สุขภาพ

สุขภาพ เป็นเรื่องสำคัญ เราจึงได้รวบรวมข้อมูลที่จะช่วยให้คุณดูแลสุขภาพได้ดียิ่งขึ้นไว้ที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นข่าวสารสุขภาพ ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป และอื่น ๆ อีกมากมาย หากคุณมีข้อสงสัยใด ๆ เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ ข้อมูลเหล่านี้ช่วยคุณได้แน่นอน

เรื่องเด่นประจำหมวด

สุขภาพ

ทำความรู้จัก "ปลูกฝี" สำคัญยังไง ยังจำเป็นอยู่ไหม

การปลูกฝีเคยเป็นหนึ่งในนวัตกรรมทางการแพทย์ที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่โรคฝีดาษ (Smallpox) เป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อชีวิตมนุษย์ วัคซีนป้องกันฝีดาษซึ่งเริ่มต้นจากการปลูกฝี ไม่เพียงช่วยลดการเสียชีวิตนับล้านคนทั่วโลก แต่ยังนำไปสู่การประกาศกำจัดโรคฝีดาษอย่างสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2523  อย่างไรก็ตาม ความทรงจำเกี่ยวกับการปลูกฝีเริ่มจางหายไปเมื่อวัคซีนนี้ไม่ได้เป็นที่จำเป็นในยุคปัจจุบัน บทความนี้จะพาผู้อ่านย้อนรอยความสำคัญของการปลูกฝีในอดีต และพิจารณาว่าการปลูกฝียังมีความจำเป็นในยุคสมัยใหม่หรือไม่ [embed-health-tool-vaccination-tool] ปลูกฝี ในอดีตเป็นอย่างไร? การปลูกฝีเริ่มต้นในปี ค.ศ. 1796 โดย ดร.เอ็ดเวิร์ด เจนเนอร์ ผู้ค้นพบว่าวัคซีนจาก Cowpox สามารถป้องกันโรคฝีดาษได้ ทำให้เกิดการพัฒนาวัคซีนที่ใช้ทั่วโลกเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคร้ายแรงนี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้รณรงค์ฉีดวัคซีนอย่างกว้างขวางในช่วงศตวรรษที่ 20 จนนำไปสู่การประกาศว่าฝีดาษถูกกำจัดอย่างสมบูรณ์ในปี 1980 สำหรับประเทศไทย การปลูกฝีเริ่มต้นในสมัยรัชกาลที่ 4 โดยมักทิ้งรอยแผลเป็นเล็ก ๆ บริเวณหัวไหล่ หลังจากการกำจัดโรคฝีดาษอย่างสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2523 การปลูกฝีก็หยุดลง แต่กลับมาเป็นประเด็นที่น่าสนใจอีกครั้งในยุคที่โรคฝีดาษลิงระบาด โดยวัคซีนที่พัฒนาจากวัคซีน Smallpox เช่น JYNNEOS กำลังถูกศึกษาเพื่อรับมือกับความท้าทายใหม่นี้ โรคฝีดาษลิงคืออะไร โรคฝีดาษลิง (Monkeypox) เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่เกิดจากไวรัสในตระกูล Orthopoxvirus ซึ่งเป็นตระกูลเดียวกับไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคฝีดาษ (Smallpox) แม้ว่าจะมีลักษณะคล้ายกัน แต่โรคฝีดาษลิงมีอาการรุนแรงน้อยกว่าและมีอัตราการเสียชีวิตต่ำกว่า โรคฝีดาษลิงเกิดจากเชื้อ ไวรัส Monkeypox ซึ่งถูกค้นพบครั้งแรกในลิงในปี ค.ศ. 1958 และตรวจพบในมนุษย์ครั้งแรกในปี […]

หมวดหมู่ สุขภาพ เพิ่มเติม

สำรวจ สุขภาพ

ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ระวังให้ดี ขาดวิตามินซี โรคโลหิตจาง จะถามหา

