สุขภาพ

สุขภาพ เป็นเรื่องสำคัญ เราจึงได้รวบรวมข้อมูลที่จะช่วยให้คุณดูแลสุขภาพได้ดียิ่งขึ้นไว้ที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นข่าวสารสุขภาพ ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป และอื่น ๆ อีกมากมาย หากคุณมีข้อสงสัยใด ๆ เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ ข้อมูลเหล่านี้ช่วยคุณได้แน่นอน

เรื่องเด่นประจำหมวด

สุขภาพ

ทำความรู้จัก "ปลูกฝี" สำคัญยังไง ยังจำเป็นอยู่ไหม

การปลูกฝีเคยเป็นหนึ่งในนวัตกรรมทางการแพทย์ที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่โรคฝีดาษ (Smallpox) เป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อชีวิตมนุษย์ วัคซีนป้องกันฝีดาษซึ่งเริ่มต้นจากการปลูกฝี ไม่เพียงช่วยลดการเสียชีวิตนับล้านคนทั่วโลก แต่ยังนำไปสู่การประกาศกำจัดโรคฝีดาษอย่างสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2523  อย่างไรก็ตาม ความทรงจำเกี่ยวกับการปลูกฝีเริ่มจางหายไปเมื่อวัคซีนนี้ไม่ได้เป็นที่จำเป็นในยุคปัจจุบัน บทความนี้จะพาผู้อ่านย้อนรอยความสำคัญของการปลูกฝีในอดีต และพิจารณาว่าการปลูกฝียังมีความจำเป็นในยุคสมัยใหม่หรือไม่ [embed-health-tool-vaccination-tool] ปลูกฝี ในอดีตเป็นอย่างไร? การปลูกฝีเริ่มต้นในปี ค.ศ. 1796 โดย ดร.เอ็ดเวิร์ด เจนเนอร์ ผู้ค้นพบว่าวัคซีนจาก Cowpox สามารถป้องกันโรคฝีดาษได้ ทำให้เกิดการพัฒนาวัคซีนที่ใช้ทั่วโลกเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคร้ายแรงนี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้รณรงค์ฉีดวัคซีนอย่างกว้างขวางในช่วงศตวรรษที่ 20 จนนำไปสู่การประกาศว่าฝีดาษถูกกำจัดอย่างสมบูรณ์ในปี 1980 สำหรับประเทศไทย การปลูกฝีเริ่มต้นในสมัยรัชกาลที่ 4 โดยมักทิ้งรอยแผลเป็นเล็ก ๆ บริเวณหัวไหล่ หลังจากการกำจัดโรคฝีดาษอย่างสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2523 การปลูกฝีก็หยุดลง แต่กลับมาเป็นประเด็นที่น่าสนใจอีกครั้งในยุคที่โรคฝีดาษลิงระบาด โดยวัคซีนที่พัฒนาจากวัคซีน Smallpox เช่น JYNNEOS กำลังถูกศึกษาเพื่อรับมือกับความท้าทายใหม่นี้ โรคฝีดาษลิงคืออะไร โรคฝีดาษลิง (Monkeypox) เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่เกิดจากไวรัสในตระกูล Orthopoxvirus ซึ่งเป็นตระกูลเดียวกับไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคฝีดาษ (Smallpox) แม้ว่าจะมีลักษณะคล้ายกัน แต่โรคฝีดาษลิงมีอาการรุนแรงน้อยกว่าและมีอัตราการเสียชีวิตต่ำกว่า โรคฝีดาษลิงเกิดจากเชื้อ ไวรัส Monkeypox ซึ่งถูกค้นพบครั้งแรกในลิงในปี ค.ศ. 1958 และตรวจพบในมนุษย์ครั้งแรกในปี […]

สำรวจ สุขภาพ

ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

รู้หรือไม่ น้ำส้มสายชู มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากกว่าที่ทุกคนคิด

