สุขภาพทางเพศ

สุขภาพทางเพศ คืออีกหนึ่งส่วนสำคัญของการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข Hello คุณหมอ จึงอยากนำเสนอเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพทางเพศ ทั้งการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย ไปจนถึงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ให้ผู้อ่านได้มีสุขภาพทางเพศที่ดีมากยิ่งขึ้น

เรื่องเด่นประจำหมวด

สุขภาพทางเพศ

HPV ในผู้หญิงตั้งครรภ์ ส่งผลกระทบต่อคุณแม่และลูกน้อยอย่างไร

HPV หรือ Human Papillomavirus เป็นไวรัสที่มีมากกว่า 100 สายพันธุ์ โดยบางสายพันธุ์สามารถก่อให้เกิดโรคมะเร็งปากมดลูกและภาวะผิดปกติอื่น ๆ ในระบบสืบพันธุ์ สตรีตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อ HPV มักกังวลเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจส่งผลต่อสุขภาพของตัวเองและทารกในครรภ์ โดยเฉพาะการเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น การคลอดก่อนกำหนด และการถ่ายทอดไวรัสสู่ทารกในระหว่างคลอด ผลกระทบของ HPV ต่อคุณแม่และทารกในครรภ์ ผลกระทบต่อคุณแม่ตั้งครรภ์ การเกิดหูดบริเวณอวัยวะเพศ (Genital Warts) การติดเชื้อ HPV อาจกระตุ้นการเกิดหูดในบริเวณอวัยวะเพศ หูดเหล่านี้อาจโตขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและระบบไหลเวียนเลือด หากหูดมีขนาดใหญ่ อาจก่อให้เกิดความเจ็บปวดหรือขัดขวางการคลอดทางช่องคลอด การเปลี่ยนแปลงในปากมดลูก การติดเชื้อ HPV โดยเฉพาะสายพันธุ์ความเสี่ยงสูง อาจทำให้เกิดความผิดปกติของเซลล์ปากมดลูก ซึ่งอาจพัฒนาไปเป็นมะเร็งปากมดลูกได้หากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม ผลกระทบต่อการตั้งครรภ์ ความเสี่ยงต่อการแท้งบุตร ในบางกรณี การติดเชื้อ HPV อาจเกี่ยวข้องกับการเพิ่มความเสี่ยงต่อการแท้งบุตรในช่วงต้นของการตั้งครรภ์ โดยเฉพาะหากมีภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ความเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด การติดเชื้อ HPV อาจกระตุ้นการอักเสบในระบบสืบพันธุ์ ซึ่งส่งผลต่อการคลอดก่อนกำหนด การคลอดก่อนกำหนดอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพในระยะยาวสำหรับทารก เช่น การเจริญเติบโตที่ช้ากว่าปกติ ผลกระทบต่อทารกในครรภ์และหลังคลอด การติดเชื้อในทารก แม้โอกาสที่ HPV จะส่งต่อถึงทารกในครรภ์มีน้อย แต่มีรายงานว่าการคลอดทางช่องคลอดในกรณีที่แม่มีหูดหรือการติดเชื้อ HPV […]

