โรคเบาหวาน

โรคเบาหวาน คือโรคที่สามารถส่งผลกระทบต่อการทำงานและสุขภาพโดยรวมของร่างกายได้อย่างมาก อีกทั้งในปัจจุบัน อัตราผู้ป่วยโรคเบาหวานในประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นทุกปี ดังนั้น การเรียนรู้และทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคเบาหวานประเภทต่าง ๆ ปัจจัยเสี่ยง และรักษาโรคเบาหวาน จึงมีความสำคัญเพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยโรคเบาหวานให้ดียิ่งขึ้น

เรื่องเด่นประจำหมวด

โรคเบาหวาน

เบาหวาน อาการ และวิธีการป้องกัน

เบาหวานเป็นภาวะที่ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ ที่เกิดจากร่างกายจัดการอินซูลินและน้ำตาลได้ไม่ดีพอ เกิดจากการขาดฮอร์โมนอินซูลิน หรือตับอ่อนไม่สามารถผลิตฮอร์โมนอินซูลินได้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย โดยอินซูลินมีหน้าที่นำพาน้ำตาลกลูโคสในกระแสเลือดที่ได้จากการรับประทานอาหาร เข้าสู่เซลล์เพื่อนำไปใช้เป็นพลังงาน เมื่ออินซูลินไม่เพียงพอจึงส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกินไป และเมื่อป่วยเป็นโรค เบาหวาน อาการ ที่พบอาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับชนิดของโรค อย่างไรก็ตาม หากไม่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ดี อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ไตเสียหาย จอประสาทตาเสื่อมได้ [embed-health-tool-bmi] เบาหวาน คืออะไร เบาหวาน คือ โรคเรื้อรังที่จะวินิจฉัยเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูงตั้งแต่ 126 มิลลิกรัม/เดซิลิตรขึ้นไป ซึ่งเป็นผลจากตับอ่อนไม่สามารถผลิตฮอร์โมนอินซูลินได้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย หากปล่อยให้ร่างกายอยู่ในสภาวะนี้นานอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้องกับโรคเบาหวาน เช่น โรคไต โรคหลอดเลือดสมอง ระบบประสาทเสื่อม   เบาหวานแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ เบาหวานชนิดที่ 1 พบได้บ่อยในวัยเด็ก เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายบกพร่อง ทำให้ตับอ่อนที่ทำหน้าที่ผลิตอินซูลินไม่สามารถผลิตอินซูลินได้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย นำไปสู่ภาวะน้ำตาลสะสมในเลือดสูงขึ้น อาจส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย ปัสสาวะบ่อย เบาหวานชนิดที่ 2 พบได้บ่อยในวัยรุ่น วัยผู้ใหญ่ที่อายุ 40 ปี ขึ้นไป เกิดจากตับอ่อนไม่สามารถผลิตฮอร์โมนอินซูลินได้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย หรือเซลล์ในร่างกายไม่ตอบสนองต่ออินซูลิน ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ หากปล่อยไว้นานอาจส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการหิวน้ำบ่อย ปัสสาวะบ่อย และน้ำหนักลดได้ ข้อมูลจากสมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย ระบุว่า ผู้หญิงมีแนวโน้มเป็นโรคเบาหวานร้อยละ […]