น้ำส้มสายชูเป็นเครื่องปรุงประเภทหนึ่งที่ได้รับความนิยมในการนำมาประกอบอาหาร และเพิ่มรสชาติให้แก่อาหารประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอาหารไทย อาหารจีน หรือแม้แต่อาหารยุโรป อีกทั้งยังสามารถใช้เพื่อทำความสะอาดเครื่องใช้อื่นๆ ภายในครัวเรือนได้อีกด้วย แต่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า น้ำส้มสายชู นั้นให้ประโยชน์ต่อสุขภาพมากกว่าที่เราคิด ประโยชน์ต่อสุขภาพที่ว่านั้นมีอะไรบ้าง หาคำตอบได้จากบทความนี้ [embed-health-tool-bmi] น้ำส้มสายชู คืออะไรกันแน่ น้ำส้มสายชู (Vinegar) คือของเหลวสีใส ที่ได้จากกระบวนการหมัก โดยปกติแล้วน้ำส้มสายชูปกติที่เรารับประทาน จะมีความเป็นกรดอยู่ที่ 4-8% ในขณะที่น้ำส้มสายชูที่ใช้สำหรับฆ่าเชื้อราหรือทำความสะอาด อาจจะมีความเป็นกรดมากถึง 20% องค์ประกอบหลักของน้ำส้มสายชูคือ กรดอะซิติก (Acetic acid) แต่ก็อาจจะพบกรดอื่น ๆ ได้เช่นกัน ในอดีต น้ำส้มสายชูจะได้จากการหมักอาหารประเภทต่าง ๆ เช่น มันฝรั่ง กากน้ำตาล หรือเวย์ (Whey) ที่ได้จากนม ขึ้นอยู่กับว่าวัตถุดิบชนิดไหน สามารถพบได้มากในเขตนั้น แต่ในปัจจุบัน น้ำส้มสายชูส่วนใหญ่มักจะได้มาจากการหมักเอทานอล (ethanol) โดยการเติมส่วนประกอบอื่น ๆ เช่น ยีสต์ หรือฟอสเฟต เพื่อช่วยกระตุ้นกระบวนการหมัก เนื่องจากในเมทานอล (Methanol) นั้นแทบจะไม่มีสารอาหารอื่น ๆ อยู่เลย ประโยชน์สุขภาพของน้ำส้มสายชู น้ำส้มสายชูนั้นเป็นวัตถุดิบที่มีคุณค่าทางสารอาหารน้อยและมีแคลอรี่ต่ำ โดยปกติน้ำส้มสายชู 1 […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

Hyponatremia (โซเดียมในเลือดต่ำ) คือ อะไร สาเหตุ อาการ และการรักษา

Hyponatremia คือ ภาวะโซเดียมในเลือดต่ำ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อปริมาณโซเดียมในร่างกายของคุณลดต่ำลงกว่าปกติ ซึ่งโซเดียมนั้น คือ แร่ธาตุอิเล็กโทรไลต์ (Electrolytes) ที่ช่วยรักษาสมดุลของน้ำบริเวณในและรอบ ๆ ของเซลล์ โดยมีความสำคัญต่อการทำงานของกล้ามเนื้อและเส้นประสาท นอกจากนี้ยังช่วยควบคุมระดับความดันโลหิต [embed-health-tool-bmi] คำจำกัดความ Hyponatremia คือ อะไร โซเดียมในเลือดต่ำ เกิดขึ้นเมื่อปริมาณโซเดียม (Sodium) ในร่างกายของคุณลดต่ำลงกว่าปกติ ซึ่งโซเดียมนั้น คือ แร่ธาตุอิเล็กโทรไลต์ (Electrolytes) ที่ช่วยรักษาสมดุลของน้ำบริเวณในและรอบๆของเซลล์ โดยมีความสำคัญต่อการทำงานของกล้ามเนื้อและเส้นประสาท นอกจากนี้ยังช่วยควบคุมระดับความดันโลหิต โดยมีความสำคัญต่อการทำงานของกล้ามเนื้อและเส้นประสาท นอกจากนี้ยังช่วยควบคุมระดับความดันโลหิต อย่างไรก็ตาม โดยปกติระดับโซเดียมจะต้องมีปริมาณระหว่าง 135-145 มิลลิอิควิวาเลนท์/ลิตร ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการปวดศีรษะ อาเจียน รู้สึกสับสน กล้ามเนื้ออ่อนล้าหมดแรง โซเดียมในเลือดต่ำ พบได้บ่อยเพียงใด ผู้ที่ป่วยเป็นภาวะโซเดียมในเลือดต่ำ  พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ กินอาหารที่มีโซเดียมต่ำ รวมถึงผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคตับ โรคไต โรคหัวใจ เป็นต้น อาการ อาการของ Hyponatremia คือ อะไร อาการโซเดียมในเลือดต่ำอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล หากระดับโซเดียมในร่างกาย ค่อย ๆ ลดระดับลง อาจยังไม่มีอาการใด ๆ แต่หากลดลงอย่างรวดเร็ว อาจทำให้คุณหมดสติได้ โดยอาการทั่วไปจะมีลักษณะ […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