วิตามิน ซี เป็นวิตามินชนิดละลายในน้ำได้  เป็นวิตามินที่ร่างกายไม่สามารถผลิตได้เอง แหล่งวิตามินซีส่วนใหญ่ได้มาจากอาหารทั่วไปและอาหารเสริมเท่านั้น วิตามิน ซี มีประโยชน์ที่สำคัญหลายอย่างต่อร่างกาย หนึ่งในนั้นคือ ช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็ก ซึ่งธาตุเหล็กเป็นหนึ่งในแร่ธาตุสำคัญที่ช่วยในการผลิตฮีโมโกลบิน ซึ่งเป็นส่วนประกอบของเซลล์เม็ดเลือดแดงที่มีออกซิเจน ประสิทธิภาพอีกอย่างของวิตามิน ซี คือช่วยผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดง ดังนั้น ภาวะ ขาดวิตามินซี สามารถก่อให้เกิด โรคโลหิตจาง หรือโรคเซลล์เม็ดเลือดแดงต่ำ (low red blood cell count) วันนี้ Hello คุณหมอ จะพาไปดูว่ากาารขาดวิตามินซี…สามารถส่งผลอย่างไรต่อร่างกายได้บ้าง สาเหตุของโรคโลหิตจางจากการ ขาดวิตามินซี มีหลายสาเหตุของการเกิดโรคโลหิตจาง โรคโลหิตจางเนื่องจากขาดวิตามินซีจะเกิดขึ้น เมื่อร่างกายได้รับวิตามินซีไม่เพียงพอ การบริโภคอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินซี และธาตุเหล็ก กระเพาะอาหารของคุณ จะสามารถปรับตัวกับสภาพแวดล้อมที่เป็นกรดได้ดีขึ้น นำไปสู่การเพิ่มระดับการดูดซึมธาตุเหล็ก การดูดซึมธาตุเหล็กไม่ใช่เรื่องง่าย ผู้ใหญ่จะดูดซึมธาตุเหล็กอยู่ระหว่างร้อยละ 10 และ ร้อยละ 15 ของธาตุเหล็กในอาหาร การดูดซึมธาตุเหล็กในรูปฮีมจากเนื้อ จะดูดซึมได้ดีกว่าธาตุเหล็กในรูปอื่นที่ดูดซึมได้จากพืช แต่การบริโภคสารอาหารประเภทอื่นที่มีลักษณะคล้ายกับวิตามินซี สามารถส่งผลกระทบต่อการดูดซึมธาตุเหล็กในรูปอื่น ผู้ที่ดูดซึมโปรตีนส่วนใหญ่จากผลิตภัณฑ์พืช และผู้ที่ถูกพิจารณาว่าอยู่ในภาวะขาดแคลนวิตามินซี จะพบความเสี่ยงอย่างมากในการเกิดโรคโลหิตจาง ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ การขาดสารอาหาร โรคมะเร็ง ประสิทธิภาพในการดูดซึมธาตุเหล็กหายไป เป็นสาเหตุสำคัญในการขาดแคลนภาวะวิตามินซี ที่ก่อให้เกิดโรคโลหิตจาง […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ทัลคัม (Talcum) ในเครื่องสำอาง..อันตรายจริงหรือไม่

ข่าวใหญ่เมื่อปี พ.ศ. 2559 ที่ศาลแห่งสหรัฐอเมริกามีคำสั่งให้บริษัทผลิตแป้งเด็กยักษ์ใหญ่รายหนึ่ง จ่ายเงินชดเชยจำนวน 72  ล้านเหรียญให้กับเหยื่อที่เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งรังไข่ ที่คาดว่าเป็นผลมาจากการใช้แป้ง ทัลคัม อย่างเนื่องเป็นระยะเวลายาวนาน สร้างความหวาดหวั่นพรั่นพรึงไปทั่วโลกอันตรายของสารดังกล่าว แต่ก็ยังไม่ข้อโต้แย้งมากมายว่าทัลคัมอันตรายจริงหรือ ไปดูข้อมูลประกอบการตัดสินใจว่าคุณจะใช้ทัลคัมต่อ หรือพอกันแค่นี้  ทัลคัม คืออะไร ทัลก์ (Talc) เป็นแร่ธาตุที่พบได้ทั่วไปทุกแห่งบนโลก โดยในประเทศไทย พบมากในเขตจังหวัดอุตรดิตถ์ กำแพงเพชร เพชรบูรณ์ และจันทรบุรี ซึ่งมีวิถีการขุดเช่นเดียวกับแร่ชนิดอื่น แล้วนำมาบดหยาบเพื่อคัดเลือกเกรดของแร่ โดยส่วนที่มีคุณภาพมากที่สุดจะนำมาเข้าสู่อุตสหกรรมการผลิตแป้ง โดยการโม่ให้เป็นผง และทำการทดสอบความบริสุทธิ์ ก่อนนำมาวางขาย หรือเข้าสู่อุตสาหกรรมอื่นต่อไป จนกลายเป็นแป้งทัลคัม (Talcum) หรือแป้งเด็กโรยตัวที่เรารู้จักกันดี เนื่องจากมีความอ่อนนุ่มสูงในรูปของผงละเอียด เป็นส่วนผสมที่ไม่ทำปฏิกิริยาทางเคมีเมื่อรับประทานเข้าปาก หรือทาลงบนผิว ทำให้นิยมนำมาใช้ในอุตสาหกรรมแป้งโรยตัว และเป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางบางชนิด ที่ต้องอาศัยคุณสมบัติความเป็นผง จึงไม่แปลกใจที่เราจะพบทัลคัมได้ในชีวิตประจำวัน เรียกได้ว่าใช้กันตั้งแต่เด็กยันโตเลยทีเดียว ทัลคัมเริ่มใช้กันตั้งแต่เมื่อไหร่ การใช้ทัลก์เริ่มมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ ที่มนุษย์รู้จักนำแร่ธาต่ขึ้นมาใช้ โดยพบหลักฐานว่า ชาวอียิปต์โบราณใช้ทัลก์ในด้านความงาม นอกจากนั้นชาวอัสซีเรียโบราณ (Assyrien) และชนพื้นเมืองในอเมริกา ได้นำทัลก์มาใช้หากหลายด้าน ต่อมาในศตวรรษที่ 19 มีการนำทัลก์มาใช้เพื่อบรรเทาอาการระคายเคืองผิว เนื่องจากพลาสเตอร์ยา อีกทั้งบรรเทาอาการผื่นผ้าอ้อม ที่มักเกิดกับทารกน้อยอีกด้วย และในปัจจุบันมีการนำทัลก์มาใช้ในด้านอุตสาหกรรมความงามทั่วโลก จนกลายเป็นตำนานแป้งทัลคัมที่เราใช้กันอย่างแพร่หลาย ทัลคัมในเครื่องสำอาง ทัลก์ […]