หมวดหมู่ สุขภาพทางเพศ เพิ่มเติม

สำรวจ สุขภาพทางเพศ

หนองในแท้

หนองในหายเองได้ไหม มีวิธีรักษาและการป้องกันอย่างไร

หนองในหายเองได้ไหม อาจเป็นคำถามที่ผู้ที่เป็นหนองในสงสัย หนองในเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ที่ส่งผลให้มีอาการคันอวัยวะเพศ ตกขาวผิดปกติ อัณฑะบวม และมีของเหลวไหลออกจากอวัยวะเพศ ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงการเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ภาวะมีบุตรยาก ท่ออสุจิอักเสบ การแพร่กระจายของเชื้อแบคทีเรียที่ส่งผลกระทบต่อข้อต่อและผิวหนัง [embed-health-tool-ovulation] หนองในเกิดจากอะไร หนองใน เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ หนองในแท้ (Gonorrhea) ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียไนซีเรีย โกโนเรีย (Neisseria Gonorrhoeae) และหนองในเทียม (Chlamydia) ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียคลาไมเดีย ทราโคมาติส (Chlamydia Trachomatis) โรคหนองในสามารถแพร่กระจายได้ผ่านการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันทางช่องคลอด ปาก และทวารหนัก นอกจากนี้ หากสตรีตั้งครรภ์เป็นหนองในก็อาจแพร่กระจายไปยังทารกได้ระหว่างการคลอดบุตร ทารกที่ติดเชื้อหนองในอาจมีความเสี่ยงต่อโรคปอด และการติดเชื้ออย่างรุนแรงที่ดวงตา ดังนั้น จึงควรรีบรักษาให้หายก่อนถึงกำหนดคลอด ปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่อาจส่งผลให้เกิดหนองใน มีดังนี้ มีคู่นอนหลายคน เปลี่ยนคู่นอนบ่อย ไม่สอบถามข้อมูลประวัติโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ของคู่นอนก่อนมีเพศสัมพันธ์ ใช้เซ็กส์ทอยร่วมกันโดยไม่ทำความสะอาดก่อน ใช้ของส่วนตัว เช่น ผ้าเช็ดตัว ชุดชั้นใน ร่วมกับผู้อื่น อาการหนองใน อาการหนองใน มีดังนี้ อาการหนองในของผู้หญิง เจ็บแสบอวัยวะเพศขณะปัสสาวะและอาจมีเลือดออกทางช่องคลอดหลังมีเพศสัมพันธ์ มีอาการคันบริเวณช่องคลอดและทวารหนัก ปวดท้องน้อยและปวดบริเวณอุ้งเชิงกราน ช่องคลอดมีกลิ่นเหม็น มีตกขาวปริมาณมาก […]


การติดเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์

ลิ้นคนเป็นเอดส์ มีลักษณะอย่างไรบ้าง

ลิ้นคนเป็นเอดส์ หมายถึง ลิ้นของผู้ที่ติดเชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV) ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเอดส์ ทำให้ระดับภูมิคุ้มกันต่ำลง ส่งผลให้เสี่ยงติดเชื้อต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น เช่น เชื้อแคนดิดา อัลบิแคนส์ (Candida Albicans) ซึ่งทำให้เป็นเชื้อราในช่องปาก หรือเชื้อเฮอร์ปีส์ ซิมเพล็กซ์ (Herpes Simplex Virus หรือ HSV) ซึ่งเป็นสาเหตุของเริมตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายรวมถึงบริเวณลิ้นและในช่องปากด้วย [embed-health-tool-ovulation] เอดส์ คืออะไร เอดส์ (AIDS) หรือโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง เป็นอาการในระยะสุดท้ายของการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี โดยผู้ป่วยจะมีระดับเม็ดเลือดขาว CD4 (Cluster of Differentiation 4) ที่มีหน้าที่ควบคุมและต่อสู้กับเชื้อโรคต่าง ๆ ในระดับต่ำกว่าปกติ ทำให้เสี่ยงติดเชื้อหรือป่วยเป็นโรคต่าง ๆ ได้ง่ายกว่าคนทั่วไป ทั้งนี้ ระดับ CD4 ในคนทั่วไปจะเท่ากับ 500-1,400 เซลล์/เลือด 1 มิลลิลิตร ในขณะที่ผู้ติดเชื้อเอชไอวี ระดับ CD4 จะลดลงไปเรื่อย ๆ จนเหลือประมาณ 200 […]