กินคีโตแล้วปวดหัว เกิดจากอะไร แก้ไขได้ยังไงบ้าง

หลายคนน่าจะเคยได้ยินคำว่า “คีโต” หรือ “การกินอาหารแบบคีโต” (Keto Diet) กันมาบ้างแล้ว  การกินแบบคีโตได้รับความนิยมมากในหมู่คนที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก แต่บางคนก็อาจประสบปัญหา กินคีโตแล้วปวดหัว ได้เช่นกัน อย่างนั้นเรามาดูกันดีกว่าว่าปัญหานี้เกิดจากอะไร แล้วจะมีวิธีรับมืออย่างไรบ้าง การกินอาหารแบบคีโต คืออะไร การกินอาหารแบบคีโต คือ การกินอาหารโดยเน้นกินอาหารไขมันสูง กินโปรตีนในปริมาณปานกลาง และกินคาร์โบไฮเดรตน้อยมาก เมื่อเรากินคาร์โบไฮเดรตน้อยลง ร่างกายก็จะเข้าสู่ภาวะคีโตซิส (Ketosis) และดึงไขมันมาใช้เป็นพลังงานแทน ซึ่งเป็นการกินอาหารที่ช่วยในการลดน้ำหนักได้ดีอีกวิธีหนึ่ง สาเหตุที่คุณ กินคีโตแล้วปวดหัว การที่คุณ กินคีโต แล้วปวดหัวสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ และคนที่ประสบปัญหานี้ส่วนใหญ่มักจะเจอปัญหานี้ในช่วงเริ่มกินคีโต ว่าแต่สาเหตุที่ว่าจะมีอะไรบ้าง ไปดูกันเลย ภาวะขาดน้ำ การขาดน้ำเป็นหนึ่งในสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุดของการ กินคีโต แล้วปวดหัว เนื่องจากเมื่อร่างกายเข้าสู่ภาวะคีโตซิส มักทำให้ปัสสาวะบ่อยขึ้น จนร่างกายสูญเสียน้ำมากขึ้น หากคุณไม่ดื่มน้ำเพื่อชดเชยน้ำที่ร่างกายเสียไป ก็สามารถนำไปสู่ภาวะขาดน้ำได้ เมื่อร่างกายขาดน้ำ ก็มักจะทำให้เกิดอาการปวดหัว และมักมีอาการอื่น ๆ เหล่านี้ร่วมด้วย เช่น วิงเวียนศีรษะ ปากแห้ง มีปัญหาในการมองเห็น ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ เมื่อ กินคีโต แล้วเข้าสู่ภาวะคีโตซิส ร่างกายจะเริ่มพึ่งพาคีโตนบอดี้ (Ketone bodies) แทนกลูโคส (Glucose) คีโตนบอดี้คือสารประกอบที่ได้จากการที่ร่างกายสลายไขมันเป็นพลังงาน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้สามารถทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดของคุณลดลง จนนำไปสู่ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำได้ เมื่อเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ก็อาจทำให้สมองของคุณเครียด […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