อาการของโรค

ผิว ผม ริมฝีปาก และเล็บ ส่ง สัญญาณ สุขภาพ อะไรให้เราได้บ้าง

ผมเสีย เล็บซีดขาว ริมฝีปากดำคล้ำ….รู้หรือไม่ว่านี่เป็น สัญญาณ สุขภาพ จากร่างกายที่เตือนว่าอวัยวะภายในทำงานไม่ดี  หลักการแพทย์แผนจีนโบราณกล่าวไว้ว่า ร่างกายภายนอกและภายในมีความสัมพันธ์กัน ดังนั้น ถ้าอวัยวะภายในสมบูรณ์ทำหน้าที่ได้ดี นอกจากทำให้ ร่างกาย แข็งแรงสุขภาพดีแล้วยังสามารถสะท้อนออกมาสู่รูปลักษณ์ภายนอกให้ดูดีได้ด้วย ถ้าอย่างนั้นเรามาเช็คผอผกันเลยว่ามีสัญญาณจากอะไรบ้าง ผิวเสีย ผิวแห้งกร้าน สัญญาณเตือนจากปอด หนึ่งใน สัญญาณ สุขภาพ ที่เราจะรับรู้ได้จากผิวก็คือสัญญาณเตือนจากปอด แพทย์แผนจีนเชื่อว่าราศีของปอดคือผิวหนัง เนื่องจากอวัยวะทั้งสองทำงานสัมพันธ์กัน เวลาที่เราหายใจเข้ารูขุมขนทั่วร่างกายจะเปิด และเมื่อหายใจออกรูขุมขนทั่วร่างกายจะปิด ดังนั้น ถ้าหากปอดทำงานดีจะส่งผลให้ระบบหายใจดี และการทำงานของรูขุมขนบนผิวหนังดีตามไปด้วย จึงเป็นผลให้ผิวพรรณสดใส ชุ่มชื้น ไม่แห้งกร้าน แต่ถ้าหากปอดทำงานไม่ดี ก็สามารถส่งผลให้ผิวแห้งเสียได้เช่นกัน รู้อย่างนี้แล้วใครเข้าข่ายผิวเสียอย่างไม่มีสาเหตุลองหันมาใส่ใจปอดด้วยวิธีง่ายๆ กันค่ะ วิธีดูแลปอดง่ายๆ ตามหลักแพทย์แผนจีน ตื่นเช้ามาสูดอากาศบริสุทธิ์ ออกกำลังกายเบา ๆร่วมด้วย เช่น เดินเร็ว โยคะ ไทเก๊ก ออกกำลังกายเป็นประจำวันละ 20-45 นาที สัปดาห์ละ 4 ครั้งขึ้นไป ไม่กินอาหารรสเผ็ดมากเกินไป การกินรสเผ็ดในปริมาณปกติ จะช่วยดูแลปอดได้ ขับถ่ายทุกวันก่อน 7 โมงเช้า ไม่สูบบุหรี่ เพราะเป็นพฤติกรรมที่ส่งผลต่อผิวหนังโดยตรง ทำให้ผิวเหี่ยวย่นก่อนวัย ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 2 ลิตร ถ้าหลีกเลี่ยงน้ำเย็นได้ยิ่งดี กินผัก ผลไม้ […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