โรคซิฟิลิส

TPHA คือ อะไร และวิธีตรวจคัดกรองโรคซิฟิลิสแบบอื่น ๆ

TPHA คือ หนึ่งในวิธีตรวจโรคซิฟิลิสด้วยการหาสารภูมิต้านทานในเลือดซึ่งจะหลั่งออกมาเพื่อต้านเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของโรค โดยเป็นภูมิคุ้มกันที่จำเพาะกับตัวโรค อย่างไรก็ตาม การตรวจแบบ TPHA จะไม่สามารถระบุได้ว่าติดเชื้อซิฟิลิสหรือไม่หากผู้ป่วยเป็นซิฟิลิสในระยะเริ่มต้น จึงมักนิยมใช้วิธีการตรวจแบบ TPHA เพื่อยืนยันผลเฉพาะในผู้ที่ผ่านการคัดกรองว่าเป็นโรคซิฟิลิสแล้ว [embed-health-tool-ovulation] TPHA คือ อะไร TPHA ย่อมาจาก Treponema Pallidum Hemagglutination Assay เป็นหนึ่งในวิธีการตรวจโรคซิฟิลิส ด้วยการเจาะเลือดเพื่อหาจำนวนของแอนติบอดีหรือสารภูมิต้านทาน ซึ่งร่างกายจะหลั่งออกมาเพื่อตรวจจับและทำลายเชื้อแบคทีเรียทรีโพนีมา แพลลิดัม (Treponema Pallidum) ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคซิฟิลิส ทั้งนี้ ซิฟิลิสเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เช่นเดียวกับหนองใน เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียทรีโพนีมา แพลลิดัมผ่านทางรอยขีดข่วน หรือบาดแผลเล็ก ๆ ที่อาจเกิดขึ้นระหว่างมีเพศสัมพันธ์ทั้งแบบสอดใส่และแบบไม่สอดใส่ อาการในระยะแรก ๆ ของซิฟิลิส คือ มีแผลริมแข็งและผื่นขึ้นตามลำตัว หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา เชื้อจะแพร่กระจายไปตามอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และอาจทำให้การทำงานของหัวใจเสื่อมหรือล้มเหลว รวมทั้งเชื้ออาจแพร่กระจายไปยังระบบประสาท และทำให้ระบบประสาทเสียหาย อย่างไรก็ตาม การตรวจแบบ TPHA มักไม่พบเชื้อซิฟิลิสในผู้ติดเชื้อระยะเริ่มต้น จึงมักใช้วิธีนี้ในผู้ที่มีผลตรวจคัดกรองการติดเชื้อซิฟิลิสในเบื้องต้นเป็นบวกเพื่อยืนยันผลว่าเป็นโรคซิฟิลิส วิธีเตรียมตัวก่อนเข้ารับ การตรวจ TPHA   การตรวจ TPHA คล้ายการตรวจเลือดทั่วไปที่ผู้เข้ารับการตรวจไม่ต้องเตรียมตัวเป็นพิเศษแต่อย่างใด ยกเว้นในกรณีที่คุณหมออาจระบุรายละเอียดเพิ่มเติมเป็นกรณีไป การตรวจ TPHA แสดงผลอย่างไร ในห้องปฏิบัติการ […]


โรคติดเชื้อเอชพีวี

หูดหงอนไก่ตกขาว คืออะไร ควรรักษาอย่างไร

หูดหงอนไก่ตกขาว เป็นภาวะที่อาจเกิดขึ้นกับผู้หญิงที่เป็นโรคหูดหงอนไก่ ที่ทำให้มีอาการตกขาวผิดปกติร่วมด้วย ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ ดังนั้น จึงควรเข้ารับการรักษาทันทีหากสังเกตว่ามีอาการคัน เจ็บแสบขณะปัสสาวะหรือระหว่างมีเพศสัมพันธ์ รวมถึงสีตกขาวเปลี่ยนจากสีขาวใสเป็นสีและลักษณะอื่น ๆ เพราะหากปล่อยไว้เป็นเวลานานอาจเสี่ยงต่อโรคมะเร็งปากมดลูก มะเร็งช่องคลอดและหากตั้งครรภ์ก็อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของทารกในครรภ์ได้ [embed-health-tool-ovulation] หูดหงอนไก่ตกขาว คืออะไร หูดหงอนไก่ตกขาว คือ อาการตกขาวที่เกิดขึ้นพร้อมกับโรคหูดหงอนไก่ โดยมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อไวรัสเอชพีวี (HPV) ซึ่งมีมากกว่า 100 สายพันธุ์ แต่สายพันธุ์ที่พบบ่อยที่สุด คือ HPV 6, 11 มักทำให้เกิดหูดหงอนไก่บริเวณอวัยวะเพศ และ HPV 16, 18, 31, 33, 35 มักทำให้เกิดหูดหงอนไก่บริเวณทวารหนัก อีกทั้งยังมีปัจจัยเสี่ยงที่อาจเพิ่มโอกาสทำให้เป็นโรคหูดหงอนไก่ตกขาว ดังต่อไปนี้ การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน การมีคู่นอนหลายคนโดยไม่ทราบประวัติโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ของคู่นอน ระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องเนื่องจากการติดเชื้อเอชไอวี หรือการรับประทานยากดภูมิคุ้มกัน การสัมผัสที่บริเวณอวัยวะเพศหรือแผลหูดของผู้ติดเชื้อโดยตรง อาการของหูดหงอนไก่ตกขาว อาการของหูดหงอนไก่ตกขาว มีดังนี้ มีหูดสีแดงหรือสีขาว รูปร่างคล้ายดอกกะหล่ำ พบได้บริเวณรอบช่องคลอด ปากมดลูก ขาหนีบ และทวารหนัก เจ็บแสบอวัยวะเพศ ขณะปัสสาวะหรือระหว่างมีเพศสัมพันธ์ มีอาการคันและระคายเคืองบริเวณอวัยวะเพศ เลือดออกทางอวัยวะเพศ ปวดอุ้งเชิงกราน ตกขาวมากผิดปกติและมีกลิ่นเหม็น ตกขาวเป็นก้อนหนา สีขาวข้น […]