สัญญาณควรรู้ คุณอาจกำลังเป็นโรคขาดสารไอโอดีน

ไอโอดีน เป็นสารอาหารที่ดีต่อสมองและดีต่อการทำงานของต่อมไทรอยด์ด้วย ถ้าหากร่างกายขาดสารไอโอดีนก็จะมีผลกระทบต่อสุขภาพ เสี่ยงที่จะเป็น โรคขาดสารไอโอดีน แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าร่างกายเรากำลังขาดสารไอโอดีน วันนี้ Hello คุณหมอ มีข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับ สัญญาณของโรคขาดสารไอโอดีน มาฝากคุณผู้อ่านค่ะ โรคขาดสารไอโอดีน เป็นอย่างไร ไอโอดีน (Iodine) เป็นสารอาหารสำหรับร่างกายที่มีส่วนช่วยในการเสริมสร้างการทำงานของระบบประสาทและสมอง ซึ่งถ้าร่างกายขาดสารไอโอดีนก็จะมีอาการตั้งแต่โรคคอพอก ปัญหาที่เกี่ยวกับไทรอยด์ รวมถึงมีผลต่อพัฒนาการทางการเรียนรู้ด้วย หากคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ไม่รับประทานไอโอดีนในปริมาณที่เพียงพอทั้งต่อแม่และเด็ก ทารกที่เกิดมาก็เสี่ยงที่จะมีภาวะขาดไอโอดีนตั้งแต่กำเนิด ไปจนถึงมีพัฒนาการที่ช้า หรือเป็นโรคเอ๋อ อาการโดยรวมต่างๆ เหล่านี้อยู่ในหมวดหมู่ของอาการทางสุขภาพที่เรียกว่า โรคขาดสารไอโอดีน สัญญาณของโรคขาดสารไอโอดีน มีอะไรบ้าง มีอาการคอบวม หากร่างกายขาดสารไอโอดีน อาการแรกๆ ที่มักจะเกิดขึ้นก็คือคอมีอาการบวมหรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อ โรคคอพอก (Goiter) ซึ่งเกิดจากการที่ร่างกายมีสารไอโอดีนไม่เพียงพอที่จะผลิตไทรอยด์ฮอร์โมน และเมื่อต่อมไทรอยด์ไม่สามารถผลิตไทรอยด์ฮอร์โมนได้เพียงพอ ต่อมไทรอยด์ก็จำเป็นจะต้องทำงานอย่างหนักเพื่อผลิตฮอร์โมนไทรอยด์ให้ทันต่อความต้องการของร่างกาย จนกระทั่งต่อมไทรอยด์เกิดอาการบวมโตขึ้นจากการทำงานหนัก จึงส่งผลให้บริเวณคอเกิดอาการบวมออกมาในที่สุด น้ำหนักขึ้นและลงอย่างผิดปกติ อาการขาดสารไอโอดีนนั้นมีผลโดยตรงต่อต่อมไทรอยด์ และเมื่อต่อมไทรอยด์มีปัญหา ระบบเผาผลาญก็จะเกิดปัญหาตามมาด้วย เนื่องจากฮอร์โมนไทรอยด์ทำหน้าที่ในการควบคุมระบบเผาผลาญ หากฮอร์โมนไทรอยด์อยู่ในระดับต่ำ ระบบเผาผลาญของร่างกายก็จะลดต่ำลงตามไปด้วย ทำให้ปริมาณแคลอรี่ในร่างกายเผาผลาญออกไปไม่หมดและกลายเป็นไขมันที่จะมีผลต่อการขึ้นลงของน้ำหนัก ผมร่วง ฮอร์โมนไทรอยด์ทำหน้าที่สำคัญหลายหน้าที่ต่อร่างกายอีกหนึ่งหน้าที่ก็คือการควบคุมการเจริญเติบโตของเส้นขน หากร่างกายมีฮอร์โมนไทรอยด์ในระดับต่ำ และเป็น โรคขาดสารไอโอดีน ก็จะส่งผลให้เกิดปัญหาผมร่วงและยังส่งผลให้อัตราการงอกใหม่ของเส้นผมน้อยลงด้วยเหมือนกัน รู้สึกหนาวมากกว่าปกติ ร่างกายจะมีอาการไวต่อความเย็นมากขึ้นหากมีระดับฮอร์โมนไทรอยด์ลดต่ำลงเนื่องจากการมีสารไอโอดีนในร่างกายไม่เพียงพอ ทั้งนี้เพราะร่างกายเผาผลาญได้น้อยลง เมื่อเผาผลาญได้น้อยลง การผลิตความร้อนในร่างกายที่ได้จากการเผาผลาญก็ลดลงด้วย จึงทำให้เมื่อสัมผัสอากาศเย็นจะรู้สึกหนาวกว่าปกตินั่นเอง อัตราการเต้นของหัวใจเกิดการเปลี่ยนแปลง การขาดสารไอโอดีนของร่างกาย จะส่งผลให้อัตราการเต้นของหัวใจเป็นไปได้ช้าลง หรือหัวใจเต้นช้ากว่าปกติ ซึ่งจะทำให้เกิดอาการวิงเวียนศีรษะ อ่อนเพลีย และเป็นลมได้ง่ายขึ้นด้วย มีปัญหาในเรื่องความจำ ไอโอดีนเป็นสารอาหารสำคัญที่มีประโยชน์ต่อการเรียนรู้และความจำ มีผลการวิจัยพบว่าผู้ที่มีระดับของไทรอยด์ฮอร์โมนในปริมาณที่สูง จะมีทักษะในการทำแบบทดสอบ […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

