุกวัน แทบจะเป็นเรื่องปกติที่เด็ก ๆ วัยเรียนจะต้องเจอ นอกจากการเรียนที่โรงเรียนตลอดทั้งวันแล้ว ยังมีเรียนพิเศษหลังเลิกเรียน เรียนเสริมในวันหยุดสุดสัปดาห์ และติวเข้มในช่วงใกล้สอบ แม้ว่าการตั้งใจเรียนจะเป็นสิ่งที่ดีและส่งผลที่น่าชื่นชมในอนาคต แต่การที่ เรียนหนัก มากจนเกินไปอาจให้โทษร้ายที่คาดไม่ถึง [embed-health-tool-bmi] เรียนหนัก มีข้อดีอย่างไรบ้าง แน่นอนว่าการทุ่มเทให้กับการเรียน ย่อมส่งผลดีต่อตัวเด็ก เด็กจะได้รับประโยชน์มากมาย ได้แก่ เป็นการเพิ่มโอกาสการเรียนรู้ให้กับเด็ก ช่วยพัฒนาทักษะที่จำและสำคัญในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นความรับผิดชอบ การจัดการตารางเวลา ความมีวินัย เป็นการเพิ่มโอกาสในการพบปะผู้คน และเสริมสร้างความมีมนุษยสัมพันธ์อันดีกับผู้อื่น รู้จักการเข้าสังคม ป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น จากการใช้เวลาว่างไม่เป็นประโยชน์ เช่น การเสพยา เล่นการพนัน ได้รับผลคะแนนที่ดีเป็นที่น่าพอใจ มีโอกาสที่จะได้รับโอกาสดีๆ ที่เข้ามา เช่น ทุนการศึกษา ทุนเรียนต่อต่างประเทศ เพราะมีการเตรียมพร้อมทางด้านวิชาการเป็นอย่างดี เรียนหนักมากเกินไปก็มีข้อเสีย สิ่งใดที่มากไปย่อมไม่ดี การเรียนที่มากจนเกินไปก็ส่งผลเสียต่อเด็กเช่นกัน ทำให้เด็กเกิดความเครียดและความวิตกกังวล และสามารถที่จะกลายเป็นภาวะซึมเศร้าได้ ไม่มีเวลาส่วนตัวในการที่จะใช้ชีวิต สามารถที่จะทำให้เด็กไม่ได้มีการพัฒนาทักษะทางด้านอารมณ์ ไม่มีเวลาอยู่ร่วมกับครอบครัว มีอาการเก็บกด รู้สึกอึดอัด อาจนำไปสู่การฆ่าตัวตายได้ หากเด็กมีภาวะเครียดหนัก พ่อแม่รู้ได้อย่างไรว่าลูกเริ่มเรียนหนักมากเกินไป ป่วยง่ายมากกว่าเมื่อก่อน ไม่ค่อยมีความกระตือรือร้น ไม่ได้ทำกิจกรรมเหมือนเด็กปกติ เช่น ไปเที่ยว ดูหนัง หรือกิจกรรมอื่นๆ เริ่มมีความผิดปกติทางด้านของความคิด เก็บตัว […]


เด็กทารก

เด็กแรกเกิด ทำอะไรบ้างใน 1 วัน กับสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรรู้

เด็กแรกเกิด ต้องการการดูแลและใส่ใจจากคุณพ่อคุณแม่มือใหม่เกือบตลอด 24 ชั่วโมง แม้เด็กแรกเกิดจะยังเคลื่อนไหวได้ไม่มากนัก แต่พวกเขาก็มีกิจวัตรประจำวันที่ต้องทำเช่นเดียวกับคนวัยอื่น ๆ และอาจต้องการการดูแลที่มากเป็นพิเศษกว่าวัยอื่น ๆ คุณพ่อคุณแม่มือใหม่รู้หรือไม่ว่า แท้จริงแล้วเด็กแรกเกิดทำอะไรบ้างใน 1 วัน เด็กแรกเกิด ทำอะไรบ้างใน 1 วัน การกิน เด็กแรกเกิดส่วนใหญ่ต้องการกินอาหารทุก ๆ 1 ชั่วโมงครึ่ง-3 ชั่วโมงครึ่ง ซึ่งจะขึ้นอยู่กับการให้นมของคุณแม่ด้วย โดยเด็กแรกเกิดจะมีวิธีสื่อสารเวลาที่หิว เช่น ทำท่าดูดมือหรือดูดนิ้ว หรืออ้าปากเมื่อถูกสัมผัสที่แก้ม ส่วนการร้องไห้มักจะเกิดขึ้นเวลาที่หิวมาก นอกจากนี้ หลังกินนมคุณแม่ควรทำให้ลูกเรอ และถ้าเด็กแรกเกิดนอนหลับไปขณะกินนม หรือเบือนหน้าหนีจากเต้านม อาจเป็นสัญญาณว่าอิ่มแล้ว หรือถ้าเด็กแรกเกิดร้องไห้อาจหมายความว่า อยากกินอีก การอุจจาระและการเปลี่ยนผ้าอ้อม เด็กแรกเกิดอาจปัสสาวะมากกว่า 6 ครั้ง หรืออุจจาระมากกว่า 4 ครั้ง/วัน ทำให้ต้องเปลี่ยนผ้าอ้อมหลายครั้ง และในช่วงสัปดาห์แรก อุจจาระของเด็กแรกเกิดอาจดูหนาและมีสีดำหรือสีเขียวเข้ม เรียกว่า ขี้เทา ( Meconium) หรืออุจจาระของทารกตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ซึ่งหลังจากขับถ่ายขี้เทาแล้ว อุจจาระของเด็กแรกเกิดก็จะกลายเป็นลักษณะอ่อนนุ่ม และเป็นมูก นอกจากนี้ ถ้าคุณแม่ให้นม เด็กแรกเกิดอาจมีอุจจาระสีเหลืองอ่อน และเป็นก้อนเล็ก ๆ ส่วนถ้าเด็กแรกเกิดกินนมผง อุจจาระอาจมีเนื้อแน่น และมีสีเหลืองหรือสีน้ำตาลอ่อน […]


เด็กทารก

การนอนของเด็กทารก เรื่องสำคัญที่พ่อแม่ควรรู้

การนอนของเด็กทารก ถือว่าเป็นเรื่องที่มีความสำคัญต่อพัฒนาการของเด็ก แต่สำหรัยคุณพ่อคุณแม่มือใหม่อาจจะยังไม่รู้วิธีการเตรียมความพร้อม หรือยังทำความเข้าใจเกี่ยวกับการนอนของเจ้าตัวเล็กได้ไม่ดีพอ ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่จึงควรศึกษาเกี่ยวกับวิธีการนอนของทารก รวมถึงการทำให้ทารกได้นอนหลับอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อพัฒนาการและการเจริญเติบโตที่ดี [embed-health-tool-vaccination-tool] การนอนของเด็กทารก กับสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรรู้ สำหรับสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรรู้เกี่ยวกับการนอนของเเด็กทารก อาจมีดังนี้ ไม่ควรกำหนดตารางการนอน การนอนของเด็กทารก เป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญ โดยคุณพ่อคุณแม่มือใหม่จึงไม่ควรที่จะไปกำหนดเวลา หรือจัดตารางการนอนให้กับเด็กทารก เนื่องจากช่วงระยะเวลา 2-3 วันแรกหลังคลอด เด็กทารกจะนอนมากเป็นพิเศษ หลังจากนั้น การนอนก็จะถูกปรับไปตามระยะเวลาการใช้ชีวิตของแต่ละครอบครัว ซึ่งก็จะมีรูปแบบการนอนที่ไม่ตายตัว สังเกตการนอน ถ้าหากว่ายังไม่สามารถที่จะไปกำหนดหรือจัดตารางการนอนของเด็กทารกได้ คุณพ่อคุณแม่อาจลองสังเกตดูสัก 3 วันว่า เด็กทารกใช้ระยะเวลาในการนอนเท่าไหร่และมีระยะเวลานอนกี่ช่วง หากเห็นว่ากิจวัตรประจำวันในการนอนเป็นไปในรูปแบบเดิม ก็สามารถเตรียมความพร้อมในเรื่องอื่น ๆ ได้ตามปกติ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการนอน คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ควรสังเกตพฤติกรรมการนอนของตัวเองด้วย เพราะในบางครั้ง คุณพ่อคุณแม่อาจมีกิจกรรมหรือมีพฤติกรรมและตารางการนอนที่แตกต่างกันไป ซึ่งบางครั้งก็อาจส่งผลเสียต่อการนอนของเด็กทารกได้ การกำหนดเวลาใน การนอนของเด็กทารก เด็กทารกที่ได้ทำกิจวัตรประจำวันก่อนนอนทุกคืน จะนอนหลับได้ง่ายขึ้น หลับได้ดี และร้องไห้กลางดึกน้อยลง โดยปกติแล้ว คุณพ่อคุณแม่มักจะเริ่มกำหนดเวลานอนให้เด็กทารกในช่วงอายุ 6-8 สัปดาห์ หากอยากให้ตารางเวลานอนของเด็กทารกมีประสิทธิภาพอาจทำตามขั้นตอน ดังนี้ พยายามให้เด็กทารกทำกิจกรรมในช่วงกลางวัน เพื่อให้รู้สึกเหนื่อยจากการทำกิจกรรมและอยากพักผ่อน หรือนอนหลับง่ายขึ้น สำหรับกิจกรรมในช่วงเย็นควรเป็นกิจกรรมเบา ๆ เพื่อไม่ให้เด็กทารกตื่นเต้นก่อนเข้านอน พยายามให้ห้เด็กทารกทำกิจกรรมเดิม ๆ ในช่วงค่ำ ปิดท้ายทุก ๆ กิจกรรมด้วยความสงบ เด็กทารกหลายคนมักจะรู้สึกสบายและสงบเมื่อได้อาบน้ำก่อนเข้านอน พยายามทำกิจกรรมที่เด็กทารกชอบในห้องนอน […]


โรคเด็กและอาการทั่วไป

สะดือจุ่น เป็นอันตรายต่อสุขภาพเด็กหรือไม่

สะดือจุ่น หรือภาวะไส้เลื่อนบริเวณสะดือ (Umbilical hernia) เป็นภาวะที่พบได้บ่อยในเด็กแรกเกิด อาจเกิดจากกล้ามเนื้อท้องบริเวณสะดือไม่ประสานกันหลังจากตัดสายสะดือ จึงส่งผลให้มีรูเล็ก ๆ บริเวณสะดือที่ลำไส้เล็กสามารถโผล่ออกมาได้ โดยทั่วไป สะดือจุ่นมักหายได้เองเมื่อเด็กอายุไม่เกิน 2 ปี แต่บางรายอาจมีภาวะสะดือจุ่นจนถึงวัยผู้ใหญ่และอาจต้องรักษาด้วยการผ่าตัด สะดือจุ่น คืออะไร สะดือจุ่น เป็นคำที่นิยมใช้เรียกภาวะไส้เลื่อนที่บริเวณสะดือ (Umbilical hernia) ซึ่งอาจเกิดจากกล้ามเนื้อท้องใกล้ ๆ สะดือไม่ประสานกันหลังจากตัดสายสะดือ และส่งผลให้ลำไส้เล็กบางส่วนโผล่ออกมาได้ ภาวะนี้พบได้บ่อยในเด็กแรกเกิด และมักหายได้เองเมื่อเด็กอายุ 1-2 ปี แต่ในบางกรณีก็อาจมีภาวะสะดือจุ่นไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ได้เช่นกัน นอกจากนี้ ปัจจัยเสี่ยงบางประการ เช่น การมีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน การเกร็งหน้าท้องตอนยกของหนัก การไอเรื้อรัง การท้องลูกแฝด ก็อาจส่งผลให้เกิดภาวะสะดือจุ่นในผู้ใหญ่ได้เช่นกัน คุณพ่อคุณแม่อาจสังเกตเห็นได้ว่าลูกมีภาวะสะดือจุ่นเมื่อเด็กร้องไห้ ไอ จาม หรือท้องตึง ส่วนใหญ่มักไม่ก่อให้เกิดอาการเจ็บป่วดแต่อย่างใด แต่เด็กบางคนอาจมีอาการปวดท้อง ท้องบวม คลื่นไส้ แต่หากผู้ใหญ่มีภาวะสะดือจุ่น อาจก่อให้เกิดอาการไม่สบายท้องได้ วิธีรักษา สะดือจุ่น ภาวะสะดือจุ่นในเด็กมักหายได้เองเมื่อเด็กอายุได้ 1-2 ปี แต่หากเด็กมีอาการปวดท้องเรื้อรัง อาเจียน ผิวหนังบริเวณสะดือบวม กดแล้วเจ็บ ควรรีบพาไปพบคุณหมอเพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาเพื่อป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ลำไส้เล็กหรือเนื้อเยื่อบริเวณท้องที่ยื่นออกมาไม่สามารถกลับเข้าไปในช่องท้องได้ จนส่งผลให้เลือดไม่ไหลเวียนและเนื้อเยื่อส่วนนั้นตาย […]


การดูแลทารก

ขลิบ ที่ลับ แต่ไม่ใช่เรื่องลับ สำหรับพ่อแม่มือใหม่

ขลิบ เป็นการผ่าตัดเอาหนังหุ้มปลายลึงค์ออกจากองชาตของทารกเพศชาย เนื่องจากมีความเชื่อว่าอาจช่วยให้ผู้ชายทำความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศได้มากขึ้น รวมถึงยังอาจช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคต่าง ๆ เช่น การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ ส่วนใหญ่แล้วจะทำหลังจากคลอด 2-3 อาทิตย์ แต่สำหรับเด็กทารกบางคนก็อยู่ในระยะเวลา 10 วัน หลังจากขลิบปลายแล้วแผลจะหายเป็นปกติภายใน 1 สัปดาห์ [embed-health-tool-vaccination-tool] ขลิบ เรื่องพื้นฐานที่ควรรู้ การขลิบมีมาตั้งแต่สมัยอียิปต์โบราณ โดยเชื่อกันว่าจะทำให้ผู้ชายรักษาความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศได้มากขึ้น สำหรับการขลิบทางพิธีกรรมศาสนาจะเรียกว่า การเข้าพิธีสุนัต (Khitan) ซึ่งการเข้าพิธีสุนัตในทุกวันนี้ ส่วนใหญ่จะทำเพื่อเหตุผลทางศาสนา หรือวัฒนธรรม ในประเทศสหรัฐอเมริกา ประมาณ 55% ของทารกแรกเกิด จะถูกพาเข้าสุนัตไม่นานหลังคลอด ส่วนเด็กผู้ชายคนอื่น ๆ อาจจะมีการผ่าตัดในภายหลัง สำหรับการขลิบเป็นเรื่องพื้นฐานที่คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ในปัจจุบันจำเป็นจะต้องรู้ อย่างน้อยต้องทำความเข้าใจก่อนว่า การที่จะทำการขลิบปลายนั้น ส่วนใหญ่แล้วจะทำหลังจากคลอด 2-3 อาทิตย์ แต่สำหรับเด็กทารกบางคนก็อยู่ในระยะเวลา 10 วัน ซึ่งวิธีการนั้นก็จะเป็นการตัดเอาหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศของเด็กผู้ชายออกนั่นเอง วิธีการดูแลรักษาหลังการขลิบ หลังจากพาลูกน้อยไปขลิบมาเรียบร้อยแล้ว อาการจะสามารถหายไปได้ภายใน 7-10 วัน ซึ่งในช่วงระยะเวลานี้คุณพ่อคุณแม่ควรพยายามดูแลรักษาและทำความสะอาดให้ได้มากที่สุด และอาจจะต้องมีการคอยระมัดระวังบริเวณที่ไปขลิบมา เนื่องจากอาจจะมีอาการบวม หรือเลือดออกในบางครั้ง แต่ไม่ใช่ตลอดเวลา สาเหตุของการขลิบ เพื่อความสะอาด คุณพ่อคุณแม่หลาย ๆ คนอาจจะมีความกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ เนื่องจากว่า หากดูแลได้ไม่ดีพอหรือไม่คอยดูแลรักษาความสะอาดในส่วนนั้นสักเท่าไหร่ อาจจะทำให้เกิดการสะสมเชื้อแบคทีเรียและเชื้อโรคต่าง […]

ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา

กำลังมองหาเรื่องราวในการเลี้ยงดูบุตรใช่หรือไม่?

เข้าร่วมชุมชนการเลี้ยงดูบุตรและแลกเปลี่ยนข้อมูลกับคุณแม่และคุณพ่อคนอื่น ๆ เข้าร่วมชุมชนได้เลย!





ad iconโฆษณา

ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของเรา

ทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของ Hello คุณหมอ ประกอบไปด้วยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มาร่วมสร้างสรรค์บทความในเว็บไซต์ของเราตามความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญของเราจะช่วยรับรองว่าข้อมูลด้านสุขภาพของเราถูกต้อง เป็นปัจจุบัน และตรงตามหลักฐานจากงานวิจัยล่าสุด
ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรามุ่งมั่นเต็มที่ในการช่วยให้คุณได้รับข้อมูลและความรู้ด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือ เข้าใจง่าย และเป็นประโยชน์ และพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพกับคุณเสมอ เพื่อให้คุณได้รับทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น

ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ชุมชน