สุขภาพทางเพศ

Epididymis คือ อะไร มีหน้าที่อะไร และอาการแบบไหนที่เรียกว่าผิดปกติ

Epididymis คือ หลอดเก็บอสุจิ ซึ่งเป็นอวัยวะหนึ่งในระบบสืบพันธุ์ที่ขดทบไปมาอยู่หลังอัณฑะ ทำหน้าที่เก็บอสุจิหรือลำเลียงอสุจิที่ผลิตจากอัณฑะ เพื่อเตรียมตัวนำส่งออกเมื่อถึงจุดสุดยอด เมื่อผสมกับไข่ของผู้หญิงก็จะเกิดเกิดการปฏิสนธิ หากพบว่ามีอาการผิดปกติ เช่น ถุงอัณฑะบวมแดง ควรเข้ารับการวินิจฉัยและรับการรักษาจากคุณหมอ [embed-health-tool-ovulation] หน้าที่ของ Epididymis คือ อะไร Epididymis หรือ หลอดเก็บอสุจิ มีลักษณะเป็นท่อขนาดเล็กขดอยู่บริเวณด้านบนของอัณฑะ มีหน้าที่เก็บอสุจิที่ผลิตจากอัณฑะ โดยระหว่างที่อสุจิเคลื่อนที่จากอัณฑะที่เป็นแหล่งผลิตตัวอสุจิไปยังปลายอวัยวะเพศชายทำให้อสุจิมีการเจริญเติบโตอย่างสมบูรณ์ โดยกล้ามเนื้อเรียบที่ล้อมรอบหลอดเก็บอสุจิจะบีบตัวเพื่อช่วยให้อสุจิสามารถเคลื่อนที่ออกจากหลอดเก็บอสุจิได้ง่าย ความเสี่ยงที่อาจทำให้ Epididymis ผิดปกติ Epididymis เป็นอวัยวะสืบพันธุ์ที่ควรได้รับการดูแลเหมือนอวัยวะส่วนอื่น ๆ เพราะหากขาดการรักษาสุขอนามัยที่ดี เช่น ไม่สวมถุงยางอนามัยก่อนมีเพศสัมพันธ์ ไม่รักษาความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศ ไม่เข้ารับการตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อคัดกรองโรค ก็อาจเพิ่มความเสี่ยงให้หลอดเก็บอสุจิเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียจากทางเดินปัสสาวะหรือติดเชื้อไวรัสจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และส่งผลให้เกิดภาวะหลอดเก็บอสุจิอักเสบได้ นอกจากนี้ การประสบอุบัติเหตุบริเวณขาหนีบ การติดเชื้อวัณโรค ก็อาจส่งผลให้หลอดเก็บอสุจิอักเสบ นำไปสู่การเกิดหนอง ฝีในถุงอัณฑะ ถุงอัณฑะอักเสบ และภาวะมีบุตรยาก อาการผิดปกติของ Epididymis อาการผิดปกติของ Epididymis ที่ควรสังเกต มีดังนี้ ถุงอัณฑะบวมแดง เจ็บปวดลูกอัณฑะข้างใดข้างหนึ่ง หรือทั้ง 2 ข้าง ปัสสาวะลำบากและอาจปัสสาวะเป็นเลือด ปัสสาวะบ่อย ปวดปัสสาวะกะทันหัน มีเลือดปนกับน้ำอสุจิ มีของเหลวสีเหลืองหรือสีเขียวไหลออกจากองคชาต ต่อมน้ำเหลืองโตบริเวณขาหนีบ การวินิจฉัยความผิดปกติของ Epididymis หากมีอาการปวดอัณฑะอย่างรุนแรง […]