6 ท่า กายบริหารสำหรับผู้ป่วยติดเตียง

หาก ผู้ป่วยติดเตียง หรือผู้ที่ต้องนอนพักรักษาตัวเป็นเวลานานไม่ได้ขยับเขยื้อนร่างกายเลย อาจส่งผลให้เลือดไหลเวียนได้ไม่สะดวก กล้ามเนื้ออ่อนแอลงหรือสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ จนสุขภาพอ่อนแอและต้องพักรักษาตัว หรือพักฟื้นนานขึ้น และบางครั้งอาจทำให้เกิดอาการแทรกซ้อนอื่น ๆ เช่น แผลกดทับ ได้ด้วย ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำให้ผู้ป่วยติดเตียงออกกำลังกายเป็นประจำด้วยท่า กายบริหารสำหรับผู้ป่วยติดเตียง เหล่านี้ [embed-health-tool-heart-rate] กายบริหารสำหรับผู้ป่วยติดเตียง 1. ท่ายืดเหยียดนิ้วและฝ่ามือ ท่ายืดเหยียดนิ้วและฝ่ามือจัดเป็นท่ากายบริหารสำหรับ ผู้ป่วยติดเตียง ที่ทำได้ง่ายที่สุดท่าหนึ่ง โดยคุณสามารถยืดเหยียดนิ้วและฝ่ามือได้ตามขั้นตอนต่อไปนี้ ยื่นมือไปข้างหน้า หันฝ่ามือออกนอกลำตัว กางนิ้วทั้ง 5 นิ้วให้ได้มากที่สุดแล้วค้างไว้ 2-3 วินาที ให้ปลายนิ้วแต่ละนิ้วแตะกับปลายนิ้วโป้ง ไล่ไปตั้งแต่นิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง นิ้วก้อย สลับข้างแล้วทำซ้ำ ทำซ้ำข้างละ 2-3 ครั้ง 2. ท่าหมุนข้อมือ การฝึกท่าหมุนข้อมือบ่อย ๆ จะช่วยให้ ผู้ป่วยติดเตียง มีข้อมือที่แข็งแรง และสามารถเคลื่อนไหวได้เป็นปกติ โดยคุณสามารถออกกำลังกายในท่าหมุนข้อมือได้ ตามขั้นตอนต่อไปนี้ นอนแขนแนบลำตัว ให้ฝ่ามือแตะอยู่บนเตียง หมุนข้อมือข้างหนึ่งทวนเข็มนาฬิกาช้า ๆ ทำซ้ำประมาณ 10-15 วินาที สลับข้างแล้วทำซ้ำ ทำซ้ำข้างละ 2-3 ครั้ง 3. ท่ายกแขน ท่ายกแขนเป็นการฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อสำหรับ […]


อาการของโรค

เจ็บหน้าอกข้างขวา ขึ้นมากะทันหัน มีสาเหตุมาจากอะไรได้บ้าง

อาการเจ็บหน้าอก อาจจะดูเป็นอาการเล็ก ๆ แต่ผลเสียที่ตามมาอาจไม่เล็กอย่างที่คิด มากไปกว่านั้น ถ้าหากคุณปล่อยให้อาการ เจ็บหน้าอกข้างขวา นี้เกิดขึ้นบ่อย ๆ โดยไม่มีการเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ นั่นอาจเป็นสัญญาณของโรคร้ายแรงบางอย่างก็เป็นได้ บทความนี้ของ Hello คุณหมอ จะพาทุกคนมารู้จักกับ อาการเจ็บหน้าอก ให้ชัดถึงสาเหตุหลัก เพื่อการดูแลตนเองให้ปลอดภัยจากโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ [embed-health-tool-heart-rate] อาการ เจ็บหน้าอกข้างขวา คืออะไร เป็นอาการที่สามารถบ่งบอกถึงสุขภาพของคุณได้หลายประการ ทั้งในระดับไม่รุนแรง จนไปถึงขั้นระดับรุนแรงที่อาจส่งผลอันตรายถึงชีวิต ซึ่งอาจมาจากสาเหตุหลัก ๆ ดังต่อไปนี้ เจ็บอกข้างขวา จากความเครียด หากคุณมีความเครียดในระดับที่รุนแรง อาจส่งผลให้สุขภาพหัวใจคุณได้รับผลกระทบ หรือหัวใจต้องทำงานหนักขึ้น จนเกิดเป็น อาการเจ็บหน้าอก อาจมีอาการใจสั่นร่วมด้วย กล้ามเนื้อหน้าอกตึงเครียด เนื่องจากหน้าอกของคนเรามีผนังที่เรียกกว่า กล้ามเนื้อ กั้นเอาไว้ ซึ่งอาการนี้จะพบได้บ่อยสำหรับผู้ที่ชอบทำกิจกรรมโดยใช้ร่างกายอย่างหนัก เช่น ออกกำลังกาย เล่นกีฬา เป็นต้น จึงส่งผลให้กล้ามเนื้อบริเวณนั้นรู้สึกเจ็บปวด และอาจเกิดอาการ เจ็บอกข้างขวา ได้ แต่ไม่ต้องเป็นกังวลไป เพราะในกรณีนี้คุณสามารถบรรเทาอาการได้ด้วยการพักผ่อน หรือการใช้ยาที่ซื้อตามร้านขายยาโดยผ่านการอนุญาตจากเภสัชกรมาทา เพื่อบรรเทาอาการก็ย่อมได้ อาการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ แน่นอนว่าอุบัติเหตุย่อมเกิดได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่ว่าจะเป็นขณะทำงาน หรือระหว่างการดำเนินกิจวัตรประจำวันตามปกติก็ตาม ดังนั้น อาการเจ็บหน้าอก ก็อาจเกิดจากการได้รับการกระแทกอย่างรุนแรง […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

