พ่อแม่เลี้ยงลูก

ในทุกช่วงชีวิตของลูกน้อย เหล่าคุณพ่อคุณแม่จำเป็นที่จะต้องรู้วิธีดูแลและสนับสนุนสุขภาพโดยรวมของลูกน้อย เพื่อให้ความเป็นอยู่ของลูกน้อยดีขึ้น เพราะฉะนั้นใน พ่อแม่เลี้ยงลูก คุณจะได้พบกับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ รวมถึงเคล็ดลับในการดูแลลูกให้แข็งแรง มีความสุข และสามารถปรับตัวได้ในทุกสถานการณ์

เรื่องเด่นประจำหมวด

พ่อแม่เลี้ยงลูก

สาเหตุอะไรที่ทำให้ วัยรุ่นสูบบุหรี่ พิษร้ายทำลายสุขภาพในระยะยาว

วัยรุ่นสูบบุหรี่ เป็นเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่และผู้ปกครองไม่ควรละเลย เพราะบุหรี่เป็นสิ่งอันตรายที่สามารถส่งผลเสียระยะยาวต่อร่างกายของวัยรุ่นได้ ในปัจจุบัน มีวัยรุ่นจำนวนไม่น้อยที่สูบบุหรี่และมีแนวโน้มว่าจำนวนของวัยรุ่นที่สูบบุหรี่จะเพิ่มสูงขึ้นด้วย สาเหตุหนึ่งเพราะเรื่องนี้ถูกมองว่าเป็นเรื่องปกติ หรือบางก็คนใช้เป็นเครื่องมือระบายความเครียด เพื่อจัดการกับปัญหาวัยรุ่นสูบหรี่ บทความนี้อาจช่วยให้คุณเข้าใจสาเหตุ และอันตรายของบุหรี่มากขึ้น เราไปหาคำตอบเรื่องนี้กันเลย สาเหตุที่ทำให้ วัยรุ่นสูบบุหรี่ สาเหตุที่ทำให้วัยรุ่นสูบบุหรี่มีด้วยกันหลายสาเหตุทั้งปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก มาดูกันว่ามีอะไรกันบ้าง สภาพแวดล้อมทางสังคมและทางกายภาพ การโฆษณาจากสื่อโทรทัศน์อาจทำให้วัยรุ่นหนุ่มสาวรู้สึกอยากลองสูบบุหรี่ แนวโน้มการสูบบุหรี่จะเพิ่มขึ้น หากพวกเขาเห็นเพื่อนในวัยเดียวกันสูบบุหรี่ หากคนในครอบครัวสูบบุหรี่ ก็มีแนวโน้มว่าบุตรหลานอาจรู้สึกอยากลองสูบบุหรี่ตามไปด้วย ปัจจัยทางชีวภาพและพันธุกรรม วัยรุ่นบางคนอาจมีความรู้สึกไวต่อสารนิโคติน จึงทำให้รู้สึกอยากนิโคตินได้เร็วกว่าผู้ใหญ่ ปัจจัยทางพันธุกรรมบางอย่างอาจทำให้การเลิกบุหรี่ในวัยรุ่นยากขึ้น คุณแม่ตั้งครรภ์สูบบุหรี่อาจส่งผลต่อลูก และอาจส่งผลให้เด็กสูบบุหรี่เป็นประจำในอนาคต สุขภาพจิต ปัญหาสุขภาพจิตในวัยรุ่น เช่น ภาวะซึมเศร้า ความวิตกกังวล และความเครียด อาจทำให้วัยรุ่นต้องการสูบบุหรี่ ความรู้สึกส่วนตัว วัยรุ่นบางคนเริ่มสูบบุหรี่เพราะต้องการระบายความเครียดที่เกิดขึ้นในขณะนั้น เนื่องจากพวกเขารู้สึกว่าบุหรี่เป็นเพียงทางออกเดียวในการกำจัดความเครียด อิทธิพลอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อวันรุ่น ความเครียดจากเศรษฐกิจตกต่ำ หรือรายได้ลดลง ไม่รู้ว่าจะเลิกบุหรี่อย่างไร ครอบครัวไม่สนับสนุนหรือมีส่วนร่วมในการเลิกบุหรี่ วัยรุ่นยังสามารถเข้าถึงการซื้อบุหรี่ได้ อาจมีพฤติกรรมเกเร ไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง มองว่าตัวเองต่ำต้อย เห็นจากโฆษณาผลิตภัณฑ์บุหรี่ในร้านค้า โทรทัศน์ อินเทอร์เน็ต ภาพยนตร์ นิตยสาร หรือหนังสือพิมพ์ วัยรุ่นสูบบุหรี่ ส่งผลเสียต่อสุขภาพ ในบุหรี่มีสารเคมีหลายชนิดที่เป็นสารพิษและส่งผลเสียต่อร่างกาย เช่น นิโคติน ไซยาไนด์ ผู้ที่เริ่มสูบบุหรี่ครั้งแรกมักมีอาการเจ็บหรือแสบร้อนในลำคอและปอด บางคนถึงกับอาเจียนได้ และเมื่อสูบบุหรี่เป็นระยะเวลานานอาจทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ตามมา […]

หมวดหมู่ พ่อแม่เลี้ยงลูก เพิ่มเติม

สำรวจ พ่อแม่เลี้ยงลูก

ปัญหาระบบย่อยอาหารในเด็ก

ลูกท้องผูก สาเหตุ อาการ วิธีรับมือ

ลูกท้องผูก เป็นปัญหาที่คุณพ่อคุณแม่รู้สึกกังวลใจ เพราะบางครั้งไม่สามารถช่วยเหลือลูกน้อยได้ โดยส่วนใหญ่เด็กที่มีอาการท้องผูกมักขับถ่ายได้น้อยหรือมีอุจจาระแข็งและแห้ง โดยขับถ่ายน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์  และมีอาการปวดขณะขับถ่าย แต่อาจมีอาการอื่นที่คุณพ่อคุณแม่ต้องคอยสังเกตด้วยเช่นกัน คำจำกัดความลูกท้องผูก คืออะไร ลูกท้องผูก (Constipation in children) เป็นปัญหาที่พบได้ทั่วไป เด็กที่มีอาการท้องผูกมักขับถ่ายได้น้อยหรือมีอุจจาระแข็งและแห้ง ลูกท้องผูก พบบ่อยเพียงใด ท้องผูกพบได้ทั่วไปในเด็ก โปรดปรึกษาแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม อาการ อาการลูกท้องผูก เป็นอย่างไร อาการทั่วไป ได้แก่ ขับถ่ายน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ อุจจาระแข็ง แห้ง และถ่ายยาก อุจจาระมีเส้นผ่าศูนย์กลางขนาดใหญ่มาก มีอาการปวดขณะขับถ่าย ปวดท้อง มีร่องรอยอุจจาระเหลวหรือคล้ายดินเหนียว ในกางเกงชั้นในของเด็ก ซึ่งเป็นสิ่งบ่งชี้ว่า อุจจาระไหลย้อนกลับเข้าไปในทวารหนัก อุจจาระแข็งและมีรอยเลือดปน อาจมีสิ่งบ่งชี้หรืออาการบางประการที่ไม่ได้กล่าวถึงข้างต้น หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับอาการ โปรดปรึกษาแพทย์ ควรไปพบหมอเมื่อใด ควรปรึกษาแพทย์หากมีอาการท้องผูกมากกว่า 2 สัปดาห์ หรือเกิดขึ้นร่วมกับอาการดังต่อไปนี้ อาการไข้ อาเจียน เลือดปนในอุจจาระ ท้องบวม น้ำหนักลด มีบาดแผลบริเวณผิวหนังโดยรอบทวารหนัก ลำไส้ยื่นออกมาจากทวารหนัก สาเหตุสาเหตุลูกท้องผูก สาเหตุที่ลูกท้องผูกที่พบได้มากที่สุด คือ การที่อุจจาระเคลื่อนที่ผ่านทางทางเดินอาหารช้ากว่าปกติ ทำให้อุจจาระแข็งและแห้ง และยังมีปัจจัยอีกหลายประการที่ทำให้ลูกท้องผูก ซึ่งได้แก่ การกลั้นอุจจาระ เด็กอาจไม่ยอมถ่ายอุจจาระเนื่องจากกลัวโถส้วมหรืออยากเล่นต่อ เด็กบางคนมักกลั้นอุจจาระเมื่ออยู่นอกบ้านเนื่องจากไม่สะดวกที่จะเข้าห้องน้ำสาธารณะ การขับถ่ายอุจจาระขนาดใหญ่และแข็งทำให้เด็กรู้สึกเจ็บ และยังอาจมักกลั้นอุจจาระไว้ เมื่อรู้สึกเจ็บเวลาขับถ่าย เด็กก็จะพยายามกลั้นอุจจาระไว้ เพราะไม่อยากเจ็บซ้ำอีก การฝึกการเข้าห้องน้ำ หากเด็กเพิ่งเริ่มฝึกการเข้าห้องน้ำ อาจจะยังขัดขืนและกลั้นอุจจาระไว้ หากเด็กรู้สึกว่าถูกบังคับให้เข้าห้องน้ำจะสร้างนิสัยการขับถ่ายที่ไม่ดีและจะเปลี่ยนแปลงได้ยาก การเปลี่ยนแปลงอาหารที่รับประทาน หากเด็กไม่รับประทานผักและผลไม้ที่มีกากใยและดื่มน้ำอย่างเพียงพอ ก็ทำให้เกิดอาการท้องผูกได้ นอกจากนี้ การที่เด็กในวัยหนึ่งเปลี่ยนจากการกินอาหารเหลวทั้งหมดมาเป็นอาหารแข็ง ก็มีส่วนทำให้เกิดอาการท้องผูกได้เช่นกัน การเปลี่ยนแปลงกิจวัตรประจำวัน การเปลี่ยนแปลงใดๆ เกี่ยวกับกิจวัตรประจำวันของเด็ก เช่น การเดินทาง […]


ความผิดปกติทางพัฒนาการและพฤติกรรม

โรคดื้อต่อต้าน ในเด็กและวัยรุ่น มีวิธีสังเกตและรับมืออย่างไร

โรคดื้อต่อต้าน เป็นภาวะผิดปกติทางพฤติกรรมที่มักพบในเด็กที่เริ่มโต หรือวัยรุ่น เด็กมักแสดงพฤติกรรมก้าวร้าว  เอาแต่ใจ พูดไม่ฟัง ชอบสร้างความขัดแย้ง หาเรื่องผู้อื่น จนสร้างปัญหาให้ตัวเองและผู้คนรอบข้าง โรคนี้เป็นโรคทางพฤติกรรมที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาที่เหมาะสมโดยเร็ว เพราะหากปล่อยไว้ อาจนำไปสู่พฤติกรรมที่อาจเป็นอันตรายถึงถึงชีวิต และส่งผลต่อการใช้ชีวิตในสังคมได้ [embed-health-tool-vaccination-tool] โรคดื้อต่อต้าน คืออะไร โรคดื้อต่อต้าน (Oppositional Defiant Disorder หรือ ODD) คือ ความผิดปกติทางพฤติกรรมที่เริ่มต้นในช่วงวัยเด็กหรือวัยรุ่น เด็กที่เป็นโรคนี้จะแสดงพฤติกรรมต่อต้าน เมินเฉย ไม่เชื่อฟัง ไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งหรือคำร้องขอจากผู้อื่น เพราะคิดว่าคำสั่งหรือคำขอเหล่านั้นไร้เหตุผล จึงรู้สึกโมโห และแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวออกมา โดยเด็กที่เป็นโรคดื้อต่อต้านมักจะมีอาการของโรคสมาธิสั้น โรควิตกกังวล และโรคซึมเศร้าร่วมด้วย การที่เด็กดื้อรั้น หรือไม่เชื่อฟังผู้ใหญ่บ้างบางครั้งนับเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะเมื่อเด็กรู้สึกเหนื่อย อารมณ์เสีย หรือไม่ได้ดั่งใจ แต่เด็กที่เป็นโรคดื้อต่อต้าน จะแสดงพฤติกรรมเหล่านี้เป็นประจำ และพฤติกรรมจะรุนแรงขึ้น จนเป็นปัญหารบกวนการใช้ชีวิตประจำวันของเด็กและผู้คนรอบข้าง ปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคดื้อต่อต้านมีทั้งปัจจัยทางชีวภาพ จิตใจ และสังคม เช่น กรรมพันธุ์ ความขัดแย้งภายในครอบครัว พ่อแม่หย่าร้าง การใช้ความรุนแรงในครอบครัว คนในครอบครัวมีประวัติป่วยเป็นโรคทางจิตเวช ครอบครัวมีผู้ติดยาเสพติดหรือแอลกอฮอล์ การเลี้ยงลูกผิดวิธี การถูกรังแกหรือถูกละเลย ครอบครัวมีฐานะยากจน หรือมีปัญหาทางการเงิน พฤติกรรมแบบใดเข้าข่ายเป็นโรคดื้อต่อต้าน หากเด็กมีอาการเหล่านี้เป็นเวลานานกว่า 6 เดือน อาจเข้าข่ายเป็นโรคดื้อต่อต้าน สัญญาณทางความคิด […]


การเติบโตและพัฒนาการ

การละเล่น แบบไหน ถึงจะเหมาะสมสำหรับวัยเด็ก

การละเล่น ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ความสนุกสนานสำหรับเด็กเท่านั้น แต่ การเล่นสำหรับเด็ก ยังเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งในการเจริญเติบโตของเด็กและพัฒนาการด้านต่างๆ ซึ่งการเล่นที่เหมาะสมกับวัยแต่ละช่วงอายุของเด็ก จะช่วยในการพัฒนาทักษะของเด็กในหลายๆด้าน และนี่คือรายละเอียดที่พ่อแม่ควรรู้เกี่ยวกับ การละเล่น สำหรับวัยเด็ก [embed-health-tool-vaccination-tool] การละเล่น สำคัญอย่างไร การเล่นเป็นกิจกรรมที่คู่กับเด็กทุกคน เพราะลักษณะนิสัยของเด็กส่วนใหญ่จะสนใจสิ่งรอบข้าง อยากรู้อยากเห็น และอยากเรียนรู้สิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบข้างตลอดเวลา การเล่นจึงช่วยพัฒนาทักษะของเด็กในหลายๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมจินตนาการ ความคิด การเคลื่อนไหวร่างกาย ความคล่องแคล่ว และสติปัญญาในการแก้ปัญหา หรือแม้กระทั่งการฝึกเรื่องทักษะทางด้านอารมณ์ เช่น การเล่นบางชนิดสามารถฝึกเรื่องความอดทนได้อีกด้วย ดังนั้นเพื่อให้การเล่นของเด็ก ช่วยในการพัฒนาเด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น พ่อแม่ก็ควรเลือกวิธีการเล่นหรือของเล่น ให้เหมาะสมกับอายุของลูกด้วย เพราะจะสามารถช่วยพัฒนาการเจริญเติบโตทั้งทางด้านร่างกายและทักษะอื่นๆ ไปพร้อมกัน การละเล่น ที่เหมาะสมกับเด็กแต่ละช่วงอายุ อายุ 1-3 เดือน เด็กวัยนี้เริ่มเคลื่อนไหวร่างกายได้ เช่น การเคลื่อนไหวของแขนและขา สองข้างเริ่มเคลื่อนไหวได้เท่ากัน เริ่มจ้องมอง และเคลื่อนสายตาตามวัตถุนั้นๆ เริ่มคว้าสิ่งของต่างๆ ซึ่งอาจจะคว้าได้บ้างไม่ได้บ้าง เพราะการประสานงานระหว่างกล้ามเนื้อตาและมือยังไม่สมบูรณ์ดี ดังนั้น เด็กในช่วงอายุ 1- 3 เดือน จึงเหมาะกับของเล่นจำพวก โมบายหมุนได้สีสันสดใส เพื่อพัฒนาสายตาและการมองเห็น นอกจากนี้พ่อแม่ควรอุ้ม สัมผัสและพูดคุย เพราะเป็นการพัฒนาการตอบสนองไปในตัว เนื่องจากเด็กวัยนี้จะเริ่มตอบสนองต่อสิ่งที่เห็นและได้ยิน อายุ 4-5 เดือน เด็กวัยนี้เริ่มจำวัตถุและบุคคลใกล้ชิดได้ คอแข็ง พลิกตัวหมุนตัวได้ […]


โรคเด็กและอาการทั่วไป

ธาลัสซีเมียในเด็ก อาการ สาเหตุ วิธีรักษาและป้องกัน

ธาลัสซีเมียในเด็ก เป็นโรคเลือดที่เกิดจากการสร้างฮีโมโกลบินของร่างกายผิดปกติ ธาลัสซีเมียมีหลายประเภท บางชนิดไม่แสดงอาการใดๆ ในขณะที่ชนิดอื่นอาจทำให้เสียชีวิต หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที [embed-health-tool-vaccination-tool] ธาลัสซีเมียในเด็ก คืออะไร ธาลัสซีเมีย (Thalassemia) เป็นโรคเกี่ยวกับเลือด ที่เกิดจากการสร้างฮีโมโกลบินของร่างกายผิดปกติ หากลูกน้อยเป็นธาลัสซีเมีย จะมีระดับฮีโมโกลบิน และเซลล์เม็ดเลือดแดงในร่างกายน้อยกว่าปกติ โรคนี้พบได้มากที่สุดในเด็กที่สืบเชื้อสายมาจากประเทศในแถบเมดิเตอร์เรเนียน แอฟริกา และเอเชีย ธาลัสซีเมียมีหลายประเภท บางชนิดไม่แสดงอาการใด ๆ ในขณะที่ชนิดอื่นอาจทำให้เสียชีวิต หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาการของธาลัสซีเมียในเด็ก หากลูกน้อยเป็นธาลัสซีเมีย อาจมีอาการดังนี้ อ่อนเพลีย หมดแรง ผิวซีด กระดูกใบหน้าผิดรูป การเจริญเติบโตช้า ปัสสาวะมีสีเข้ม ท้องบวม สาเหตุของธาลัสซีเมียในเด็ก ธาลัสซีเมียเกิดจากยีนที่ทำหน้าที่สร้างฮีโมโกลบินมีความบกพร่อง เด็กอาจได้รับการถ่ายทอดยีนดังกล่าวจากพ่อหรือแม่ หรือทั้งสองคน หากทั้งพ่อและแม่มียีนบกพร่อง ทารกจะมีอาการอยู่ในระดับธาลัสซีเมียใหญ่ หรือ ธาลัสซีเมียชนิดรุนแรง (Thalassemia Major) เมื่อมียีนผิดปกติถ่ายทอดมาจากพ่อหรือแม่ หรือจากทั้งสองคน หากทารกมีอาการอยู่ในระดับธาลัสซีเมียน้อย หรือ ธาลัสซีเมียไมเนอร์ (Thalassemia minor) แล้ว ทารกจะเป็นเพียงพาหะของยีนบกพร่อง การรักษาธาลัสซีเมียในเด็ก คุณหมอจะพิจารณาสัญญาณบ่งชี้และอาการ และทดสอบเลือด เพื่อยืนยันอาการผ่านการทดสอบต่างๆ ได้แก่ การตรวจตัวอย่างรกเด็ก การเจาะตรวจน้ำคร่ำ และการตรวจตัวอย่างเลือดทารกในครรภ์ ผู้ป่วยในระดับธาลัสซีเมียน้อย ไม่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษา ในขณะที่ผู้ป่วยในระดับธาลัสซีเมียใหญ่ ต้องเข้ารับการถ่ายเลือดเป็นประจำทุกเดือน […]


การเติบโตและพัฒนาการ

เด็กถูกเพื่อนล้อว่าอ้วน คุณพ่อคุณแม่ช่วยได้อย่างไรบ้าง

เด็กถูกเพื่อนล้อว่าอ้วน เป็นหนึ่งในปัญหาที่พบได้บ่อย ที่อาจเริ่มต้นตั้งแต่ในชั้นวัยอนุบาล ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตของเด็กเป็นอย่างมาก ทำให้เด็กขาดความมั่นใจ เกิดความเครียด ทำให้เด็กไม่มีความสุข รวมถึงอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายเนื่องจากปัญหาความเครียดสะสมได้ ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่จึงควรหาวิธีการรับมือเมื่อเด็กถูกเพื่อนล้อ รวมถึงหาทางแก้ไขปัญหาโรคอ้วนในเด็ก เพื่อสุขภาพของเด็กที่ดีขึ้น [embed-health-tool-vaccination-tool] เด็กถูกเพื่อนล้อว่าอ้วน คุณพ่อคุณแม่รับมืออย่างไรดี คุณพ่อคุณแม่สามารถรับมือกับกรณีที่ลูกโดนล้อเรื่องน้ำหนักตัวได้ ดังนี้ สนับสนุนให้ลูกบอกผู้ใหญ่ เช่น บอกคุณครูที่โรงเรียน สอนให้ลูกตั้งสติ เดินหนี และไม่โต้ตอบกับการโดนล้อเลียน อย่าลืมดูคอมพิวเตอร์ และโทรศัพท์ของลูก เนื่องจากการโดนล้อเรื่องรูปร่างผ่านโซเชียลมีเดีย สามารถสร้างความเจ็บปวดให้เด็กๆ ได้เช่นกัน ผู้ปกครองควรใส่ใจการกลั่นแกล้งทางโซเชียลมีเดีย (Cyber-bullying) ด้วย ให้ลูกเข้าร่วมกิจกรรมนอกโรงเรียน เพื่อให้มีกลุ่มเพื่อนกลุ่มอื่นนอกจากเพื่อนในโรงเรียน ใช้เวลาอยู่กับลูกให้มาก เช่น ทำกิจกรรมร่วมกันทั้งครอบครัวในวันหยุดสุดสัปดาห์ เป็นผู้ฟังที่ดี โดยเวลาที่เด็กอยากเล่าเรื่องที่โรงเรียนให้ฟัง ผู้ปกครองควรหยุดฟังอย่างตั้งใจ โดยไม่แสดงความคิดเห็นจนกระทั่งเขาเล่าเรื่องทั้งหมดจนจบ และควรสบตากับเด็กขณะที่เขากำลังเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น อย่าล้อเลียนเพื่อหวังให้เด็กลดน้ำหนัก ถ้าเพื่อนหรือสมาชิกในครอบครัวล้อเลียนหรือแกล้งเด็กที่มีน้ำหนักเกิน เพื่อหวังให้เด็กๆ เปลี่ยนแปลงตัวเอง ถือเป็นความเข้าใจผิด เนื่องจากการล้อเลียนหรือกลั่นแกล้ง ไม่สามารถช่วยให้เด็กลดความอ้วนได้ ชวนลูกทำกิจกรรมร่วมกับครอบครัว ในกรณีที่ลูกเริ่มไม่เข้าสังคม และอยู่คนเดียวบ่อยๆ ผู้ปกครองอาจช่วยให้เขาเข้าสังคมมากขึ้น ด้วยการพาลูกไปทำกิจกรรมกับครอบครัวในช่วงเวลาหลังเลิกเรียน นอกจากนี้ยังอาจใช้วิธีการพูดคุยกับลูก โดยคุณพ่อคุณแม่ควรอธิบายให้เด็กฟังว่า การกลั่นแกล้ง ล้อเลียน และการรังแกถือเป็นเรื่องไม่ดี และอาจถามความคิดเห็นของลูก […]


การเติบโตและพัฒนาการ

สไตล์การเรียนรู้ คืออะไร สำคัญอย่างไรต่อเด็ก ๆ

เด็กแต่ละคนจะมีวิธีการเรียนรู้ที่แตกต่างกันไป คุณพ่อคุณแม่ สไตล์การเรียนรู้ (Learning Style) หรือรูปแบบการเรียนรู้ของเด็ก ๆ เพราะมีส่วนช่วยในการส่งเสริมพัฒนาการด้านการศึกษาของเด็กได้ และในบางกรณีอาจมีส่วนช่วยแก้ไขภาวะบกพร่องด้านต่าง ๆ เช่น ภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ (Learning Disabilities หรือ LD)  โรคสมาธิสั้น (Attention deficit hyperactivity disorder หรือ ADHD) [embed-health-tool-vaccination-tool] สไตล์การเรียนรู้ คืออะไร รูปแบบการเรียนรู้แบ่งเป็น 4 ประเภท ได้แก่ การฟัง (Auditory) การเคลื่อนไหวร่างกาย (Kinesthetic) การสัมผัส (Tactual) และการมองเห็น (Visual) คุณพ่อคุณแม่ควรเริ่มประเมินรูปแบบการเรียนรู้ของเด็ก เมื่ออายุ 6-7 ปี และรูปแบบการเรียนรู้จะเริ่มตกผลึกจริง ๆ เมื่อเข้าสู่การเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น นอกจากนี้ วิธีการสอนวิธีเดียวอาจไม่ได้ผลสำหรับเด็กทุกคน หรือแม้แต่กับเด็กส่วนใหญ่ ความตระหนักของผู้สอนเกี่ยวกับสไตล์การเรียนรู้ที่หลากหลาย และความพยายามที่จะปรับเรียนการสอนให้เข้ากับสไตล์การเรียนรู้ของเด็ก ๆ  อาจช่วยในการสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ ที่มีประสิทธิภาพสำหรับเด็กทุกคนได้ดีกว่า นอกจากนั้น คุณพ่อคุณแม่สามารถสังเกตสไตล์การเรียนรู้ของเด็ก ๆ ได้ ดังต่อไปนี้ สไตล์การเรียนรู้ 4 […]


โรคเด็กและอาการทั่วไป

วิธีแก้ไอ สำหรับเด็ก โดยไม่ต้องใช้ยา

ยาแก้ไอที่ขายตามร้านขายยาทั่วไปถึงแม้จะหาซื้อได้ง่าย แต่อาจไม่เหมาะให้เด็กรับประทาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 4 ปี หากลูกมีอาการหวัดเล็กน้อยหรือไอ ควรบรรเทาด้วย วิธีแก้ไอ สำหรับเด็ก ที่เหมาะสมและปลอดภัย ไม่เสี่ยงเกิดผลข้างเคียง ทั้งนี้ หากบรรเทาอาการไอแล้วอาการของเด็กยังไม่ดีขึ้นหรือยิ่งแย่ลง ควรพาไปพบคุณหมอเพื่อวินิจฉัยอาการและรับการรักษาอย่างเหมาะสม วิธีแก้ไอ สำหรับเด็ก โดยไม่ต้องใช้ยา 1. น้ำผึ้ง น้ำผึ้ง เป็นสารให้ความหวานจากธรรมชาติที่สามารถช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอ ทั้งยังมีคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรียและช่วยป้องกันการติดเชื้อ แต่อย่างไรก็ตามน้ำผึ้งกลับไม่ปลอดภัยสำหรับเด็กที่มีอายุต่ำกว่าหนึ่งปีเพราะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคโบทูลิซึม การให้ลูกกินน้ำผึ้งหนึ่งช้อน หรือให้ลูกกินน้ำผึ้งบ่อยตามความต้องการ สามารถทำได้กับเด็กที่อายุ 1 ปีขึ้นไปเท่านั้น และควรระวังไม่ให้มีการกินน้ำผึ้งมากจนเกินไปเพราะในน้ำผึ้งมีสารประกอบของน้ำตาลฟรุกโตสที่อาจส่งผลให้มีอาการท้องเสีย คุณพ่อคุณแม่สามารถผสมน้ำผึ้งในน้ำอุ่นเพื่อให้ลูกสามารถกินน้ำผึ้งได้ง่ายขึ้น หรืออาจมีการผสมน้ำผึ้งกับน้ำมะนาวหรือน้ำขิง เพื่อเพิ่มวิตามินซี   2. การล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ การใช้น้ำเกลือล้างจมูก ทำให้เด็กสามารถสั่งน้ำมูกได้ง่ายขึ้น เพราะการใช้น้ำเกลือล้างจมูกเป็นการขจัดน้ำมูกที่ขวางกั้นอยู่ในทางเดินหายใจ คุณอาจซื้อน้ำเกลือจากร้านขายยาทั่วไป หรืออาจทำเอง โดยผสมเกลือที่ไม่มีไอโอดีนและเบคกิ้งโซดากับน้ำ แล้วนำสารละลายที่ได้นี้ บรรจุในหลอดฉีดยาหรือขวดฉีดพ่นสำหรับล้างจมูก แต่สำหรับเด็กวัยหัดเดิน คุณพ่อคุณแม่อาจมีการพาลูกนั่งลงในอ่างน้ำอุ่นก็สามารถช่วยให้เด็กจมูกโล่งขึ้นได้ หรืออาจทำหลังจากที่มีการล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ  3. ทาวาโปรับ วาโปรับ (Vapor rub) เป็นยาที่ออกแบบมาเพื่อบรรเทาอาการคัดจมูก ส่วนผสมของวาโปรับ ประกอบด้วยสารกดอาการไอและยาบรรเทาปวดเฉพาะที่ เช่น การบูร เมนทอล และน้ำมันยูคาลิปตัส ดังนั้น หากคุณใช้วิธีนี้เพื่อบรรเทาอาการไอกับลูก ควรทายาชนิดนี้บางๆ บนหน้าอกและลำคอ เพื่อให้เด็กสามารถหายใจเอายาที่ระเหยออกมาเข้าไป แต่อย่างไรก็ตามกุมารแพทย์บางท่านอาจแนะนำให้ทาบริเวณเท้ามากกว่าบริเวณหน้าอกเพื่อความปลอดภัยที่มากกว่า […]


สุขภาพเด็ก

เด็กใช้เวลาอยู่หน้าจอ มากเกินไป ส่งผลต่อสุขภาพอย่างไรบ้าง

ในยุคปัจจุบันคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต ล้วนเป็นอุปกรณ์ที่เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเด็ก ๆ ยุคใหม่ หลายครอบครัวให้ลูกดูการ์ตูนหรือรายการเพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้ แต่แม้อุปกรณ์เหล่านี้จะมีประโยชน์ แต่หาก เด็กใช้เวลาอยู่หน้าจอ มากเกินไป ก็อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพของเด็กได้ คุณพ่อคุณแม่จึงควรจำกัดเวลาในการใช้งานให้เหมาะสม อย่าให้ลูกใช้เวลาอยู่หน้าจอมากจนเกินไป [embed-health-tool-vaccination-tool] เด็กใช้เวลาอยู่หน้าจอ มากเกินไป ส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างไรบ้าง สุขภาพร่างกาย เมื่อ เด็กใช้เวลาอยู่หน้าจอ การใช้เวลาอยู่หน้าจอสามารถทำให้ดวงตามีปัญหาได้ เช่น มีอาการแสบตา คันตา ตาล้า หรือหากเด็กใช้เวลาอยู่หน้าจอติดต่อกันเป็นเวลานานเกินไป ก็อาจทำให้มีอาการปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ตาพร่า มองเห็นภาพซ้อน หรือปวดคอได้ แสงสีฟ้ากับสายตาเด็ก ในความยาวคลื่นและพลังงาน แสงสีฟ้า (Blue light) ถือว่าใกล้เคียงกับแสงยูวี ซึ่งทำให้เป็นที่น่ากังวลว่าจะเกิดความเสียหายจากการเจอแสงสีฟ้าสะสมเป็นเวลานาน เนื่องจากดวงตาของเด็ก ๆ มักจะมีความสามารถในการมองเห็นวัตถุที่อยู่ใกล้ เพราะเลนส์ธรรมชาติของดวงตามีขนาดเล็กและชัดเจน แสงสีฟ้าอาจส่งไปยังเรติน่าของดวงตาของเด็ก ๆ ได้ง่ายกว่าผู้ใหญ่ จึงสามารถทำให้ดวงตาเกิดความเสียหายได้ นอกจากนี้ แสงสีฟ้ายังสามารถรบกวนการนอนหลับ และนาฬิกาชีวภาพ (Circadian rhythm) หากเด็ก ๆ ใช้เวลาอยู่หน้าจอใกล้เกินไปในช่วงเวลาก่อนเข้านอน สมองด้านความรู้ความเข้าใจ งานวิจัยที่ศึกษาในเด็กอายุ 8-11 ปี จำนวน 4,500 คน เมื่อเดือนกันยายนปี 2016 […]


โภชนาการสำหรับทารก

ให้นมลูก นานเกิน 1 ปี มีประโยชน์อย่างไรบ้าง

คำแนะนำเกี่ยวกับการ ให้นมลูก โดยทั่วไปคือ ทารกควรได้รับน้ำนมแม่อย่างน้อย 6 เดือน ทำให้คุณแม่หลายคนอาจหยุดให้นมลูกเมื่อครบ 6 เดือน แต่องค์การอนามัยโลกและองค์การยูนิเซฟได้ให้คำแนะนำว่า ควรให้ลูกกินนมแม่ต่อเนื่องไปจนอายุครบ 2 ปี เพื่อให้ทารกได้รับสารอาหารที่ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการและการเจริญเติบโตอย่างเต็มเปี่ยม นอกจากนี้ ยังอาจสามารถช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของลูก และช่วยลดความเสี่ยงการเกิดปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ได้อีกด้วย [embed-health-tool-bmi] ให้นมลูก นานแค่ไหนจึงจะดี นมแม่ได้รับการรับรองว่าเป็นอาหารที่เหมาะสมที่สุดในการเลี้ยงทารก โดยองค์การอนามัยโลกแนะนำว่า การให้นมลูกควรเริ่มต้นตั้งแต่ชั่วโมงแรกของชีวิต และต่อเนื่องไปจนถึงหกเดือน โดยให้นมแม่เพียงอย่างเดียว ไม่ต้องเพิ่มอาหารเสริมใดๆ และหลังจากหกเดือนจึงค่อยเพิ่มอาหารเสริมที่เหมาะกับวัยเข้ามา อย่างไรก็ตามนี่ไม่ได้หมายความว่า แม่ควรหยุดให้นมลูกเมื่ออายุ 6 เดือน แต่ยังควรให้นมลูกต่อเนื่องไปยาวนานกว่านั้น โดยองค์การอนามัยโลกและองค์การยูนิเซฟ ให้คำแนะนำตรงกันว่า แม่ควรจะให้นมลูกต่อเนื่องไปจนถึงสองปีหรือมากกว่านั้น องค์กรด้านสุขภาพหลายองค์กรในสหรัฐฯ ก็ให้คำแนะนำที่บ่งชี้ไปถึงประโยชน์ของการให้นมแม่นานกว่าหกเดือนแทบทั้งสิ้น อย่างเช่นสมาคมกุมารแพทย์สหรัฐฯ แนะนำว่า ควรให้นมแม่ต่อเนื่องไปจนอย่างน้อยในขวบปีแรกของเด็ก และนานกว่านั้นตราบเท่าที่ต้องการ การเพิ่มระยะเวลาของการให้นมแม่แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ต่อพัฒนาการของเด็ก และต่อสุขภาพของทั้งเด็กและแม่อย่างมีนัยสำคัญ โดยไม่มีขีดจำกัดของระยะเวลาในการให้นมแม้ และไม่มีหลักฐานว่ามีอันตรายทางจิตใจใดๆ เกิดขึ้นจากการให้นมแม่จนถึงสามขวบหรือนานกว่านั้น สมาคมแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวสหรัฐฯ ก็ให้คำแนะนำเช่นกันว่า ควรให้นมลูกตลอดขวบปีแรก และยังชี้ว่าช่วงเวลาการหย่านมตามธรรมชาตินั้น อยู่ระหว่างอายุสองถึงเจ็ดปี ความเข้าใจผิดเรื่องคุณค่าของนมแม่หลังขวบปีแรก การที่แม่หลายคนหยุดให้นมลูกหลังจากหกเดือน ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากการที่แม่ต้องกลับไปทำงาน และไม่สะดวกต่อการให้นมลูก อย่างไรก็ตาม เทคนิคการปั๊มนมแม่เพื่อเก็บไว้ให้ลูกกิน สามารถช่วยแก้ปัญหาในเรื่องนี้ได้ กระนั้นก็ตาม สิ่งที่เป็นอุปสรรคมากกว่า อาจจะมาจากความเชื่อที่ว่า […]


เลี้ยงลูกด้วยนมแม่

ปั๊มนม ให้ถูกวิธีควรทำอย่างไร และวิธีเก็บน้ำนมแม่ที่เหมาะสม

ปั๊มนม เป็นหนึ่งในกิจวัตรประจำวันของคุณแม่มือใหม่ โดยเฉพาะคุณแม่ที่จะต้องกลับไปทำงานหลังครบกำหนดลาคลอด จำเป็นต้องปั๊มนมเก็บเอาไว้ให้ลูกน้อยกินระหว่างวัน คุณแม่มักเริ่มปั๊มนมทันทีหลังจากที่ลูกคลอด โดยเฉพาะที่โรงพยาบาลซึ่งมักจะมีพยาบาลมืออาชีพคอยให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีปั๊มนม นอกจากนั้นแล้ว คุณแม่ควรศึกษาถึงขั้นตอนการปั๊ม การเก็บรักษา และวิธีการนำนมที่ปั๊มเก็บไว้มาให้ลูกน้อยดื่มเพิ่มเติมอีกด้วย ข้อควรรู้ในการ ปั๊มนม เวลาในการปั๊มนม คุณแม่ส่วนใหญ่มักเลือกที่จะปั๊มนมในตอนเช้า แต่ทั้งนี้ เวลาในการปั๊มนมอาจขึ้นอยู่กับความสะดวกของคุณแม่แต่ละคน การปั๊มนมอาจทำหลังจากให้นมลูก 30-60 นาที หรือก่อนให้นมลูกอย่างน้อย 1 ชั่วโมง นอกจากนี้ ภายใน 24 ชั่วโมงคุณแม่อาจปั๊มน้ำนมได้ถึง 8-10 ครั้ง โดยปริมาณนมแม่ที่เหมาะสมคือวันละ 750-1,035 มิลลิลิตร การให้นมลูกไปด้วย ปั๊มนมไปด้วย อาจไม่เหมาะกับคุณแม่บางคน คุณแม่จึงอาจปั๊มนมหลังจากให้นมลูก 1 ชั่วโมงแทน คุณแม่และลูกน้อยแต่ละครอบครัวมีกิจวัตรประจำวันที่แตกต่างกัน ดังนั้น จึงควรจัดเวลาในการปั๊มนมให้เหมาะกับตัวเอง วิธีปั๊มนม โดยทั่วไปแล้ว คุณแม่มักเลือกซื้อเครื่องปั๊มนมตามงบประมาณและความชอบเป็นหลัก และเครื่องปั๊มนมมักมีคู่มือวิธีการใช้มาให้ด้วย แต่โดยหลักๆ แล้ววิธีปั๊มนมทำได้ดังนี้ อ่านคู่มือการใช้เครื่องปั๊มนมให้ละเอียด นั่งในท่าสบายๆ ตรวจสอบอุปกรณ์การปั๊มนมให้เรียบร้อย เครื่องปั๊มนมต้องพอดีกับเต้านมคุณแม่ การปั๊มนม จะคล้ายเวลาให้นมลูก คุณแม่สามารถปรับระดับขณะใช้เครื่องปั๊มนมได้ การปั๊มนม ต้องไม่เจ็บ เวลาปั๊มนมลูกต้องไม่รู้สึกเจ็บ คุณแม่อาจมีความรู้สึกคัดตึงเต้านม หรือรู้สึกไม่สบายตัวได้ แต่ไม่ควรถึงขั้นเจ็บ หากรู้สึกเจ็บ ต้องลองเปลี่ยนที่ปั๊มนม ให้เป็นขนาดที่เหมาะสมกับหน้าอก […]

ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา

กำลังมองหาเรื่องราวในการเลี้ยงดูบุตรใช่หรือไม่?

เข้าร่วมชุมชนการเลี้ยงดูบุตรและแลกเปลี่ยนข้อมูลกับคุณแม่และคุณพ่อคนอื่น ๆ เข้าร่วมชุมชนได้เลย!





ad iconโฆษณา

ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของเรา

ทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของ Hello คุณหมอ ประกอบไปด้วยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มาร่วมสร้างสรรค์บทความในเว็บไซต์ของเราตามความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญของเราจะช่วยรับรองว่าข้อมูลด้านสุขภาพของเราถูกต้อง เป็นปัจจุบัน และตรงตามหลักฐานจากงานวิจัยล่าสุด
ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรามุ่งมั่นเต็มที่ในการช่วยให้คุณได้รับข้อมูลและความรู้ด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือ เข้าใจง่าย และเป็นประโยชน์ และพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพกับคุณเสมอ เพื่อให้คุณได้รับทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น

ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ชุมชน