หมวดหมู่ โรคเบาหวาน เพิ่มเติม

โรคเบาหวานชนิดที่ 1

สำรวจ โรคเบาหวาน

โรคเบาหวาน

กลิ่นปากคล้ายน้ำยาล้างเล็บ สัญญาณเตือนของโรคเบาหวาน

กลิ่นปากคล้ายน้ำยาล้างเล็บ หรืออะซิโตน (Acetone) อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคเบาหวานและมีน้ำตาลในเลือดสูง เนื่องจากอะซิโตน คือ คีโตนประเภทหนึ่ง มีกลิ่นคล้ายผลไม้ จัดเป็นสารประกอบหลักของน้ำยาล้างเล็บ ซึ่งอาจทำให้มีกลิ่นปากคล้ายน้ำยาล้างเล็บ หรือกลิ่นคล้ายผลไม้หวาน ๆ เมื่อคีโตก่อตัวเพิ่มขึ้นจะเพิ่มความเป็นกรดในเลือด ซึ่งอาจเป็นพิษต่อร่างกายได้ กลิ่นปากคล้ายน้ำยาล้างเล็บ เกี่ยวข้องกับเบาหวานยังไง โดยปกติแล้ว ฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin) มีหน้าที่ย่อยน้ำตาลกลูโคสในเลือด เพื่อให้เซลล์สามารถดูดซึมไปใช้เป็นพลังงานได้ แต่ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน ร่างกายจะไม่สามารถผลิตอินซูลินได้เพียงพอ หรือไม่สามารถนำอินซูลินไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ร่างกายไม่ได้รับพลังงานจากกลูโคส และเริ่มดึงไขมันมาใช้เป็นพลังงานแทน กระบวนการเผาผลาญไขมันเป็นพลังงานนี้ เรียกว่า คีโตซิส (Ketosis) ผลพลอยได้จากการสลายไขมันเป็นพลังงานนี้ คือ ตับจะปล่อยสารคีโตน (Ketone) เช่น อะซิโตน ออกมา อะซิโตน (Acetone) คือ คีโตนประเภทหนึ่ง มีกลิ่นคล้ายผลไม้ จัดเป็นสารประกอบหลักของน้ำยาล้างเล็บ หากใคร มีกลิ่นปาก คล้ายน้ำยาล้างเล็บ หรือกลิ่นคล้ายผลไม้หวาน ๆ ก็อาจเป็นสัญญาณของการป่วยเป็นโรคเบาหวาน และมีน้ำตาลในเลือดสูง เมื่อคีโตก่อตัวเพิ่มขึ้นจะเพิ่มความเป็นกรดในเลือด และหากสูงถึงขั้นเป็นอันตรายหรือเป็นพิษต่อร่างกาย จะเรียกว่า ภาวะคีโตซิส (Diabetic Ketoacidosis หรือ DKA) […]


โรคเบาหวานชนิดที่ 2

ผอม เสี่ยงเบาหวาน ได้อย่างไร และควรดูแลตัวเองอย่างไร

ผอม เสี่ยงเบาหวาน ได้อย่างไร อาจเป็นคำถามที่หลายคนสงสัย เนื่องจากน้ำหนักตัวที่ลดลงอาจทำให้ร่างกายขาดพลังงาน ขาดน้ำ อ่อนเพลีย รวมถึงอาจทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่างไม่เต็มประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เช่น พันธุกรรม การรับประทานอาหาร พฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน ก็อาจเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่อาจทำให้คนผอมเสี่ยงเป็นเบาหวานได้ ดังนั้น การดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอ อาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานได้ [embed-health-tool-bmi] น้ำหนักเท่าไหร่ที่หมายถึงคนผอม การคำนวณหาค่าเฉลี่ยในเรื่องของน้ำหนักที่ถูกต้องควรจะเป็นไปตามหลักการคำนวณหาค่าดัชนีมวลกายหรือ BMI โดยใช้น้ำหนักและส่วนสูงในการคำนวณเพื่อหาค่าดัชนีมวลกาย ตามสูตรดังนี้ BMI = น้ำหนัก (กิโลกรัม) หารด้วย ส่วนสูง (เมตร) ยกกำลังสอง เช่น น้ำหนัก 56 กิโลกรัม ส่วนสูง 175 เซนติเมตร แปลงหน่วยเป็นเมตรจะได้ 1.75 เมตร และจะได้สูตรออกมาดังนี้ 56 ÷ (1.75 x 1.75) = 18.30 ค่า BMI จึงเท่ากับ 18.30  ผลของค่า BMI  ค่า BMI 18.5 […]