แก๊สน้ำตาและสเปรย์พริกไทย ส่งผลต่อร่างกายอย่างไรบ้าง

เมื่อพูดถึง แก๊สน้ำตาและสเปรย์พริกไทย หลายคนคงเคยได้ยินว่าสิ่งเหล่านี้มีไว้ในเพื่อการสลายการชุมนุม แต่ในบางครั้งผู้หญิงบางคนก็อาจจะพกสเปรย์พริกไทย เพื่อเอาไว้ป้องกันตัวจากพวกมิจฉาชีพ แต่คุณรู้หรือไม่ว่า แก๊สน้ำตาและสเปรย์พริกไทย สามารถส่งผลต่อร่างกายได้ด้วย แต่สองสิ่งนี้จะส่งผลต่อร่างกายอย่างไรบ้าง ลองมาติดตามข้อมูลจาก Hello คุณหมอ กันเลย ทำความรู้จักกับ แก๊สน้ำตา แก๊สน้ำตา (Tear Gas) มีส่วนผสมของสารเคมีที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองผิวหนัง ตา และระบบทางเดินหายใจ แก๊สน้ำตาถูกใช้เป็นอาวุธเคมีในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และถูกห้ามไม่ให้ใช้ในช่วงสงครามในสมัยต่อมา แต่ตอนนี้มีการใช้งานโดยผู้บังคับใช้กฎหมายเป็นหลัก เพื่อควบคุมฝูงชนและการจลาจล สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคุณสูดดม แก๊สน้ำตา แก๊สน้ำตาทำให้น้ำตาไหล สร้างความแสบร้อนในจมูกและเยื่อจมูกอย่างเฉียบพลัน หากสูดดมแก๊สน้ำตาเข้าไป อาจทำให้เกิดการระคายเคืองเยื่อบุปอดและทางเดินหายใจส่วนบน ส่งผลให้หายใจเสียงดังฮืด ๆ ไอ หายใจไม่ออก และกลั้นหายใจได้ลำบาก การกลืนแก๊สน้ำตาเข้าไปอาจทำให้ท้องเสีย คลื่นไส้และอาเจียน โดยทั่วไปแล้วผลกระทบต่อร่างกายจะเกิดขึ้นภายในเวลาไม่กี่วินาทีหลังจากที่ได้รับสารและสามารถอยู่ได้นานถึง 1 ชั่วโมง โดยงานวิจัยชิ้นหนึ่งแสดงให้เห็นว่า คนส่วนใหญ่ที่สัมผัสกับแก๊สน้ำตามักจะมีอาการไม่รุนแรง แต่ประมาณ 1 ใน 15 คนอาจมีอาการรุนแรง โดยความรุนแรงของอาการขึ้นอยู่กับปริมาณแก๊สที่ได้รับ ตำแหน่งที่สัมผัส และระยะเวลาที่การสัมผัส จากหลักฐานที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่า ผู้คนที่สัมผัสกับแก๊สน้ำตาในพื้นที่ปิดล้อม มีความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บและมีปัญหาระบบทางเดินหายใจที่รุนแรง ยิ่งหากคุณเป็นโรคหอบหืด ก็ยิ่งทำให้เสี่ยงเกิดปัญหาสุขภาพจากการได้รับแก๊สน้ำตามากขึ้น โดยผู้ที่เป็นโรคหอบหืดอาจมีอาการหลอดลมหดเกร็งอยางรุนแรง จนหายใจลำบากได้ นอกจากนี้ แก๊สน้ำตายังอาจทำให้เกิดโรคหอบหืดและนำไปสู่ภาวะการหายใจล้มเหลว จนถึงขั้นเสียชีวิตได้ด้วย […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ไขข้อสงสัย ผู้ชาย มี หัวนม เอาไว้ทำอะไรกัน ?