การคุมกำเนิด

ฝังยาคุม มีประจําเดือนไหม เพราะอะไร

ฝังยาคุม มีประจําเดือนไหม? อาจเป็นคำถามที่สาว ๆ หลายคนสงสัย การฝังยาคุมเป็นวิธีคุมกำเนิดแบบชั่วคราวที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้นานประมาณ 3-5 ปี แต่อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงโดยทำให้ประจำเดือนมาผิดปกติในช่วงปีแรก เช่น ประจำเดือนมามาก ประจำเดือนมาน้อย ประจำเดือนมานานขึ้น และหลังจากนั้นประจำเดือนจะมาน้อยลงเรื่อย ๆ และผู้ที่ฝังยาคุมส่วนใหญ่มักไม่มีประจำเดือนตลอดช่วงที่ฝังยาคุม อย่างไรก็ตาม ประจำเดือนจะกลับมาอีกครั้งเมื่อหยุดฝังยาคุมกำเนิด [embed-health-tool-ovulation] ฝังยาคุม เป็นอย่างไร การฝังยาคุมกำเนิด คือการฝังหลอดยาขนาดเล็กประมาณ 3 เซนติเมตร หรือราว ๆ แท่งไม้ขีด ซึ่งบรรจุฮอร์โมนสังเคราะห์ เช่น ลีโวนอร์เจสเตรล (Levonorgestrel) อีโทโนเจสเตรล (Etonogestrel) เข้าไปในบริเวณใต้ท้องแขนเพื่อทำให้เพศหญิงไม่ตั้งครรภ์ โดยออกฤทธิ์ดังนี้ ยับยั้งการตกไข่ ทำให้ไม่มีเซลล์สืบพันธุ์สำหรับผสมกับอสุจิจนเกิดการปฏิสนธิหรือตั้งครรภ์ ทำให้เมือกบริเวณปากมดลูกหนาขึ้น เพื่อป้องกันอสุจิเคลื่อนตัวไปถึงไข่จนเกิดการปฏิสนธิ การฝังยาคุม 1 ครั้ง มักออกฤทธิ์คุมกำเนิดติดต่อกันราว 3-5 ปี และมีประสิทธิภาพคุมกำเนิดประมาณ 99 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ การฝังยาคุม ควรฝังในช่วง 5 วันแรกของรอบเดือน เพราะจะทำให้ยาคุมออกฤทธิ์เต็มประสิทธิภาพในทันที หากฝังยาคุมในช่วงอื่น ๆ ของรอบเดือน ควรใช้วิธีคุมกำเนิดแบบอื่นร่วมด้วย […]