โรคเบาหวานชนิดที่ 2

อาหารเสริม เบาหวาน ที่อาจช่วยให้ควบคุมเบาหวานได้ดีขึ้น

การดูแลรักษาร่างกายของตัวเองขณะเป็นเบาหวาน อาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับใครหลายคน โดยเฉพาะการที่จะต้องควบคุมการรับประทานอาหารอย่างเคร่งครัด เพื่อรักษาระดับของน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในการควบคุม หลายคนที่เป็นเบาหวาน อาจจะรู้สึกกังวลว่าตัวเองจะควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ไม่ดีพอ อย่างไรก็ตาม การรับประทาน วิตามิน อาหารเสริม เบาหวาน อาจช่วยให้ควบคุม เบาหวาน ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อาหารเสริม คืออะไร อาหารเสริม (Food Supplements) หมายถึงสารประกอบที่มีวิตามิน แร่ธาตุ หรือสารอาหารอื่น ๆ ที่จำเป็นสำหรับร่างกาย เช่น สมุนไพร หรือวิตามินและอาหารเสริมในรูปแบบเม็ด เรามักจะรับประทานอาหารเสริมเพื่อช่วยเพิ่มสารอาหารบางชนิด ที่ร่างกายของเราอาจจะต้องการเป็นพิเศษ รวมถึงผู้ป่วยโรคเบาหวานด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากการรับประทานอาหารเสริมแล้ว ผู้ป่วยเบาหวานก็ควรที่จะใช้ยารักษาโรคเบาหวานตามปกติเพื่อช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้เป็นปกติอยู่เสมอ วิตามินและ อาหารเสริมสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน วิตามินและอาหารเสริม ที่อาจช่วยให้ควบคุมเบาหวานได้ดีขึ้น อาจมีดังนี้ โครเมียม (Chromium) โครเมียมเป็นแร่ธาตุที่พบได้น้อย แต่จำเป็นสำหรับร่างกาย โครเมียมจะใช้ในกระบวนการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตและมีส่วนช่วยให้ร่างกายสามารถนำน้ำตาลกลูโคสมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตามงานวิจัยเกี่ยวกับการใช้วิตามิน สำหรับการรักษาโรคเบาหวานนั้นยังไม่มีผลที่ชัดเจนนัก การรับประทานอาหารเสริมนี้ในขนาดต่ำอาจจะปลอดภัยสำหรับคนส่วนใหญ่ แต่ยังต้องการงานวิจัยเพิ่มขึ้นที่จะชี้ชัดว่า การรับประทานอาหารเสริมชนิดนี้จะมีประโยชน์สำหรับผู้ที่ไม่ได้มีภาวะขาดโครเมียมอยู่ก่อนแล้วหรือไม่ การเสริมโครเมียมโดยไม่จำเป็นอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำเกินไปได้ แมกนีเซียม (Magnesium) ผู้ที่มีปัญหากับเกี่ยวกับการหลั่งอินซูลิน และผู้ที่มีภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวานประเภทที่ 2 นั้น มักจะมีระดับแมกนีเซียมในเลือดต่ำเช่นกัน แต่อย่างไรก็ตาม ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดนักว่า การบริโภคอาหารเสริมแมกนีเซียมนั้นจะช่วยบรรเทาหรือลดปัญหาเหล่านี้ได้หรือไม่ วิตามินบี 1 หรือไทอะมีน (Thiamine) คนส่วนใหญ่ที่เป็นโรคเบาหวานนั้นมักจะมีภาวะขาดไทอะมีนด้วยเช่นกัน สารไทอะมีนนั้นเป็นวิตามินที่สามารถละลายน้ำได้ […]


โรคเบาหวานชนิดที่ 2

ความเสี่ยงเบาหวาน วิธีการตรวจเพื่อประเมินเบื้องต้น

ในประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตด้วยโรคเบาหวานปีละประมาณ 20,000 คน ทั้งยังมีแนวโน้มจะมีผู้ป่วยสูงขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปีอีกด้วย พบว่า กว่า 50% ของผู้ที่ป่วยเป็นเบาหวานไม่รู้ว่าตัวเองป่วยเป็นโรคนี้ จึงไม่ได้เข้ารับรักษา หรือควบคุมโรคอย่างถูกวิธี ดังนั้น การประเมิน ความเสี่ยงเบาหวาน เบื้องต้นให้ทราบว่าตัวเองเป็นเบาหวาน หรือมีความเสี่ยงที่จะเป็นเบาหวานหรือไม่นั้นจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ เนื่องจาก หากรู้ตัวเร็วก็อาจเข้ารับการรักษาได้อย่างทันท่วงที ทั้งยังลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ได้อีกด้วย [embed-health-tool-bmi] การตรวจเพื่อประเมิน ความเสี่ยงเบาหวาน การตรวจฮีโมโกลบินเอวันซี การตรวจฮีโมโกลบินเอวันซี (HbA1c หรือ Hemoglobin A1c) เรียกสั้น ๆ ว่า การตรวจเอวันซี (A1c) เป็นการตรวจค่าน้ำตาลสะสม ซึ่งบ่งบอกถึงการควบคุมน้ำตาลในเลือดโดยเฉลี่ยนในช่วงระยะเวลา 2-3 เดือนที่ผ่านมา สามารถใช้ในการประเมินความเสี่ยงของโรคเบาหวาน ทั้งโรคเบาหวานชนิดที่ 1 และโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และยังเป็นการตรวจที่คุณหมอใช้เพื่อประเมินการรักษาและการควบคุมโรคเบาหวานของผู้ป่วยอีกด้วย การตรวจฮีโมโกลบินเอวันซี เป็นการตรวจน้ำตาลที่มาจับกับ ฮีโมโกลบิน ของเซลล์เม็ดเลือดแดง ซึ่งฮีโมโกลบินนี้ เป็นโปรตีนที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของเซลล์เม็ดเลือดแดง มีหน้าที่นำออกซิเจนไปสู่เนื้อเยื่อต่าง ๆ ในร่างกาย หากมีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง จากการที่รับประทานอาหารที่มีน้ำตาลมากเกินกว่าที่ร่างกายจะนำไปใช้ น้ำตาลในเลือดก็จะไปจับกับฮีโมโกลบินสะสมเพิ่มมากขึ้นจนทำให้ฮีโมโกลบินเอวันซีเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ตามมา การตรวจระดับน้ำตาลสะสมในเลือด […]


ภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน

โรคเบาหวาน ขณะตั้งครรภ์ ควรดูแลตัวเองอย่างไร

โรคเบาหวาน ขณะตั้งครรภ์ (Gestational Diabetes) เป็นโรคเบาหวานชนิดหนึ่งที่อาจเกิดขึ้นได้กับหญิงตั้งครรภ์แทบทุกคน และอาจเกิดขึ้นได้ในทุกระยะของการตั้งครรภ์ แต่โอกาสเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ มักเกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ 24-28 อย่างไรก็ตาม หญิงตั้งครรภ์ที่เสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน หรือเป็นโรคเบาหวาน สามารถรักษาตามคำแนะนำและวิธีการของคุณหมอเพื่อให้ตนเองและลูกน้อยในครรภ์มีสุขภาพดีได้ [embed-health-tool-due-date] โรคเบาหวาน ขณะตั้งครรภ์ เกิดจากอะไร โดยทั่วไปคุณแม่ตั้งครรภ์ย่อมมีความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ มากกว่าผู้หญิงปกติที่ไม่ตั้งครรภ์ เนื่องจากเมื่อเริ่มมีการตั้งครรภ์ ร่างกายของเพศหญิงจะมีความสามารถในการตอบสนองต่ออินซูลินลดลง เพื่อให้ร่างกายมีน้ำตาลเพียงพอที่จะให้พลังงานในการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ คุณแม่ตั้งครรภ์ควรปรึกษากับคุณหมอที่รับฝากครรภ์ หรือเข้ารับการตรวจสุขภาพตามใบนัดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเฝ้าระวังและคอยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ให้สูงเกินไป ปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ อายุ หากมีอายุ 35 ปีขึ้นไป อาจจะมีความเสี่ยงโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ น้ำหนัก หากมีน้ำหนักเกิน หรือมีค่าดัชนีมวลกาย (Body Mass Index หรือ BMI) มากกว่า 35 ขึ้นไป ก่อนตั้งครรภ์ ชาติพันธุ์ หากมีเชื้อสายแอฟริกา เชื้อสายเอเชีย เชื้อสายสเปน หรือเชื้อสายชนพื้นเมืองอเมริกัน กรรมพันธุ์ คุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีกรรมพันธ์ุ ประวัติครอบครัวเคยเป็นโรคเบาหวานมาก่อน ย่อมมีความเสี่ยงโรคเบาหวาน ขณะตั้งครรภ์ มีภาวะก่อนเบาหวานอยู่ก่อนแล้ว หรือมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงก่อนตั้งครรภ์ เคยเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ คุณแม่ตั้งครรภ์ที่เคยผ่านการเป็นเบาหวานมาก่อนในการตั้งครรภ์ครั้งแรก ย่อมมีความเสี่ยงโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ […]


โรคเบาหวานชนิดที่ 2

พฤติกรรมเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน ที่ควรระวัง

โรคเบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 Diabetes) เป็นโรคเบาหวานที่พบมากที่สุด โดยจากข้อมูลของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐอเมริกาพบว่า ผู้ป่วย โรคเบาหวานกว่า 90-95% เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และมีผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 1 เพียง ประมาณ 5% ซึ่งสาเหตุของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 นั้น เกิดจากปัจจัยทางพันธุกรรม และ มีพฤติกรรมในชีวิตประจำวันที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน นอกจากนี้แล้ว หากได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น โรคเบาหวาน ก็มีแนวโน้มว่าที่จะพบมีโรคร่วมอื่น ๆ หรือ อาจจะมีภาวะแทรกซ้อนร่วมพร้อมกันอีกด้วยเช่น โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดสมอง โรคไต [embed-health-tool-bmi] พฤติกรรมเสี่ยงเบาหวาน มีอะไรบ้าง รับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ การรับระทานอาหารขยะ (Junk food) บ่อย ๆ เช่น น้ำอัดลม ของทอด เฟรนช์ฟรายส์ มันฝรั่งทอดกรอบ อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้มากถึง 70% ดังนั้น พฤติกรรมการบริโภคและชนิดของอาหารที่รับประทาน เป็นสิ่งสำคัญในการกำหนดความเสี่ยงของการเป็นโรคเบาหวาน ดังนั้น หากไม่อยากเป็นโรคเบาหวาน ควรหลีกเลี่ยงอาหารเหล่านี้ อาหารที่มีน้ำตาลสูง […]


ภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน

อาการคันในผู้ป่วยโรคเบาหวาน กับวิธีดูแลผิวให้ชุ่มชื้นและปลอดภัย

อาการคันในผู้ป่วยโรคเบาหวาน เป็นอาการที่ยากจะหลีกเลี่ยง เนื่องจากผู้ป่วยเบาหวานส่วนใหญ่มักจะมีสภาพผิวหนังที่ค่อนข้างแห้ง เนื่องจากภาวะน้ำตาลในเลือดสูงทำให้การหมุนเวียนของเลือดทำงานได้ไม่ดีนัก ส่งผลต่อสภาพผิวหนัง รวมทั้งอาจทำให้ติดเชื้อง่าย และหายจากแผลยาก ทั้งนี้ ผู้ป่วยอาจหาวิธีบรรเทาอาการในเบื้องต้นรวมทั้งเคล็ดลับดูแลผิวให้ชุ่มชื้นขึ้นเพื่อลดความเสี่ยงอาการแทรกซ้อนจากโรคผิวหนัง [embed-health-tool-bmi] อาการคันในผู้ป่วยโรคเบาหวาน โรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่เกิดจากระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบรุนแรงต่ออวัยวะต่าง ๆ เช่น กระจกตา ไต  ปลายประสาท ผิวหนัง 1 ใน 3 ผู้ป่วยโรคเบาหวาน มักมีอาการทางผิวหนัง เช่น คัน แห้ง แต่อาการที่ร้ายแรงที่สุด ได้แก่ แผลเรื้อรังที่หายยาก เนื่องจากเป็นผลมาจากกระบวนการสมานแผลของร่างกายที่ไม่มีประสิทธิภาพ แผลเหล่านี้มักทำให้เกิดการติดเชื้อและอาจถึงขั้นต้องตัดอวัยวะส่วนนั้นทิ้งเพื่อไม่ให้อาการติดเชื้อลุกลามไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย วิธีป้องกันอาการคัน วิธีป้องกันอาการคัน และรักษาความชุ่มชื้น ไม่ให้ผิวแห้งกร้านมากนัก อาจลองปฏิบัติตามคำแนะนำ ดังต่อไปนี้ 1. ควบคุมภาวะโรคเบาหวาน ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้ให้บริการทางการแพทย์อย่างเคร่งครัด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับอาหาร การออกกำลังกาย  และการใช้ยา เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้เหมาะสม เพราะหากระดับน้ำตาลอยู่ในภาวะปกติ อาการคันหรือปัญหาผิวหนังอาจลดลงหรืออย่างน้อยไม่รุนแรงมากขึ้น 2. ทำความสะอาดผิวอย่างระมัดระวัง เริ่มต้นจากการอาบน้ำอุ่นและใช้สบู่ รวมทั้งยาสระผมซึ่งมีส่วนผสมของสารให้ความชุ่มชื้น และอ่อนโยนต่อสภาพผิวหนังและสภาพเส้นผม เพราะผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ไม่เหมาะสม จะยิ่งทำให้ผิวแห้งขึ้น และไม่ลืมที่จะล้างทำความสะอาดบริเวณซอกมุมต่าง ๆ เช่น ข้อพับที่แขน นิ้วเท้า ใต้ราวนม รักแร้ ให้สะอาด และซับให้แห้ง […]


โรคเบาหวาน

อินซูลิน (Insulin)

อินซูลิน (Insulin) จะช่วยกักเก็บน้ำตาลไว้ในตับแล้วปล่อยออกมาเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดต่ำหรือเมื่อร่างกายต้องการน้ำตาลมากขึ้น ข้อบ่งใช้อินซูลิน ใช้สำหรับ หากระดับน้ำตาลในเลือดของคุณสูงกว่าปกติ อินซูลิน (Insulin) จะช่วยกักเก็บน้ำตาลไว้ในตับแล้วปล่อยออกมาเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดของคุณต่ำหรือเมื่อร่างกายต้องการน้ำตาลมากขึ้น เช่น ระหว่างมื้ออาหารหรือขณะกำลังออกกำลังกาย ดังนั้นยาอินซูลินจะช่วยรักษาสมดุลของระดับน้ำตาลในเลือดและทำให้อยู่ในช่วงปกติ ยาอินซูลินที่ใช้สำหรับรักษาโรคเบาหวานมีหลายประเภท ดังนี้ ยาอินซูลินชนิดออกฤทธิ์เร็ว ยาจะเริ่มออกฤทธิ์ประมาณ 15 นาทีหลังจากฉีดเข้าไปและออกฤทธิ์สูงสุดที่ประมาณ 1 ชั่วโมง แต่ยังคงออกฤทธิ์ต่อไปอีกเป็นเวลา 2-4 ชั่วโมง ยานี้มักจะรับประทานก่อนมื้ออาหารและใช้เสริมกับยาอินซูลินออกฤทธิ์นาน ประเภท ยาอินซูลิน กลูไลซีน (Insulin glulisine) อย่าง อะปิดา (Apidra) ยาอินซูลิน ลิสโปร (Insulin lispro) อย่าง ฮูมาล็อก (Humalog) และยาอินซูลิน แอสพาร์ท (Insulin aspart) อย่าง โนโวล็อก (NovoLog) ยาอินซูลินชนิดออกฤทธิ์ปกติ ยาจะเริ่มออกฤทธิ์ประมาณ 30 นาทีหลังจากฉีดยาและออกฤทธิ์สูงสุดที่ประมาณ 2 ถึง 3 ชั่วโมง แต่ยังคงออกฤทธิ์ต่อไปอีกเป็นเวลา 3-6 ชั่วโมง ยานี้มักจะรับประทานก่อนมื้ออาหารและใช้เสริมกับยาอินซูลินออกฤทธิ์นาน ประเภท ฮูมูลิน อาร์ (Humulin R) โนโวลิน อาร์ […]