ทุกคนเคยแอบคิดกันเล่น ๆ บ้างหรือไม่คะ ว่าทำไมผู้ชายจึงต้องมีหน้าอก ซึ่งบางคนนั้นหน้าอกดันใหญ่กว่าผู้หญิงอย่างเรา ๆ เสียอีก ที่สำคัญหน้าอก หรือ หัวนม ของ ผู้ชาย ก็ไม่ได้เอาไว้ทำหน้าที่อะไรเหมือนกับผู้หญิงซักนิดด้วยซ้ำ บทความของ Hello คุณหมอ วันนี้จึงมาคลายข้อสงสัยต่าง ๆ เกี่ยวกับประเด็นข้างต้น ให้ทุกคนได้ทราบอย่างแน่ชัดกันค่ะ ทำไม ผู้ชาย จึงต้องมี หัวนม จริง ๆ หัวนมของผู้ชาย ถูกพัฒนาตั้งแต่ที่พวกเขายังเป็นตัวอ่อนอยู่ในครรภ์ของมารดา ด้วยโครโมโซม X ตัวแรก ซึ่งในเพศหญิงก็เช่นเดียวกัน จึงทำให้ถูกมีการกล่าวขานว่า ผู้ชายทุกคนล้วนเคยเป็นผู้หญิงมาก่อน เมื่อมีการเจริญเติบโตขึ้น โครโมโซมตัวที่สองก็เริ่มทำงานโดยเปลี่ยนแปลงจากโครโมโซม X เป็นโครโมโซม Y ในเฉพาะเพศชาย รวมถึงมีการเปลี่ยนแปลงของอวัยวะต่าง ๆ ที่บ่งบอกให้คุณพ่อคุณแม่ได้รับรู้ถึงเพศจากการอัลตราซาวด์ (Ultrasound) เช่น หัวนม เต้านม อวัยวะเพศ เป็นต้น นอกจากนี้หัวนมของผู้ชายยังสามารถกระตุ้นอารมณ์ทางเพศได้ เพราะเป็นอวัยวะที่ค่อนข้างไวต่อการสัมผัส ในงานวิจัยชิ้นหนึ่งพบว่า การกระตุ้นหัวนมในผู้ชาย อาจช่วยเพิ่มอารมณ์ให้เกิดความรู้สึกอยากมีเพศสัมพันธ์ได้ถึง 52% ผู้ชายมี หัวนม ไว้คอยให้ นมบุตร […]


การทดสอบทางการแพทย์

อาการกิลแลง-บาร์เร (Guillain Barre Syndrome)

อาการกิลแลง-บาร์เร (Guillain Barre Syndrome)  คือ ระบบประสาทเกิดความผิดปกติ จนทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง อาการดังกล่าวนี้ไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่มักเกิดจากการติดเชื้อในกระเพาะลำไส้อักเสบ หรือการติดเชื้อในปอด  ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการชาบริเวณแขน และขา  บางรายอาจร้ายแรงจนกลายเป็นอัมพาต คำจำกัดความอาการกิลแลง-บาร์เร (Guillain Barre Syndrome)  คืออะไร อาการกิลแลง-บาร์เร (Guillain Barre Syndrome)  คือ ระบบประสาทเกิดความผิดปกติ จนทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง อาการดังกล่าวนี้ไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่มักเกิดจากการติดเชื้อในกระเพาะและลำไส้อักเสบ หรือการติดเชื้อในปอด  ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการชาบริเวณแขน และขา  บางรายอาจร้ายแรงจนกลายเป็นอัมพาต พบได้บ่อยเพียงใด อาการกิลแลง-บาร์เรสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน พบได้บ่อยในเพศชายที่มีอายุมากกว่า 50 ปี ขี้นไป อาการอาการกิลแลง-บาร์เร อาการกิลแลง-บาร์เรส่งผลกระทบต่อระบบประสาทส่วนปลาย ทำให้ผู้ป่วยมีอาการ ดังต่อไปนี้ อาการชาบริเวณข้อมือ นิ้วมือ อาการชาบริเวณเท้า ข้อเท้า ท่าเดินไม่มั่นคง กลืนอาหารลำบาก หัวใจเต้นเร็ว หายใจลำบาก ความดันโลหิตต่ำ ความดันโลหิตสูง อาการปวดหลังรุนแรง ควรไปพบหมอเมื่อใด หากคุณมีสิ่งบ่งชี้หรืออาการใด ๆ ตามที่ระบุข้างต้น หรือมีคำถาม โปรดปรึกษาแพทย์ ร่างกายของแต่ละบุคคลมีการตอบสนองแตกต่างกัน ทางที่ดีที่สุดให้ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับวิธีรักษาที่ดีที่สุดตามสถานการณ์ของคุณ สาเหตุสาเหตุของอาการกิลแลง-บาร์เร ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด ที่ทำให้เกิดอาการกิลแลง-บาร์เร โดยศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติ ประเทศสหรัฐอเมริกา (US Centers for Disease Control and Prevention […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ต้นไม้ที่ไม่ควรปลูกในบ้าน เป็นอันตรายกับเด็ก ที่คุณพ่อคุณแม่ควรรู้