4 เหตุผล (น่ากลัว) ที่เราไม่ควรมี สัตว์เลี้ยง ในห้องนอน

เจ้าตูบ เจ้าเหมียวชอบอ้อนขอมานอนด้วย ไม่รู้ว่าเพราะห้องนอนของเราเปิดแอร์เย็นฉ่ำหรือเปล่า เจ้าสัตว์เลี้ยงแสนน่ารักถึงอยากมานอนด้วยทุกคืน หลายคนมักจะมั่นใจว่าสุนัข แมว หรือสัตว์เลี้ยงอื่นๆ ของเรานั้นสะอาด เพราะอาบน้ำเช็ดตัวให้หอมฟุ้งทุกวัน แต่รู้หรือเปล่าว่าถึงแม้เจ้าสัตว์เลี้ยงพวกนี้จะสะอาด แต่การพา สัตว์เลี้ยง มานอนด้วยทุกคืนอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพของเราโดยไม่รู้ตัว 1 สัตว์เลี้ยง รบกวนการนอนหลับ อาการตื่นนอนมาแล้วเพลีย หลับไม่เต็มอิ่ม หรือรู้สึกว่านอนไม่พอนั้นอาจเกิดจากการที่ถูกรบกวนขณะหลับ ซึ่งสิ่งรบกวนก็ไม่ใช่ใครที่ไหนเลย เป็นเจ้าตูบ เจ้าเหมียวของเรานั่นเอง เรื่องของสัตว์เลี้ยงรบกวนการนอนหลับนั้น มีงานวิจัยที่เก็บรวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์คนไข้ 150 คน โดยสถาบัน Center for Sleep Medicine แห่งโรงพยาบาลเมโย คลินิก ในสหรัฐอเมริกา ผลการวิจัยพบว่า 49% มีสัตว์เลี้ยง และ 56% ของคนที่มีสัตว์เลี้ยงพาสัตว์เลี้ยงของพวกเขามานอนด้วยในห้องนอน ซึ่งผลการวิจัยชี้ว่าการมีสัตว์เลี้ยงในห้องนอน ทำให้เกิดการเปลี่ยนสภาพแวดล้อมในห้องนอน ซึ่งทำให้ส่งผลต่อการนอนหลับได้ 2 เห็บ หมัด สัตว์ตัวเล็ก น้องหมา น้องแมว มักจะพาเพื่อนติดตัวมาด้วย เช่น พวกพยาธิชนิดต่างๆ อย่างพยาธิตัวกลม พยาธิปากขอ ซึ่งไข่ของพยาธิพวกนี้อาจจะติดอยู่ตามขนของสัตว์เลี้ยง นอกจากนี้น้องหมาน้องแมวยังพาเห็บ หมัด เพื่อนซี้มาด้วย เห็บกับหมัดจะดูดเลือดสัตว์ ส่วนใหญ่คนจะเลี้ยงน้องหมาน้องแมวเป็นสัตว์เลี้ยง […]


การทดสอบทางการแพทย์

รักษามะเร็งเต้านมด้วย การผ่าตัดแบบสงวนเต้านม เป็นอย่างไร

การผ่าตัดแบบสงวนเต้านม (Breast censervation surgery) หรือที่เรียกกันว่า การผ่าเอาเฉพาะเนื้องอกออก (lumpectomy) การผ่าตัดเอาเต้านมออกบางส่วน (Partial mastetomy) การผ่าตัดเต้านมออกประมาณหนึ่งในสี่ (Quadrantectomy) หรือการผ่าตัดออกบางส่วน (Segmental mastetomy) การผ่าตัดวิธีนี้เป็นอีกทางเลือกสำหรับผู้ป่วยมะเร็งเต้านม โดยจะผ่าตัดเอาเฉพาะส่วนของเต้านมที่เป็นมะเร็งเท่านั้น ออกไป จำนวนของเนื้อเยื่อเต้านมที่ถูกผ่าออกขึ้นอยู่กับขนาดเเละตำเเหน่งของเนื้องอก รวมถึงปัจจัยอื่นๆ โปรดให้แน่ใจว่าคุณมีข้อมูลเพียงพอเกี่ยวกับการผ่าตัด เช่น รอยเเผลเป็นจะเป็นอย่างไรหลังการผ่าตัด คุณจะสูญเสียเต้านมไปเท่าไหร่ เมื่อพิจารณาถึงเนื้อเยื่อดีใกล้เคียงที่อาจถูกผ่าออกเช่นกัน ใครบ้างที่ควรรับ การผ่าตัดเเบบสงวนเต้านม ข้อดีหลักของการผ่าตัดเเบบสงวนเต้านมก็คือ ผู้หญิงสามารถรักษาเต้านมส่วนมากไว้ได้ อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยจำเป็นที่จะต้องสามารถเข้ารับการรักษาด้วยรังสี โดยปกติแล้วแพทย์จะประเมินตามหลักนี้เพื่อทำ การผ่าตัดแบบสงวนเต้านม มีเนื้องอกมะเร็งเต้านมเพียงที่เดียว เเละมีเส้นผ่าศูนย์กลางต่ำกว่า 5 เซนติเมตร มีเนื้องอกมะเร็งเต้านมที่เดียวหรือหลายที่ ซึ่งอยู่ใกล้กันมาก กระทั่งสามารถผ่าออกได้พร้อมกัน โดยไม่ทำให้สภาพเต้านมเปลี่ยนไปมากนัก มีเนื้อเยื่อเพียงพอ เมื่อเนื้อเยื่อได้ถูกผ่าออกเเล้ว จะไม่ทำให้เต้านมผิดรูป ไม่เป็นมะเร็งเต้านมแบบอักเสบ (Inflammatory breast cancer) ไม่ได้ตั้งครรภ์ ยินดีที่จะรับการรักษาต่อด้วยรังสีบำบัด ผู้หญิงบางคนอาจมีความกังวลด้วยความคิดที่ว่า การผ่าตัดเนื้อเยื่อออกไปน้อยกว่าจะเพิ่มความเสี่ยงในการกลับมาเป็นมะเร็งอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม การตัดเต้านมในกรณีส่วนมาก ไม่ได้เพิ่มความเป็นไปได้ที่จะมีชีวิตได้ยืนยาวกว่า หรือให้ผลการรักษาที่ดีกว่า การศึกษาในผู้หญิงหลายพันคนมากกว่า 20 ปีเเสดงให้เห็นว่า เมื่อได้รับ การผ่าตัดเเบบสงวนเต้านม การเปลี่ยนไปใช้การตัดเต้านมแทนก็ไม่ได้เพิ่มความเป็นไปได้มากขึ้นที่จะรอดชีวิต ขั้นตอนการผ่าตัด การผ่าตัดนี้จะกินเวลาประมาณ 1 ถึง […]