เคล็ดลับเรื่องบนเตียง

คลิตอริส คืออะไร ช่วยกระตุ้นความสุขทางเพศอย่างไร

คลิตอริส (Clitoris) เป็นส่วนหนึ่งของอวัยวะเพศหญิงที่อ่อนไหวต่อสัมผัสทางเพศมากที่สุด มีลักษณะเป็นตุ่มนูนเล็ก ๆ ทรงรี อยู่ด้านบนสุดของช่องคลอด เหนือรูปัสสาวะ ระหว่างการมีเพศสัมพันธ์หากสัมผัสคลิตอริสโดยตรงด้วยนิ้วหรือเซ็กส์ทอย อาจช่วยให้ผู้หญิงถึงจุดสุดยอดง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม แม้คลิตอริสจะเป็นอวัยวะที่มีความสำคัญต่อกิจกรรมทางเพศ แต่ผู้หญิงหลายคนอาจไม่รู้จักคลิตอริสดีเท่าที่ควร หากทำความเข้าใจเกี่ยวกับคลิตอริสให้ดีขึ้นอาจช่วยเพิ่มความสุขทางเพศได้มากขึ้น [embed-health-tool-ovulation] คลิตอริส คืออะไร คลิตอริส บางครั้งเรียกว่าปุ่มกระสันหรือเม็ดละมุด เป็นส่วนหนึ่งของอวัยวะเพศในระบบสืบพันธุ์เพศหญิง มีลักษณะเป็นตุ่มนูนเล็ก ๆ ทรงรี อยู่ด้านบนสุดของช่องคลอด โดยเชื่อมต่อกับคลิตอริสที่อยู่ภายในร่างกายซึ่งมีโครงสร้างเป็นรูปตัววีกลับหัวและมีเส้นประสาทรับความรู้สึกอยู่เป็นจำนวนมาก คลิตอริสส่วนที่อยู่นอกร่างกายมีขนาดราวเม็ดถั่วหรือประมาณ 1 เซนติเมตรหรือเล็กกว่าเล็กน้อย ขณะที่ขนาดคลิตอริสทั้งหมดรวมทั้งที่อยู่ภายในร่างกาย มีความยาวประมาณ 7-10 เซนติเมตร ความกว้างประมาณ 6.5 เซนติเมตร ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคลิตอริส คลิตอริสเป็นส่วนหนึ่งของอวัยวะเพศหญิงที่สำคัญต่อการร่วมเพศและระบบสืบพันธุ์ จึงควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับคลิตอริสให้มากขึ้น ดังนี้ คลิตอริสมีต้นกำเนิดเดียวกับองคชาตคลิตอริสและองคชาตเกิดจากเซลล์ต้นกำเนิดที่เรียกว่า Genital Tubercle เหมือนกัน โดยเมื่อทารกเติบโตขึ้น เซลล์ดังกล่าวจะค่อย ๆ พัฒนาเป็นอวัยวะเพศที่แตกต่างกัน โดยขึ้นกับเพศของทารก คลิตอริสเป็นศูนย์รวมของปลายประสาทกว่า 8,000 จุด หรือมากกว่าองคชาตประมาณ 2 เท่า จึงนับเป็นจุดสำคัญของร่างกายในการกระตุ้นความรู้สึกทางเพศ ผู้หญิงแต่ละคนต้องการถูกกระตุ้นบริเวณคลิตอริสในลักษณะที่แตกต่างกัน บางคนอาจชอบให้กระตุ้นด้วยการสัมผัสคลิตอริสตรง ๆ ขณะที่บางคนอาจต้องการให้คู่นอนกระตุ้นเพียงบริเวณโดยรอบเท่านั้น คลิตอริสตื่นตัวและมีขนาดใหญ่ขึ้นได้ หากถูกกระตุ้นให้เกิดอารมณ์ทางเพศโดยเกิดจากการสะสมของเลือดบริเวณเนื้อเยื่อที่อยู่ใกล้กับคลิตอริสแต่จะคงอยู่ในระยะเวลาไม่นานนักและสังเกตเห็นได้ไม่ชัดเจนเท่ากับองคชาตที่จะมีขนาดใหญ่ขึ้นเมื่อแข็งตัว […]


สุขภาพทางเพศ

อาการต่อมลูกหมากโต เป็นอย่างไร อันตรายต่อสุขภาพหรือไม่

อาการต่อมลูกหมากโต เป็นภาวะสุขภาพที่อาจพบได้ในเพศชายที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป เมื่ออายุมากขึ้นต่อมลูกหมากมักมีขนาดใหญ่ขึ้นจนไปเบียดกับท่อปัสสาวะ ส่งผลให้ปัสสาวะขัด ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะไม่สุด และปัสสาวะกะปริดกะปรอย ทั้งนี้ หากมีอาการต่อมลูกหมากโตควรไปพบคุณหมอเพื่อรับการรักษา โดยเบื้องต้นคุณหมอจะให้รับประทานยาสำหรับลดขนาดต่อมลูกหมากเพื่อช่วยให้ปัสสาวะคล่องขึ้น อย่างไรก็ตาม หากรับประทานยาแล้วไม่ได้ผล คุณหมออาจเลือกรักษาอาการต่อมลูกหมากโตด้วยการผ่าตัด [embed-health-tool-bmi] ต่อมลูกหมากโต คืออะไร ต่อมลูกหมาก เป็นอวัยวะภายในของระบบสืบพันธุ์เพศชาย มีขนาดประมาณเท่าลูกเกาลัดหรือลูกปิงปอง ทำหน้าที่หลายอย่าง ได้แก่ ผลิตส่วนประกอบของน้ำอสุจิและกรองสารพิษที่ปนอยู่ในน้ำอสุจิ ปกติแล้ว ต่อมลูกหมากจะหยุดโตเมื่อผู้ชายเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น และมักเริ่มมีขนาดโตขึ้นอีกครั้งเมื่ออายุมากขึ้นจนเบียดท่อปัสสาวะ และมักส่งผลให้ปัสสาวะติดขัด ทั้งนี้ สาเหตุของต่อมลูกหมากโตยังไม่แน่ชัด แต่สันนิษฐานว่าอาจเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเพศเทสโทสเตอโรน (Testosterone) ในร่างกายที่เริ่มไม่สมดุล รวมทั้งเซลล์ต่าง ๆ ในอันฑะที่มักเสื่อมสภาพตามอายุที่มากขึ้น อาการต่อมลูกหมากโต เป็นอย่างไร ต่อมลูกหมากโต เป็นอาการที่พบได้ในผู้ชายอายุ 50 ปีขึ้นไป โดย 1 ใน 3 ของผู้ชายอายุ 60 ปีมีอาการต่อมลูกหมากโตในระดับปานกลางหรือรุนแรง สำหรับอาการต่อมลูกหมากโต ได้แก่ ปัสสาวะบ่อย กลั้นปัสสาวะไม่ได้ ปัสสาวะยาก ต้องเบ่งนาน ปัสสาวะไม่สุด ปัสสาวะมีแรงดันต่ำ กะปริดกะปรอย นอกจากนี้ อาการต่อมลูกหมากโตยังอาจเป็นสาเหตุของภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ดังนี้ การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ เกิดจากการที่ร่างกายปัสสาวะไม่สุด […]


สุขภาพทางเพศ

คันในช่องคลอด สาเหตุ อาการ และการรักษา

คันในช่องคลอด เป็นอาการที่อาจทำให้รู้สึกไม่สบายตัวและทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันได้ไม่สะดวก ซึ่งอาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น ช่องคลอดอักเสบ อยู่ในวัยหมดประจำเดือน ติดเชื้อในช่องคลอด ดังนั้น หากสังเกตว่ามีอาการระคายเคือง รู้สึกคันรอบช่องคลอดหรือในช่องคลอด รวมถึงมีตกขาวผิดปกติ ควรเข้าพบคุณหมอทันที [embed-health-tool-ovulation] คันในช่องคลอด มีสาเหตุมาจากอะไร สาเหตุที่ทำให้คันในช่องคลอด อาจมีดังนี้ วัยหมดประจำเดือนอาจส่งผลให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง ทำให้สารหล่อลื่นที่ช่วยทำให้ช่องคลอดชุ่มชื้นลดลง ส่งผลให้เยื่อบุผนังช่องคลอดแห้ง และทำให้มีอาการคันและระคายเคืองช่องคลอด ภาวะช่องคลอดอักเสบจากการติดเชื้อแบคทีเรีย เกิดจากความไม่สมดุลของแบคทีเรียในช่องคลอด โดยอาจมีปัจจัยอื่นเป็นตัวกระตุ้น เช่น การมีคู่นอนหลายคน การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน ทำให้ช่องคลอดเกิดการอักเสบและมีอาการคันในช่องคลอด รู้สึกแสบเวลาปัสสาวะหรือมีเพศสัมพันธ์ ช่องคลอดมีกลิ่นเหม็น และตกขาวผิดปกติ การติดเชื้อราในช่องคลอด เกิดขึ้นจากเชื้อราแคนดิดา (Candida) ภายในช่องคลอดเจริญเติบโตมากเกินไป โดยอาจมีปัจจัยอื่นเป็นตัวกระตุ้น เช่น การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน การใช้ยาปฏิชีวนะ การตั้งครรภ์ ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ทำให้เกิดอาการคันในช่องคลอด ผื่นรอบช่องคลอด ตกขาวมีสีขุ่นและเหนียวข้น สารระคายเคืองเช่น ผงซักฟอก น้ำยาปรับผ้านุ่ม สบู่ สารหล่อลื่นบนถุงยางอนามัย ผ้าอนามัย กระดาษชำระที่มีน้ำหอม อาจส่งผลให้เนื้อเยื่อในช่องคลอดเกิดการระคายเคืองและทำให้มีอาการคันในช่องคลอดได้ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกิดจากการติดเชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อปรสิต เช่น […]


สุขภาพทางเพศ

ประจําเดือนไม่มาทําไงดี กลัวท้อง

ประจําเดือนไม่มาทําไงดี กลัวท้อง เป็นคำถามที่อาจเกิดขึ้นเนื่องจากความกังวลหลังจากการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน เช่น ไม่สวมถุงยางอนามัย หรือรับประทานยาคุมไม่ถูกวิธี ที่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการตั้งท้องได้ ดังนั้น หากสังเกตว่าประจำเดือนมาช้านานกว่า 1 เดือน และมีอาการอาเจียน ปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืน เต้านมขยาย หัวนมมีสีคล้ำขึ้น ควรตรวจครรภ์ด้วยตัวเองหรือเข้าพบคุณหมอทันที เพื่อให้ทราบผลแน่ชัด [embed-health-tool-ovulation] สาเหตุที่ประจำเดือนไม่มา สาเหตุที่ทำให้ประจำเดือนไม่มา อาจเกิดจากการตั้งท้อง เนื่องจากการไม่สวมใส่ถุงยางอนามัยขณะมีเพศสัมพันธ์ การรับประทานยาคุมกำเนิดผิดวิธีหรือลืมรับประทานยาคุม โดยเฉพาะยาคุมฉุกเฉินที่ควรรับประทานไม่เกิน 72 ชั่วโมง หลังจากถุงยางแตกหรือมีการหลั่งใน ซึ่งอาจส่งผลให้ประจำเดือนไม่มา และเกิดความรู้สึกกังวลและกลัวท้องได้ อย่างไรก็ตาม การที่ประจำเดือนไม่มาอาจเกิดจากสาเหตุอื่นได้ ดังนี้ ยาคุมกำเนิด การใช้ยาคุมกำเนิดที่มีฮอร์โมนกลุ่มเอสโตรเจน (Estrogen) และฮอร์โมนกลุ่มโปรเจสเตอโรน (Progesterone) อาจทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกบาง เพื่อให้ตัวอ่อนไม่สามารถฝังตัวได้ และอาจส่งผลให้ประจำเดือนไม่มาด้วยเช่นกัน ความเครียด อาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของต่อมไฮโปทาลามัส (Hypothalamus) ที่อยู่บริเวณสมองส่วนหน้า ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการควบคุมการตกไข่ จึงอาจทำให้ประจำเดือนไม่มาทำให้เกิดความกังวลและรู้สึกกลัวท้องได้ การออกกำลังกายมากเกินไป อาจทำให้ร่างกายเกิดความเครียดที่ส่งผลกระทบต่อกระบวนการตกไข่ ทำให้ประจำเดือนมาช้าหรือไม่มา น้ำหนักตัว การมีน้ำหนักน้อยหรือน้ำหนักมากเกินไป อาจส่งผลกระทบต่อการผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนที่จำเป็นต่อการตกไข่ ทำให้ฮอร์โมนไม่สมดุล และส่งผลให้ประจำเดือนขาด วัยหมดประจำเดือน อาจส่งผลให้ระดับของฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง ทำให้การตกไข่น้อยลง และอาจทำให้ประจำเดือนหยุดโดยสมบูรณ์ กลุ่มอาการถุงน้ำรังไข่หลายใบ อาจส่งผลให้ฮอร์โมนแปรปรวน ทำให้ไม่เกิดการตกไข่ จึงทำให้ประจำเดือนไม่มา ประจําเดือนไม่มาทําไงดี […]

ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา

ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของเรา

ทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของ Hello คุณหมอ ประกอบไปด้วยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มาร่วมสร้างสรรค์บทความในเว็บไซต์ของเราตามความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญของเราจะช่วยรับรองว่าข้อมูลด้านสุขภาพของเราถูกต้อง เป็นปัจจุบัน และตรงตามหลักฐานจากงานวิจัยล่าสุด
ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรามุ่งมั่นเต็มที่ในการช่วยให้คุณได้รับข้อมูลและความรู้ด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือ เข้าใจง่าย และเป็นประโยชน์ และพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพกับคุณเสมอ เพื่อให้คุณได้รับทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น

ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ชุมชน