โรคเบาหวานชนิดที่ 2

สารให้ความหวานแทนน้ำตาล กับข้อควรรู้สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน

สารให้ความหวานแทนน้ำตาล หรือน้ำตาลเทียม คือ สารที่ใช้เติมในอาหารและเครื่องดื่ม สามารถให้รสชาติหวานได้เหมือนน้ำตาล แต่อาจไม่มีแคลอรี่หรือคาร์โบไฮเดรตเหมือนน้ำตาล จึงอาจเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับระดับน้ำตาลในเลือด เช่น โรคเบาหวาน อย่างไรก็ตาม การศึกษาข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับสารให้ความหวานแทนน้ำตาล อาจช่วยให้บริโภคสารชนิดนี้ได้เหมาะสมและช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหาสุขภาพได้ สารให้ความหวานแทนน้ำตาล คืออะไร สารให้ความหวานแทนน้ำตาล หรือน้ำตาลเทียม คือ สารที่ใช้เติมในอาหารและเครื่องดื่มเพื่อเพิ่มรสหวานได้เหมือนน้ำตาล แต่อาจไม่มีแคลอรี่หรือคาร์โบไฮเดรตเหมือนน้ำตาล นิยมใช้ในอาหารและเครื่องดื่มที่ผ่านกระบวนการ เช่น น้ำอัดลม ขนมอบ ขนมหวานแช่แข็ง ลูกอม โยเกิร์ตแคลอรี่ต่ำ หมากฝรั่ง หรือบางคนอาจเติมสารให้ความหวานแทนน้ำตาลในกาแฟ ชา และซีเรียลได้ด้วย ในปัจจุบัน มีสารให้ความหวานแทนน้ำตาลที่องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (Food and Drug Administration หรือ FDA) และกระทรวงสาธารณสุขไทยรับรองให้ใช้ได้อย่างปลอดภัย ดังนี้ แอสปาร์แตม (Aspartame) ให้ความหวานได้มากกว่าน้ำตาลทรายประมาณ 200 เท่า อย่างไรก็ตาม ระดับความหวานที่ได้อาจลดลงหากเติมในอาหารหรือเครื่องดื่มร้อนจัด ผู้ที่เป็นโรคฟีนิลคีโตนูเรีย (Phenylketonuria หรือ PKU) ซึ่งเป็นภาวะพร่องเอนไซม์ย่อยสลายกรดอะมิโนฟีนิลอะลานีน ควรหลีกเลี่ยงสารให้ความหวานแทนน้ำตาลชนิดนี้ เอซีซัลเฟม โพแทสเซียม (Acesulfame Potassium) หรือที่เรียกว่า […]


ภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน

ภาวะ แทรกซ้อน เบาหวาน อาการขาและเท้าบวม

หนึ่งใน ภาวะ แทรกซ้อนของโรค เบาหวาน ที่พบได้บ่อยคือ อาการขาและเท้าบวม ซึ่งเกิดเนื่องมาจากการที่ร่างกายมีภาวะน้ำตาลในเลือดสูงมาเป็นระยะเวลานาน อาจส่งผลให้ ระบบไหลเวียนเลือดทำงานได้อย่างไม่เป็นปกติ เลือดจึงไหลเวียนได้ไม่สะดวก เกิดการคั่งของของเหลวในเนื้อเยื่อที่ขาเเละเท้า หรือที่รู้จักกันว่า อาการบวมน้ำ ตามมา ผู้ป่วยเบาหวานจึงควรควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์เหมาะสม เพื่อลดความเสี่ยงเกิดอาการขาบวม เเละ ภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่อาจพบร่วมกันได้อีกด้วย [embed-health-tool-bmi] สาเหตุของ อาการขาและเท้าบวมจากโรคเบาหวาน อาการขาและเท้าบวมเกิดจากการสะสมของเหลวในเนื้อเยื่อ ที่เรียกว่า อาการบวมน้ำ (Edema) ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้หากรับประทานอาหารที่มีรสชาติเค็มในปริมาณมาก ๆ  หรือการอยู่ในท่าเดิมเป็นเวลานาน ผู้ป่วยเบาหวาน อาจพบภาวะขาและเท้าบวมได้ เนื่องจากมีการไหลเวียนเลือดที่ไม่ดี มีภาวะหลอดเลือดดำบกพร่อง ปัญหาสุขภาพหัวใจ ปัญหาตับ ผลข้างเคียงจากยาบางกลุ่ม หรือในผู้ที่ต้องใช้ยาฉีดอินซูลินในขนาดสูง ๆ วิธีลด ภาวะ แทรกซ้อน เบาหวาน อย่างอาการขาและเท้าบวม วิธีง่าย ๆ ในการรับมือกับ อาการบวมที่ขาและเท้าจากโรคเบาหวาน มีดังนี้ 1. ใช้ถุงเท้าสำหรับรัดกล้ามเนื้อขา (Graduated compression socks) การสวมใส่ถุงเท้าสำหรับรัดกล้ามเนื้อขาโดยเฉพาะ ช่วยเพิ่มความดันที่ขาและเท้าให้เหมาะสมขึ้น จึงช่วยให้เลือดมีการไหลเวียนได้ดีขึ้น ไม่คั่งค้าง จนทำให้ก็เกิดอาการขาเเละเท้าบวมตามมา อย่างไรก็ตาม ถุงเท้าชนิดนี้ เป็นถุงเท้าทางการเเพทย์ที่ออกกเเบบสำหรับช่วยเพิ่มความดันโดยเฉพาะ จึงอาจต้องจัดหาจากโรงพยาบาล […]

ad iconโฆษณา
คำถามที่พบบ่อย
ad iconโฆษณา

คุณกำลังเป็นเบาหวานอยู่ใช่หรือไม่?

คุณไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว เข้าร่วมชุมชนเบาหวานและแลกเปลี่ยนเรื่องราวและประสบการณ์ของคุณ เข้าร่วมชุมชนได้เลย!





ad iconโฆษณา

ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของเรา

ทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของ Hello คุณหมอ ประกอบไปด้วยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มาร่วมสร้างสรรค์บทความในเว็บไซต์ของเราตามความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญของเราจะช่วยรับรองว่าข้อมูลด้านสุขภาพของเราถูกต้อง เป็นปัจจุบัน และตรงตามหลักฐานจากงานวิจัยล่าสุด
ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรามุ่งมั่นเต็มที่ในการช่วยให้คุณได้รับข้อมูลและความรู้ด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือ เข้าใจง่าย และเป็นประโยชน์ และพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพกับคุณเสมอ เพื่อให้คุณได้รับทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น

ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ชุมชน