การทดสอบทางการแพทย์

ดีซ่าน (Jaundice)

โรค ดีซ่าน (Jaundice หรือ Icterus) เป็นภาวะตกเหลืองบริเวณผิวหนังและตาขาว มีสาเหตุมาจากระดับบิลิรูบิน (Bilirubin) ในเลือดพุ่งสูงมาก คำจำกัดความดีซ่าน คืออะไร โรคดีซ่าน (Jaundice หรือ Icterus) เป็นภาวะตกเหลืองบริเวณผิวหนังและตาขาว มีสาเหตุมาจากระดับบิลิรูบิน (Bilirubin) ในเลือดพุ่งสูงมาก บิลิรูบินก่อตัวขึ้นเมื่อเซลล์เม็ดเลือดแดงแตกตัว ร่างกายมักจะกำจัดบิลิรูบินผ่านตับ โดยทั่วไป ตับในเด็กแรกเกิดจะยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ ซึ่งทำให้บิลิรูบินก่อตัวเร็วกว่าที่ตับจะสามารถกำจัดได้ สิ่งนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับตับเช่นกัน ดีซ่านพบได้บ่อยแค่ไหน โรคดีซ่านเป็นอาการที่พบได้บ่อย ดีซ่านเกิดขึ้นได้กับทุกวัย แต่พบได้บ่อยในเด็กแรกเกิด ดีซ่านมักหายไปเองในเด็กแรกเกิด แต่หากไม่หาย นั่นอาจเป็นสัญญาณของอาการรุนแรงกว่านั้นได้ ซึ่งเราสามารถจัดการได้โดยการลดปัจจัยเสี่ยงของตัวเอง โปรดปรึกษาแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม อาการอาการของโรค ดีซ่าน สัญญาณและอาการของภาวะตกเหลืองทางผิวหนังและดวงตาที่พบได้บ่อย ได้แก่ ภายในช่องปากมีสีเหลือง ปัสสาวะมีสีเข้มหรือสีน้ำตาล อุจจาระมีสีซีดหรือสีเหมือนโคลน ระดับบิลิรูบินสูง เบื่ออาหาร รู้สึกเหนื่อยและอ่อนแรง สำหรับผู้ป่วยบางราย อาจมีอาการอื่นนอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้น หากมีข้อสงสัยใด ๆ โปรดปรึกษาแพทย์ ควรไปพบคุณหมอเมื่อใด หากคุณมีสัญญาณหรืออาการ ควรเข้าพบคุณหมอทันที ผิวหนังของลูกเป็นสีเหลืองมากขึ้นเรื่อย ๆ ผิวหนังบริเวณท้อง แขนและขา ดูมีลักษณะออกสีเหลือง ส่วนตาขาวของลูกคุณกลายเป็นสีเหลือง ลูกของคุณดูไม่มีชีวิตชีวา หรือป่วย หรือปลุกแล้วตื่นยาก น้ำหนักของลูกคุณไม่เพิ่มขึ้น หรือได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ลูกของคุณร้องไห้เสียงดังมาก ลูกของคุณมีสัญญาณหรือเกิดอาการใด ๆ ก็ตามที่คุณกังวล โรคดีซ่านเกิดขึ้นต่อเนื่องมานานกว่า 3 สัปดาห์ ในผู้ใหญ่ ผิวหนังเหลืองอาจเป็นอาการของโรคไตได้ด้วย ร่างกายของแต่ละบุคคลมีการตอบสนองแตกต่างกัน ทางที่ดีที่สุดควรปรึกษาแพทย์ เกี่ยวกับวิธีรักษาที่ดีที่สุดตามสถานการณ์ของคุณ สาเหตุสาเหตุของโรคดีซ่าน ดีซ่านมีสาเหตุการก่อตัวของบิลิรูบินที่เป็นผลผลิตของเซลล์เม็ดเลือดแดง บิลิรูบินก่อตัวขึ้นเมื่อเซลล์เม็ดเลือดแดงแตกตัว ร่างกายมักจะขจัดบิลิรูบินผ่านทางตับ เมื่อตับทำงานผิดปกติ ตับจะไม่สามารถกรองบิลิรูบินออกจากเลือดได้ […]


การทดสอบทางการแพทย์

เอ็มอาร์ไอ หรือเครื่องสร้างภาพด้วยแม่เหล็กไฟฟ้า (Magnetic resonance imaging - MRI)

การตรวจด้วยเครื่องสร้างภาพด้วยแม่เหล็กไฟฟ้า หรือ เอ็มอาร์ไอ (MRI) เป็นการตรวจที่ใช้คลื่นแม่เหล็ก คลื่นวิทยุ และคอมพิวเตอร์ เพื่อสร้างภาพจำลองภายในร่างกาย   คำจำกัดความเอ็มอาร์ไอ (MRI) คืออะไร การตรวจด้วยเครื่องสร้างภาพด้วยแม่เหล็กไฟฟ้า (Magnetic resonance imaging) หรือ เอ็มอาร์ไอ (MRI) เป็นการตรวจที่ใช้คลื่นแม่เหล็ก คลื่นวิทยุ และคอมพิวเตอร์ เพื่อสร้างภาพจำลองภายในร่างกาย หมอของคุณสามารถใช้การตรวจนี้เพื่อวินิจฉัยหรือดูว่าคุณตอบสนองต่อการรักษาได้ดีแค่ไหน สิ่งที่ไม่เหมือนกับการเอ็กซ์เรย์และ CT สแกน ก็คือ เอ็มอาร์ไอจะไม่ใช้รังสี ทำไมถึงต้องตรวจด้วยเอ็มอาร์ไอ เอ็มอาร์ไอช่วยหมอในการวินิจฉัยโรคหรืออาการบาดเจ็บ และมันสามารถสังเกตการณ์ได้ว่าคุณรับมือกับการรักษาได้ดีแค่ไหน เอ็มอาร์ไอสามารถสแกนส่วนต่างๆ ของร่างกายได้หลากหลายส่วน การทำเอ็มอาร์ไอบริเวณสมองและไขสันหลัง เป็นการสแกนเพื่อหาอาการหรือโรคดังต่อไปนี้ ได้แก่ ความเสียหายของหลอดเลือด การบาดเจ็บทางสมอง มะเร็ง โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (Multiple sclerosi) การบาดเจ็บบริเวณไขสันหลัง เส้นเลือดในสมองแตก การสแกนเอ็มอาร์ไอบริเวณหัวใจและหลอดเลือด เป็นการสแกนเพื่อหาอาการและโรคดังต่อไปนี้ ได้แก่ หลอดเลือดอุดตัน ความเสียหายที่เกิดจากอาการหัวใจวาย โรคหัวใจ ปัญหาโครงสร้างหัวใจ การสแกนเอ็มอาร์ไอบริเวณกระดูกและข้อต่อ เป็นการสแกนเพื่อหาอาการและโรคดังต่อไปนี้ ได้แก่ การติดเชื้อที่กระดูก มะเร็ง ความเสียหายบริเวณข้อต่อ ปัญหาหมอนรองกระดูกที่สันหลัง การสแกนเอ็มอาร์ไปยังสามารถช่วยเช็คสุขภาพของอวัยวะเหล่านี้ ได้แก่ หน้าอก (ผู้หญิง) ตับ ไต รังไข่ (ผู้หญิง) ตับอ่อน ต่อมลูกหมาก (ผู้ชาย) การสแกนเอ็มอาร์ไปชนิดพิเศษเรียกว่าการใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและคลื่นวิทยุในการสร้างภาพของอวัยวะและโครงสร้างต่าง ๆ ของร่างกาย (functioal MRI – fMRI) การตรวจนี้จะดูการไหลเวียนของเลือดในสมองของคุณ เพื่อดูว่าบริเวณไหนที่เกิดการตอบสนองเมื่อคุณทำภารกิจบางอย่าง เครื่อง fMRI สามารถตรวจจับปัญหาทางสมองได้ อย่างเช่น ผลกระทบของเส้นเลือดในสมองแตก หรือใช้ในการทำแผนที่สมอง หากคุณต้องรับผ่าตัดสมองเนื่องจากโรคลมชักหรือเนื้องอกในสมอง หมอของคุณสามารถใช้การตรวจนี้เพื่อวางแผนการรักษาของคุณได้ ข้อควรรู้ก่อนการตรวจอะไรที่เราควรรู้ก่อนเข้ารับการตรวจด้วยเอ็มอาร์ไอ ก่อนการสแกนเอ็มอาร์ไป […]


อาการของโรค

เหงื่อออกตอนกลางคืน (Night Sweat)

เหงื่อออกตอนกลางคืน (Night Sweat) คือ ภาวะการขับเหงื่ออย่างรุนแรงอย่างต่อเนื่องตอนกลางคืน ที่อาจเกี่ยวข้องกับปัญหาสุขภาพหรือโรคภัยไข้เจ็บ [embed-health-tool-bmr] คำจำกัดความ เหงื่อออกตอนกลางคืน คืออะไร (Night sweats) เหงื่อออกตอนกลางคืน (Night Sweat) คือภาวะการขับเหงื่ออย่างรุนแรงอย่างต่อเนื่อง ที่อาจจะทำให้ชุดนอนหรือเตียงนอนของคุณนั้นเปียกโชก และยังอาจเกี่ยวข้องถึงปัญหาสุขภาพเบื้องลึกหรือโรคภัยไข้เจ็บได้ด้วย คุณอาจจะเคยตื่นขึ้นมาเป็นครั้งคราวหลังจากมีอาการเหงื่อออกอย่างหนัก โดยเฉพาะเมื่อคุณห่มผ้าหลายผืนเกินไป หรือหากห้องนอนมีอากาศร้อนเกินไป แต่ถึงแม้อาการดังกล่าวจะก่อให้เกิดความรู้สึกไม่สบาย แต่เหตุการณ์เหล่านี้ ไม่ได้ถูกจัดว่าเป็นอาการเหงื่อออกตอนกลางคืน และไม่ได้เป็นสัญญาณของปัญหาทางการแพทย์ใด ๆ โดยทั่วไป อาการเหงื่อออกตอนกลางคืน มีความสัมพันธ์กับไข้หวัด การลดน้ำหนัก อาการเจ็บปวดเฉพาะจุด ไอ ท้องเสีย เป็นต้น เหงื่อออกตอนกลางคืน สามารถพบได้บ่อยแค่ไหน อาการเหงื่อออกตอนกลางคืน พบได้ทั่วไปทั้งในเพศชายและหญิง วัยรุ่นและเด็ก โปรดปรึกษากับหมอของคุณสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม อาการ อาการ เหงื่อออกกลางคืน เป็นอย่างไร มันเป็นเรื่องปกติที่จะเหงื่อออกในช่วงกลางคืน หากห้องหรือที่นอนของคุณนั้น ทำให้คุณรู้สึกร้อนเกินไป แต่อาการเหงื่อออกตอนกลางคืน เป็นอาการที่มีเหงื่อออกอย่างมากผิดปกติจนชุดนอนของคุณและเตียงนอนของคุณเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ แม้ว่าสถานที่ซึ่งคุณนอนหลับนั้นจะมีอากาศถ่ายเทและเย็นสบายก็ตาม โดยอาจมีอาการอื่นๆ ปรากฏขึ้นร่วมด้วย ตัวอย่างเช่น ภาวะการติดเชื้อและมะเร็ง อาการสั่นและขนลุกสามารถเกิดขึ้นได้บางครั้ง หากคุณมีไข้ น้ำหนักที่ทรุดลงอย่างอธิบายไม่ได้ เนื่องจากมะเร็งต่อมน้ำเหลือง อาการเหงื่อออกตอนกลางคืน อันเนื่องมาจากสภาวะหมดประจำเดือน นั้นมักจะติดมาเป็นปกติด้วยอาการอื่นๆ ของสภาวะหมดประจำเดือน อย่างเช่น ภาวะช่องคลอดแห้ง อาการร้อนวูบวาบตามร่างกาย และการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ อาการเหงื่อออกตอนกลางคืน ที่เป็นผลข้างเคียงของยา อาจเกิดขึ้นพร้อมกับผลข้างเคียงอื่นๆ […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ไขข้อข้องใจ เราสามารถ เพิ่มความสูง ได้อีกหรือเปล่า

ปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดความสูงของคนเรานั้น มาจากพันธุกรรมถึงร้อยละ 60-85 ส่วนที่เหลือนั้นมาจากสิ่งแวดล้อมและโภชนาการเป็นหลัก นอกจากนี้ ส่วนใหญ่แล้วความสูงจะไม่เพิ่มขึ้นหลังอายุ 18-20 ปี ดังนั้น วัยผู้ใหญ่หลายคนที่อยาก เพิ่มความสูง จึงอาจสงสัยว่าเราสามารถ เพิ่มความสูง ได้อีกหรือไม่ [embed-health-tool-bmi] คนเราจะหยุดสูงตอนไหน ส่วนใหญ่แล้วความสูงจะไม่เพิ่มขึ้นอีกหลังอายุ 18 ปี และถึงแม้ว่าจะกินอาหารที่มีประโยชน์ แต่ความสูงก็จะไม่เพิ่มขึ้นหลังจากอายุ 18-20 ปี โดยสาเหตุที่ร่างกายหยุดสูงมาจากกระดูกหยุดการเจริญเติบโต โดยเฉพาะแผ่นการเจริญเติบโตของกระดูก (Growth plates) หรือบริเวณแผ่นเอพิไฟเซียล (Epiphyseal plate) ซึ่งเป็นบริเวณกระดูกอ่อนใกล้ปลายกระดูกยาว ความสูงที่เพิ่มขึ้น เกิดจากความยาวของกระดูกยาว (Long bones) และแผ่นการเจริญเติบโตของกระดูกที่ยังคงใช้งานได้อยู่ หรือยังคง ‘เปิด’ อยู่ และเมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นตอนปลาย จะเกิดการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนที่ทำให้แผ่นการเจริญเติบโตของกระดูกแข็งขึ้น หรือ ‘ปิด’ ทำให้ส่วนความยาวของกระดูกจะหยุดลง โดยมักพบว่าแผ่นการเจริญเติบโตของกระดูกจะปิด ในช่วงที่ผู้หญิงอายุราว ๆ 16 ปี และในผู้ชายอายุประมาณ 14-19 ปี วัยผู้ใหญ่สามารถ เพิ่มความสูง ได้อีกหรือเปล่า ความเชื่อเกี่ยวกับความสูงที่พบบ่อยคือการออกกำลังกายบางประเภท หรือเทคนิคการยืดกล้ามเนื้อ สามารถทำให้สูงขึ้นได้ เช่น การโหนบาร์ การปีนเขา […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

20 วิธี ที่อาจทำให้คุณ หุ่นดี โดยไม่ต้องเสียเงินซักบาทเดียว

หากคุณกำลังต้องการ หรือใฝ่ฝันอยากมี หุ่นดี อยู่ละก็ อย่างแรกที่คุณควรทำ คือการศึกษาและเรียนรู้ถึงวิธีดูแลเบื้องต้นให้เหมาะแก่สุขภาพของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการกำลังกาย การควบคุมอาหาร ซึ่งบทความของ Hello คุณหมอ วันนี้ จึงขอนำวิธีการรักษาหุ่นฉบับง่าย ๆ ที่สามารถเริ่มฝึกได้ทุกวัน มาฝากทุกคนกันค่ะ   20 วิธีที่ช่วยให้ หุ่นดี 1. กินอาหารเช้า อาหารเช้าเป็นสิ่งสำคัญมาก หากคุณงดไป จะยิ่งทำให้ระหว่างวันคุณรู้สึกหิวและกินมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม ให้คิดเสมอว่าร่างกายเราไม่ได้รับอาหาร มาเป็นเวลาหลายชั่วโมงขณะที่เราหลับ เพราะฉะนั้นเราจึงควรรับประทานมื้อเช้า 2. กินผัก 50% ใน 1 มื้อ การกินผักใบเขียวจะช่วยทำให้อิ่มเร็ว และขับถ่ายง่ายเพราะมีไฟเบอร์เยอะ รวมถึงเพิ่มวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ ในร่างกาย โดยที่ไม่ต้องพึ่งอาหารเสริมเลย 3. ดื่มน้ำอย่างน้อย 2 ลิตรต่อวัน น้ำดื่มที่สะอาดจะช่วยร่างกาย ในการขับของเสียออกจากร่างกาย ทำให้ร่างกายเราสดชื่นและผิวพรรณสดใส ที่สำคัญการดื่มน้ำ 1-2 แก้ว ก่อนมื้ออาหารทำให้เราอิ่มไวขึ้น 4. แยกให้ออกระหว่างความหิว กับความอยาก ก่อนที่จะรับประทานขนม หรืออาหารก็ตาม เราควรจะรู้ตัวว่าเราหิวหรืออยากกินกันแน่ ทางที่ดีควรกินอาหารให้เป็นมื้อจะดีที่สุด 5. หุ่นดี ด้วยการทำอาหารกินเอง การทำอาหารเองเป็นวิธีที่ดีที่สุด เพราะเราสามารถควบคุมปริมาณอาหาร และความสะอาดได้อีกด้วย ทำให้อาหารนั้นสดใหม่และมีคุณประโยชน์ 6. เตรียมอาหารล่วงหน้า เวลาที่ต้องออกไปนอกบ้านหรือทำงาน เราก็ควรจะพกอาหารไปด้วย เพื่อช่วยป้องกันการรับประทานอาหารตามใจปาก […]

ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา

ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของเรา

ทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของ Hello คุณหมอ ประกอบไปด้วยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มาร่วมสร้างสรรค์บทความในเว็บไซต์ของเราตามความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญของเราจะช่วยรับรองว่าข้อมูลด้านสุขภาพของเราถูกต้อง เป็นปัจจุบัน และตรงตามหลักฐานจากงานวิจัยล่าสุด
ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรามุ่งมั่นเต็มที่ในการช่วยให้คุณได้รับข้อมูลและความรู้ด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือ เข้าใจง่าย และเป็นประโยชน์ และพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพกับคุณเสมอ เพื่อให้คุณได้รับทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น

ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ชุมชน