การปลูกต้นไม้ในรั้วบ้าน ภายในบ้าน หรือแม้แต่ในห้องนอน กลายเป็นกิจกรรมคลายเครียด และกิจกรรมรักษ์โลกที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในช่วงโควิด-19 ระบาด ซึ่งหลาย ๆ คนต้องกักตัวอยู่บ้าน หรือทำงานที่บ้าน การปลูกต้นไม้ในบ้านยิ่งฮอตฮิตเข้าไปใหญ่ เพราะนอกจากจะเพิ่มความสวยงาม ทำให้บ้านน่าอยู่ขึ้นแล้ว ต้นไม้ยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพด้วย แต่คุณก็ควรเลือกต้นไม้มาปลูกในรั้วบ้านให้เหมาะสม โดยเฉพาะหากที่บ้านคุณมีเด็ก เพราะต้นไม้บางชนิดเป็น ต้นไม้ที่ไม่ควรปลูกในบ้าน บ้างก็มีพิษ และเป็นต้นไม้ที่เป็นอันตรายกับเด็กอีกด้วย คุณพ่อคุณแม่จึงไม่ควรนำมาปลูกในบ้าน ทาง Hello คุณหมอ มีข้อมูลมาฝากกันในบทความนี้ ต้นไม้ที่ไม่ควรปลูกในบ้าน และต้นไม้ที่เป็นอันตรายกับเด็ก ทองหลาง (Coral tree) ใบ เปลือก และเมล็ดทองหลางนั้นมีพิษ ยิ่งหากเป็นพิษจากเมล็ดทองหลางยิ่งเป็นอันตรายกับเด็ก เพราะอาจทำให้เด็กมีปัญหาสุขภาพ เช่น อาการหายใจลำบาก หรือหายใจไม่อิ่ม (Shortness of breath) อาการตัวเขียว (Cyanosis) คือ อาการที่เนื้อเยื่อเปลี่ยนสีหรือมีสีคล้ำลง เนื่องจากขาดออกซิเจนในเลือด อ่อนเพลีย วิงเวียนศีรษะ ยี่โถ ต้นยี่โถ (Oleander) เป็นไม้ประดับที่นิยมปลูกตามหน้าบ้าน เพราะลำต้นไม่สูงมากและมีดอกใหญ่ สวยงาม ทั้งยังมีหลากหลายสีสัน เช่น สีชมพูเข้ม สีชมพูอ่อน สีเหลือง สีขาว แต่รู้หรือไม่ว่าต้นยี่โถนี้ก็เป็นต้นไม้ที่เป็นอันตรายกับเด็กมากเช่นกัน เนื่องจากทุกส่วนของยี่โถล้วนแต่มีสารพิษทั้งสิ้น […]

ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา

ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของเรา

ทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของ Hello คุณหมอ ประกอบไปด้วยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มาร่วมสร้างสรรค์บทความในเว็บไซต์ของเราตามความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญของเราจะช่วยรับรองว่าข้อมูลด้านสุขภาพของเราถูกต้อง เป็นปัจจุบัน และตรงตามหลักฐานจากงานวิจัยล่าสุด
ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรามุ่งมั่นเต็มที่ในการช่วยให้คุณได้รับข้อมูลและความรู้ด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือ เข้าใจง่าย และเป็นประโยชน์ และพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพกับคุณเสมอ เพื่อให้คุณได้รับทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น

ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม