ปัญหาสุขภาพช่องท้องแบบอื่น

นอกเหนือจากปัญหาที่เกิดขึ้นกับกระเพาะอาหาร ลำไส้ และตับ ยังมี ปัญหาสุขภาพช่องท้องแบบอื่น อีกมากที่เราควรให้ความสนใจดูแล เพื่อช่วยรักษาสุขภาพของร่างกายเราให้แข็งแรง ห่างไกลโรคภัย และช่วยให้เราใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข

เรื่องเด่นประจำหมวด

ปัญหาสุขภาพช่องท้องแบบอื่น

เจ็บท้องข้างซ้าย เกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง

เจ็บท้องข้างซ้าย เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นอาหารไม่ย่อย ไส้เลื่อน งูสวัด หรือเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ ควรสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด หากอาการรุนแรงขึ้น หรือเกิดร่วมกับอาการอื่น เช่น เลือดออกปนมากับปัสสาวะหรืออุจจาระ ควรไปพบคุณหมอ [embed-health-tool-bmi] เจ็บท้องข้างซ้าย มีสาเหตุจากอะไร เจ็บท้องข้างซ้าย เป็นอาการป่วยที่พบได้ทั่วไปและเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ดังต่อไปนี้ ถุงผนังลำไส้อักเสบ เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของการเจ็บท้องข้างซ้าย โดยเกิดจากการฉีกขาดหรือติดเชื้อของถุงผนังลำไส้ โดยจะมีอาการเจ็บท้องเป็นเวลาหลายวัน ร่วมกับมีไข้ ท้องผูก และคลื่นไส้ ทั้งนี้ ถุงผนังลำไส้อักเสบในระดับไม่รุนแรงอาจหายเองได้หากพักผ่อนและรับประทานยาปฏิชีวนะ อาหารไม่ย่อย มักเกิดขึ้นหลังมื้ออาหาร และจะหายไปเองภายใน 2-3 ชั่วโมง มักเกิดบริเวณหน้าท้องส่วนบน ร่วมกับอาการอื่น ๆ เช่น ท้องอืด มีลมในท้อง เสียดท้อง ไส้เลื่อน หมายถึง การที่อวัยวะในช่องท้อง เช่น ลำไส้ ยื่นออกนอกช่องท้อง ทำให้มีก้อนบวมบริเวณหน้าท้องหรือขาหนีบ รวมถึงรู้สึกเจ็บรุนแรงในบริเวณดังกล่าวมากขึ้นเรื่อย ๆ งูสวัด เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสวาริเซลาซอสเตอร์ (Varicella Zoster Virus) ซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคอีสุกอีใส เมื่อเป็นโรคงูสวัด จะพบผื่นและตุ่มน้ำใสขึ้นตามร่างกาย และในบางรายอาจมีอาการ เจ็บท้องข้างซ้ายร่วมด้วย […]

สำรวจ ปัญหาสุขภาพช่องท้องแบบอื่น

ปัญหาสุขภาพช่องท้องแบบอื่น

บรรเทาอาการปวดท้อง แบบไม่ต้องพึ่งยา ด้วยวัตถุดิบหาง่ายใกล้ตัว

อาการปวดท้องเป็นอาการทั่วไปที่ทุกคนเคยเป็น อาการปวดท้องเกิดจากสาเหตุมากมาย ส่วนใหญ่ อาการมักไม่รุนแรงและทุเลาลงอย่างรวดเร็วหากรู้จักวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพ วิธีการรักษาอาการปวดท้องเหล่านี้สามารถหาได้ในครัว ลองใช้วิธีการที่ Hello คุณหมอ ที่เรานำมาฝากต่อไปนี้ เพื่อช่วย บรรเทาอาการปวดท้อง โดยไม่ต้องใช้ยา บรรเทาอาการปวดท้อง ด้วยวัตถุดิบหาง่ายในครัวเรือน ขิง ตั้งแต่อดีต ขิงถูกใช้ในการรักษาอาการต่างๆ ตั้งแต่คลื่นไส้ไปจนถึงอาการปวดข้อ ในปัจจุบัน งานวิจัยบางชิ้นระบุว่า ขิงสามารถรักษาอาการปวดท้องได้ดี สารเคมีทางธรรมชาติที่พบในชิง ช่วยทำให้กล้ามเนื้อเรียบที่อยู่ในผนังกระเพาะอาหารและลำไส้ผ่อนคลาย ดังนั้น ขิงจึงช่วยบรรเทาอาการปวดเกร็งที่ท้อง และอาการปวดท้องบีบเป็นระยะๆ รวมถึงอาการอักเสบได้อีกด้วย ลองใส่ขิงในชาร้อน หากคุณสามารถทนรสชาติของขิงได้ ลองรับประทานขิงสด เปปเปอร์มินท์ เปปเปอร์มินท์ หรือ สะระแหน่ (Peppermint) มีส่วนผสมของเมนทอล (Menthol) ซึ่งเป็นสารเคมีไม่เพียงช่วยให้ลมหายใจสดชื่น แต่ยังเป็นยาระงับปวดตามธรรมชาติ ทำให้เปปเปอร์มินท์เป็นการรักษาที่เป็นที่นิยมสำหรับอาการคลื่นไส้และปวดท้อง เปปเปอร์มินท์เหมือนขิง ที่ใช้ได้ในหลายรูปแบบ อาจใส่ในชาร้อน หรือเป็นส่วนผสมของอาหาร หรือเพียงเคี้ยวใบสะระแหน่ ก็จะช่วยเรื่องการย่อยอาหารและกระตุ้นความอยากอาหาร เป็นหนึ่งในวิธีการรักษาอาหารปวดเกร็งจากประจำเดือนอีกด้วย น้ำมะนาวอุ่น นอกจากช่วยให้สดชื่นในวันที่อากาศร้อน เมื่อดื่มแบบเย็นแล้ว น้ำมะนาวอุ่นยังช่วยรักษาอาการปวดท้องได้อีกด้วย คุณอาจสงสัยว่าจะช่วยได้อย่างไร ในเมื่อมะนาวมีฤทธิ์เป็นกรด จริงๆ แล้วน้ำมะนาวช่วยบรรเทาอาการอาหารไม่ย่อย แต่ควรหลีกเลี่ยง หากมีอาการกรดไหลย้อน เมื่อเกิดอาการอาหารไม่ย่อย คุณอาจรู้สึกไม่สบายท้อง น้ำมะนาวจะช่วยกระตุ้นการผลิตกรดออกมาเพื่อช่วยย่อย เพียงแค่บีบมะนาวครึ่งลูกผสมกับน้ำและเติมน้ำตาลเล็กน้อย คุณก็จะได้เครื่องดื่มที่มีประโยชน์ต่ออาการปวดท้อง ไม่ควรใส่มะนาวมากเกินไปหรือน้ำตาลมากเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงอื่นๆ ได้ […]


ปัญหาสุขภาพช่องท้องแบบอื่น

โรคระบบทางเดินอาหารที่พบบ่อย อาจป้องกันได้ด้วยวิธีเหล่านี้

ตั้งแต่อาการท้องอืด ไปจนถึงอาการของโรคกรดไหลย้อน หลายคนคงอาจเคยมีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารมาแล้ว ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนิสัยการกิน และการออกกำลังกาย ถือเป็นวิธีที่ช่วยป้องกันโรคทางระบบอาหาร แต่หากการปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์บางอย่างไม่ทำให้อาการของ โรคระบบทางเดินอาหาร ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์ โรคระบบทางเดินอาหารที่พบบ่อย ระบบทางเดินอาหาร มีหน้าที่ช่วยให้ร่างกายย่อยอาหาร และดูดซึมสารอาหาร วิตามินและแร่ธาตุ รวมถึงช่วยกำจัดของเสียออกจากร่างกาย ซึ่งระบบทางเดินอาหารจะประกอบด้วยอวัยวะดังต่อไปนี้ ปาก หลอดอาหาร ตับ กระเพาะ ถุงน้ำดี ลำไส้ใหญ่และลำไส้เล็ก ตับอ่อน ทวารหนักและไส้ตรง นอกจากนี้ โรคระบบทางเดินอาหารที่พบบ่อย แบ่งเป็นอาการเรื้อรังของทางเดินอาหารส่วนบน และทางเดินอาหารส่วนล่าง ดังนี้ ทางเดินอาหารส่วนบน อาการของทางเดินอาหารส่วนบนอาจหมายถึง การเรอบ่อยเกินไป แสบคอหรือแสบร้อนทรวงอก คลื่นไส้ อาเจียน หรือเจ็บปวดบริเวณท้องส่วนบน ซึ่งมีสาเหตุมาจากโรคระบบทางเดินอาหารที่พบบ่อย ได้แก่ โรคกรดไหลย้อน แผลในกระเพาะอาหาร โรคกระเพาะ อัมพาตกระเพาะ (Gastroparesis) โรคนิ่ว ทางเดินอาหารส่วนล่าง ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นบริเวณทางเดินอาหารส่วนล่าง อาจไม่ได้หมายความว่าจะเกิดจากลำไส้เสมอไป เนื่องจากความเจ็บปวดจากอวัยวะภายในอื่นๆ อาจแผ่ขยายจนทำให้เกิดความเจ็บปวดที่บริเวณอื่น อย่างไรก็ตาม มีความผิดปกติเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารมากมาย ที่สามารถทำให้เกิดอาการที่เกี่ยวกับลำไส้ ได้แก่ เจ็บปวดบริเวณท้องส่วนล่าง ตะคริวในลำไส้ และปัญหาเกี่ยวกับการขับถ่าย ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากโรคระบบทางเดินอาหารที่พบบ่อย ดังนี้ โรคซิลิแอค (Celiac disease) โรคถุงผนังลำไส้ใหญ่ (Diverticular disease) กลุ่มโรคลำไส้อักเสบ (Inflammatory Bowel Disease, IBD) โรคลำไส้แปรปรวน (Irritable Bowel Syndrome, IBS) วิธีป้องกันโรคระบบทางเดินอาหาร ลดการกินอาหารมื้อใหญ่ เมื่อคุณกินอาหารมื้อใหญ่ อาจทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานหนัก ซึ่งสามารถทำให้เกิดอาการกรดไหลย้อนเนื่องจากกรดเกินในกระเพาะ และอาจมีอาการคลื่นไส้ หรืออาเจียนร่วมด้วย […]


ปัญหาสุขภาพช่องท้องแบบอื่น

ตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน (Acute Pancreatitis)

ตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน เป็นอาการอักเสบของตับอ่อนที่มักเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ตับอ่อนทำหน้าที่สร้างน้ำย่อยของตับอ่อน ที่ประกอบด้วยเอนไซม์ที่ช่วยย่อยอาหาร และฮอร์โมนอินซูลิน ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมระดับกลูโคสในร่างกาย หากเกิดปัญหาตับอ่อนอักเสบเฉียบพลันอาจส่งผลกระทบ [embed-health-tool-bmi] คำจำกัดความ ตับอ่อนอักเสบเฉียบพลันคืออะไร ตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน (Acute pancreatitis) เป็นอาการอักเสบของตับอ่อนที่มักเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ตับอ่อนทำหน้าที่สร้างน้ำย่อยของตับอ่อน ที่ประกอบด้วยเอนไซม์ที่ช่วยย่อยอาหาร และฮอร์โมนอินซูลิน ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมระดับกลูโคสในร่างกาย ซึ่งตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน อาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต เนื่องจากอาการแทรกซ้อนหลายประการ และผู้ป่วยประมาณร้อยละ 20 มีอาการขั้นรุนแรง ซึ่งอาจเกิดอาการช็อกและเสียชีวิตได้ ตับอ่อนอักเสบเฉียบพลันพบได้บ่อยเพียงใด ตับอ่อนอักเสบเฉียบพลันค่อนข้างพบได้ทั่วไปคนทุกวัย และมักพบในผู้ชายได้มากกว่าในผู้หญิงเล็กน้อย โรคนี้สามารถจัดการได้โดยลดความเสี่ยง โปรดปรึกษาแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม อาการ อาการของตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน อาการแรกที่ปรากฏคือ อาการปวดท้องที่อาจเรื้อรังเป็นเวลาหลายวัน และมักมีอาการรุนแรง อาการปวดท้องส่วนบนที่ลุกลามไปยังบริเวณหลัง อาจมีอาการรุนแรงขึ้นจากการรับประทาน โดยเฉพาะอาหารที่มีไขมันสูง นอกจากนี้ ยังอาจมีอาการท้องบวมและกดเจ็บได้ อาการอื่นๆ ที่พบได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน มีไข้ และชีพจรเต้นเร็ว อาจมีสิ่งบ่งชี้หรืออาการบางประการที่ไม่ได้กล่าวถึงข้างต้น หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับอาการ โปรดปรึกษาแพทย์ ควรไปพบหมอเมื่อใด หากคุณมีสิ่งบ่งชี้หรืออาการใดๆ ตามที่ระบุข้างต้น หรือมีคำถาม โปรดปรึกษาแพทย์ อย่างไรก็ตาม ร่างกายของแต่ละบุคคลมีการตอบสนองแตกต่างกัน ทางที่ดีที่สุดให้ปรึกษาแพทย์ เกี่ยวกับวิธีรักษาที่ดีที่สุดตามสถานการณ์ของคุณ สาเหตุ สาเหตุของตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน สาเหตุของตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน ได้แก่ สาเหตุที่พบได้มากที่สุดเกิดจากนิ่วในถุงน้ำดี และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผลข้างเคียงจากการใช้ยาตามที่แพทย์สั่งบางชนิด การเข้ารับการผ่าตัดช่องท้อง ผู้ที่มีระดับแคลเซียมในเลือดสูง อาการผิดปกติในลำไส้และตับอ่อน อาการติดเชื้อที่พบได้น้อย เช่น คางทูม […]


ปัญหาสุขภาพช่องท้องแบบอื่น

ติ่งเนื้อในลำไส้ใหญ่ (colon polyp)

ติ่งเนื้อในลำไส้ใหญ่ เป็นการจับตัวเป็นกลุ่มเซลล์ขนาดเล็กของเซลล์บริเวณเยื่อลำไส้ใหญ่ ติ่งเนื้อในลำไส้ใหญ่ส่วนใหญ่มักไม่เป็นอันตราย แต่ในบางครั้ง สามารถกลายเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ คำจำกัดความ ติ่งเนื้อในลำไส้ใหญ่คืออะไร ติ่งเนื้อในลำไส้ใหญ่ (Colon polyp) เป็นการจับตัวเป็นกลุ่มเซลล์ขนาดเล็กของเซลล์บริเวณเยื่อลำไส้ใหญ่ ติ่งเนื้อในลำไส้ใหญ่ส่วนใหญ่มักไม่เป็นอันตราย แต่ในบางครั้ง สามารถกลายเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ ซึ่งมักเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตเมื่อตรวจพบในระยะท้ายๆ สาเหตุของการเกิดติ่งเนื้อในลำไส้ใหญ่โดยส่วนใหญ่ยังไม่ทราบชัดเจน ดังนั้น การตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ เนื่องจากติ่งเนื้อในลำไส้ใหญ่ที่ตรวจพบในระยะเริ่มแรกมักผ่าตัดออกได้ทั้งหมดอย่างปลอดภัย การตรวจคัดกรองติ่งเนื้อในลำไส้ใหญ่เป็นประจำจึงถือเป็นการป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ที่ดีที่สุด ติ่งเนื้อในลำไส้ใหญ่พบบ่อยเพียงใด ติ่งเนื้อในลำไส้ใหญ่สามารถส่งผลได้ต่อคนทุกวัย แต่สามารถจัดการได้โดยลดความเสี่ยง โปรดปรึกษาแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม อาการ อาการของติ่งเนื้อในลำไส้ใหญ่ ติ่งเนื้อในลำไส้ใหญ่ก่อให้เกิดอาการดังนี้ มีเลือดออกทางทวารหนัก อาการนี้เป็นสิ่งบ่งชี้ของทั้งติ่งเนื้อในลำไส้ใหญ่ มะเร็งลำไส้ใหญ่ หรือภาวะอื่นๆ ได้ เช่น ริดสีดวงทวาร และแผลขนาดเล็กที่ทวารหนัก สีอุจจาระเปลี่ยน เนื่อจากมีเลือดปน โดยอาจสังเกตเห็นเป็นรอยสีแดงหรือดำในอุจจาระ อย่างไรก็ตาม สีอุจจาระที่เปลี่ยนไปอาจเกิดจากการกินอาหาร ยา หรืออาหารเสริมบางชนิดได้อีกด้วย การขับถ่ายเปลี่ยนแปลง อาการท้องผูกหรือท้องร่วงเป็นเวลานานกว่าหนึ่งสัปดาห์อาจทำให้เกิดติ่งเนื้อในลำไส้ใหญ่ขนาดใหญ่ได้ อย่างไรก็ตาม ยังมีโรคอื่นๆ ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนนิสัยการขับถ่ายได้เช่นกัน อาการปวด คลื่นไส้ หรืออาเจียน ติ่งเนื้อในลำไส้ใหญ่ขนาดใหญ่สามารถอุดตันลำไส้เป็นบางส่วน ทำให้เกิดอาการปวดตะคริวที่หน้าท้อง คลื่นไส้ และอาเจียนได้ ภาวะเลือดจางจากการขาดธาตุเหล็ก ภาวะเลือดออกจากติ่งเนื้อในลำไส้ใหญ่สามารถเกิดขึ้นได้ทีละน้อยโดยไม่มีเลือดที่สังเกตเห็นได้ในอุจจาระ ภาวะเลือดออกเรื้อรังทำให้ร่างกายขาดธาตุเหล็กซึ่งช่วยให้เซลล์เม็ดเลือดแดงลำเลียงออกซิเจนไปยังร่างกาย เมื่อขาดธาตุเหล็ก ก็ทำให้เกิดภาวะเลือดจางซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกเหนื่อยและหายใจลำบาก อาจมีสิ่งบ่งชี้หรืออาการบางประการที่ไม่ได้กล่าวถึงข้างต้น หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับอาการ โปรดปรึกษาแพทย์ ควรไปพบหมอเมื่อใด คุณควรปรึกษาแพทย์หากมีอาการใดๆ ดังต่อไปนี้ ปวดท้อง มีเลือดปนในอุจจาระ การขับถ่ายเปลี่ยนไปเป็นเวลามากกว่าหนึ่งสัปดาห์ หากคุณมีสิ่งบ่งชี้หรืออาการใด ๆ ตามที่ระบุข้างต้น หรือมีข้อคำถามใดๆ โปรดปรึกษาแพทย์ ร่างกายของแต่ละบุคคลมีการตอบสนองแตกต่างกัน ทางที่ดีที่สุดให้ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับวิธีรักษาที่ดีที่สุดตามสถานการณ์ของคุณ สาเหตุ สาเหตุของติ่งเนื้อในลำไส้ใหญ่ สาเหตุของการเกิดติ่งเนื้อในลำไส้ใหญ่ไม่เป็นที่ทราบชัดเจน แต่อาจเกิดจากการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อผิดปกติ โดยปกติ ร่างกายจะสร้างเซลล์ที่แข็งแรงขึ้นใหม่เป็นระยะเพื่อทดแทนเซลล์เก่าที่เสียหายหรือไม่จำเป็นอีกต่อไป […]


ปัญหาสุขภาพช่องท้องแบบอื่น

โรคตับ (Liver disease)

โรคตับ สามารถถ่ายทอดได้ทางพันธุกรรม หรือเกิดจากปัจจัยหลายประการที่ทำร้ายตับ เช่น ไวรัสชนิดต่างๆ และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โรคอ้วนยังสัมพันธ์กับความเสียหายของตับ คำจำกัดความ โรคตับคืออะไร ตับเป็นอวัยวะ มีขนาดเท่าลูกฟุตบอลโดยประมาณ อยู่บริเวณใต้กระดูกซี่โครงทางด้านขวาของช่องท้อง ตับมีความสำคัญในการย่อยอาหารและการกำจัดสารพิษจากร่างกาย โรคตับ (Liver Disease) สามารถถ่ายทอดได้ทางพันธุกรรม หรือเกิดจากปัจจัยหลายประการที่ทำร้ายตับ เช่น ไวรัสชนิดต่างๆ และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โรคอ้วนยังสัมพันธ์กับความเสียหายของตับ เมื่อเวลาผ่านไป ความเสียหายที่เกิดที่ตับทำให้เกิดภาวะตับแข็งซึ่งสามารถทำให้เกิดภาวะตับล้มเหลวซึ่งเป็นอันตรายต่อชีวิต โรคตับพบบ่อยเพียงใด โรคตับพบได้ค่อนข้างบ่อย โปรดปรึกษาแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม อาการ อาการของโรคตับ อาการทั่วไปของโรคตับ ได้แก่ ผิวหนังและตาเป็นสีเหลือง หรือดีซ่าน (jaundice) มีอาการปวดและบวมในช่องท้อง มีอาการบวมที่ขาและข้อเท้า มีอาการคันที่ผิวหนัง ปัสสาวะมีสีเข้ม อุจจาระมีสีจาง หรืออุจจาระมีเลือดปนหรือมีสีคล้ำ มีอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง คลื่นไส้หรืออาเจียน เบื่ออาหาร เกิดแผลฟกช้ำได้ง่าย อาจมีสิ่งบ่งชี้หรืออาการที่ไม่ได้ระบุไว้ข้างต้น หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับอาการต่างๆ โปรดปรึกษาแพทย์ ควรไปพบหมอเมื่อใด หากคุณมีสิ่งบ่งชี้หรืออาการใดๆ ตามที่ระบุข้างต้น หรือมีคำถาม โปรดปรึกษาแพทย์ ร่างกายของแต่ละบุคคลมีการตอบสนองแตกต่างกัน ทางที่ดีที่สุดให้ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับวิธีรักษาที่ดีที่สุดตามสถานการณ์ของคุณ สาเหตุ สาเหตุของโรคตับ โรคตับมีสาเหตุหลายประการ การติดเชื้อ ปรสิตและไวรัสสามารถทำให้ตับติดเชื้อ นำไปสู่การอักเสบซึ่งจะลดประสิทธิภาพการทำงานของตับ ไวรัสที่ทำให้ตับเสียหายสามารถแพร่กระจายผ่านทางเลือดหรือน้ำอสุจิ ปนเปื้อนในอาหารหรือน้ำ หรืออาจติดต่อผ่านการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่ติดเชื้อ ประเภทของตับติดเชื้อที่พบได้มากที่สุด คือไวรัสตับอักเสบ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ ไวรัสตับอักเสบเอ ไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสตับอักเสบซี ความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน อาการผิดปกติที่เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเข้าโจมตีและทำลายอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกาย หรือที่เรียกว่า “โรคภูมิต้านตนเอง” สามารถส่งผลกระทบต่อตับได้ ตัวอย่างของโรคตับประเภทภูมิต้านตนเอง ได้แก่ โรคตับอักเสบภูมิต้านตนเอง โรคตับแข็งทางเดินน้ำดีปฐมภูมิ ท่อน้ำดีอักเสบแข็งปฐมภูมิ พันธุกรรม ยีนผิดปกติที่ถ่ายทอดมาจากพ่อแม่ ไม่ว่าจะจากคนใดคนหนึ่งหรือทั้งสองคนสามารถทำให้สารหลายชนิดก่อตัวขึ้นในตับซึ่งส่งผลให้ตับเสียหาย โรคตับทางพันธุกรรม ได้แก่ ภาวะธาตุเหล็กเกิน ภาวะอ็อกซาเลตสูงในปัสสาวะและอ็อกซาโลซิส โรควิลสัน (Wilson’s disease) มะเร็งและการก่อตัวของเซลล์อื่นๆ ตัวอย่าง ได้แก่ มะเร็งตับ มะเร็งท่อน้ำดี เนื้องอกที่ตับชนิดอะดีโนมา สาเหตุอื่นๆ สาเหตุอื่นๆ ของโรคตับที่พบได้ทั่วไป ได้แก่ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นเวลานาน การสะสมของไขมันในตับ […]


ปัญหาสุขภาพช่องท้องแบบอื่น

ตับแข็งจากแอลกอฮอล์ (Alcoholic liver cirrhosis)

ตับแข็งจากแอลกอฮอล์  คือแผลเป็นในตับที่เกิดจากพัฒนาของเนื้อเยื่อพังผืด เพื่อมาแทนที่เซลล์ตับที่เสียหายไป โรคตับแข็งไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ คำจำกัดความ ตับแข็งจากแอลกอฮอล์คืออะไร ภาวะตับแข็งจากแอลกอฮอล์ (Alcoholic liver cirrhosis) คือแผลเป็นในตับที่เกิดจากพัฒนาของเนื้อเยื่อพังผืด เพื่อมาแทนที่เซลล์ตับที่เสียหายไป โรคตับแข็งไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แม้จะหยุดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แล้วก็ตาม อาการของ ตับแข็งจากแอลกอฮอล์ ผู้ป่วยโรคตับแข็งในระยะเริ่มแรก อาจไม่มีอาการและมีผลเลือดปกติ แต่ในบางครั้งอาจมีอาการตับหรือม้ามโต อาการตับแข็งขั้นรุนแรงอาจมีอาการ สูญเสียกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย อะนอเร็กเซียหรืออาการคลั่งผอม คลื่นไส้ น้ำหนักลด และมีอาการคัน ตับมักไม่มีขนาดโตขึ้น หรืออาจมีขนาดเล็กลงกว่าปกติ เนื่องจากมีพังผืดที่เกิดขึ้นจากภาวะตับแข็ง อาจมีสิ่งบ่งชี้หรืออาการที่ไม่ได้ระบุไว้ข้างต้น หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับอาการต่างๆ โปรดปรึกษาแพทย์ ควรไปหาแพทย์เมื่อใด หากคุณมีสิ่งบ่งชี้หรืออาการใดๆ ตามที่ระบุข้างต้น หรือมีคำถาม โปรดปรึกษาแพทย์ ร่างกายของแต่ละบุคคล มีการตอบสนองแตกต่างกัน ทางที่ดีที่สุดให้ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับวิธีรักษาที่ดีที่สุดตามสถานการณ์ของคุณ สาเหตุ สาเหตุของตับแข็งจากแอลกอฮอล์ ความเสียหายของตับจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปเป็นประจำ จนทำให้เกิดภาวะตับแข็ง เมื่อเนื้อเยื่อตับเริ่มเกิดแผลเป็น  ตับไม่สามารถทำงานได้ดีเช่นปกติ ดังนั้น ร่างกายจึงไม่สามารถสังเคราะห์โปรตีนที่เพียงพอ หรือกรองสารพิษออกจากเลือดได้อย่างที่ควรจะเป็น ภาวะตับแข็งเกิดจากสาเหตุหลายประการ อย่างไรก็ดี ภาวะตับแข็งจากแอลกอฮอล์ สัมพันธ์กับการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยตรง ปัจจัยเสี่ยง ปัจจัยเสี่ยงของ ตับแข็งจากแอลกอฮอล์ ปัจจัยความเสี่ยงสำหรับภาวะตับแข็งจากแอลกอฮอล์มีหลายประการ เช่น การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากกว่า 5 แก้วต่อวันสำหรับผู้ชาย หรือมากกว่า 1.5 แก้วสำหรับผู้หญิง ผู้ที่ดื่มเป็นประจำ ติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปี หรือมากกว่า จะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดตับแข็งร้อยละ […]


ปัญหาสุขภาพช่องท้องแบบอื่น

ตับวายหรือตับล้มเหลว (Liver failure)

ตับวายหรือตับล้มเหลว เป็นภาวะที่ไตได้รับความเสียหาย เป็นบริเวณกว้างเกินกว่าที่จะรักษาได้ และตับไม่สามารถทำงานได้อีกต่อไป ตับวายเป็นภาวะที่เป็นอันตรายต่อชีวิต ที่ต้องการการรักษาอย่างเร่งด่วน   คำจำกัดความตับวายหรือตับล้มเหลว คืออะไร ตับวาย หรือ ตับล้มเหลว (Liver failure) เป็นภาวะที่ตับได้รับความเสียหาย เป็นบริเวณกว้างเกินกว่าที่จะรักษาได้ และตับไม่สามารถทำงานได้อีกต่อไป ตับวายเป็นภาวะที่เป็นอันตรายต่อชีวิต ที่ต้องการการรักษาอย่างเร่งด่วน มักเกิดขึ้นทีละน้อยแต่ติดต่อกันเป็นเวลาหลายปี อย่างไรก็ดี  อาจพบการเกิดภาวะตับวายเฉียบพลัน (acute liver failure) ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วภายใน 48 ชั่วโมง ซึ่งสามารถตรวจพบในระยะเริ่มแรกได้ยาก ตับวายหรือตับล้มเหลว พบได้บ่อยเพียงใด ผู้ชายมีโอกาสเป็นได้มากกว่าผู้หญิง อย่างไรก็ดี สามารถจัดการได้โดยลดความเสี่ยง โปรดปรึกษาแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม อาการอาการของ ตับวายหรือตับล้มเหลว ตับวายมีอาการแตกต่างกันตามระยะของโรค ในระยะเริ่มแรกอาจไม่มีอาการใดๆ และวินิจฉัยได้ยาก เมื่อมีอาการแย่ลง อาจมีอาการต่างๆ ได้แก่ ไม่มีแรงจนถึงขั้นเป็นโรคอ่อนเพลีย เลือดออกได้ง่าย เป็นแผลฟกช้ำได้ง่าย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด หรือน้ำหนักขึ้นกะทันหัน ผิวหรือตาขาวเป็นสีเหลือง (ดีซ่าน) มีอาการคันที่ผิวหนัง มีอาการบวมน้ำและบวมที่ข้อเท้า ขา และช่องท้อง (มักเป็นสัญญาณบ่งชี้เริ่มแรก) ปัสสาวะมีสีน้ำตาลหรือสีส้ม อุจจาระมีสีจาง มึนงง สมาธิสั้น และบุคลิกภาพเปลี่ยน มีเลือดปนในอุจจาระ มีไข้ คลื่นไส้ มีเส้นเลือดขอดที่ผิวหนัง หน้าอกโตในผู้ชาย อาจมีสิ่งบ่งชี้หรืออาการที่ไม่ได้ระบุไว้ข้างต้น หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับอาการต่างๆ โปรดปรึกษาแพทย์ ควรไปพบหมอเมื่อใด หากคุณมีสิ่งบ่งชี้หรืออาการใดๆ ตามที่ระบุข้างต้น หรือมีคำถาม โปรดปรึกษาแพทย์ ร่างกายของแต่ละบุคคลมีการตอบสนองแตกต่างกัน ทางที่ดีที่สุดให้ปรึกษาแพทย์ เกี่ยวกับวิธีรักษาที่ดีที่สุดตามสถานการณ์ของคุณ สาเหตุสาเหตุของการเกิดภาวะตับวายหรือตับล้มเหลว โรคตับอักเสบซี ไขมันพอกตับ และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นสาเหตุของภาวะตับวายที่พบได้มากที่สุด แต่ก็มีสาเหตุอื่นที่ทำให้ตับเสียหายนำไปสู่ภาวะเกิดตับวายได้ ซึ่งได้แก่ ภาวะไขมันพอกตับที่สัมพันธ์กับโรคอ้วนและโรคเบาหวาน การติดเชื้อไวรัสที่ตับเรื้อรัง […]


ปัญหาสุขภาพช่องท้องแบบอื่น

ไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ (Nonalcoholic fatty liver)

คำจำกัดความไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ คืออะไร ภาวะไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ (Nonalcoholic fatty liver หรือ nonalcoholic steatohepatitis) เป็นคำเรียกชื่อโรคสำหรับผู้ได้รับผลจากภาวะผิดปกติของตับ จากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณน้อย หรือไม่ได้ดื่มเลย ลักษณะเฉพาะของภาวะไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ คือ มีไขมันสะสมที่เซลล์ตับมากเกินไป ภาวะไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ขั้นรุนแรง สังเกตได้จากอาการตับอักเสบขั้นรุนแรง ซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดแผลเป็น และสร้างความเสียหายแก่ตับที่ไม่สามารถรักษาได้ ความเสียหายดังกล่าวคล้ายคลึงกับความเสียหายที่เกิดจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก ความรุนแรงสูงขั้นสูงสุดของภาวะไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ คือ โรคตับแข็ง และภาวะตับวาย หากไม่ได้รับการรักษา โรคตับแข็งสามารถก่อให้เกิดอาการดังต่อไปนี้ อาการของโรคตับแข็ง มีน้ำในช่องท้อง อาการบวมที่หลอดเลือดในหลอดอาหาร ซึ่งอาจแตกและมีเลือดออกได้ มึนงง ง่วงซึม และพูดไม่ชัด มะเร็งตับ ตับวายระยะสุดท้าย ซึ่งหมายความว่า ตับหยุดทำงาน สำหรับผู้ป่วยบางราย อาจมีอาการอื่นนอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้น หากมีข้อสงสัยใดๆ โปรดปรึกษาแพทย์ ไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ พบได้บ่อยแค่ไหน ภาวะไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์พบได้บ่อยมาก และสามารถส่งผลต่อผู้ป่วยได้ในทุกช่วงอายุ โดยเฉพาะในช่วงอายุ 40 และ 50 ปี ซึ่งมีความเสี่ยงสูงในการเกิดโรคหัวใจเนื่องจากความเสี่ยงต่างๆ เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวานชนิดที่ 2 อย่างไรก็ดี ไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์สามารถจัดการได้ด้วยการลดปัจจัยเสี่ยง โปรดปรึกษาแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม อาการอาการของ ไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ อาการที่พบได้ทั่วไปของภาวะไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ ได้แก่ ตับโต อ่อนเพลีย ปวดท้องด้านขวาบน สัญญาณบ่งชี้และอาการที่เป็นไปได้ของภาวะไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ และโรคตับแข็งที่เกิดจากแผลเป็นขั้นรุนแรง ได้แก่ ท้องบวม (มีน้ำในท้อง) หลอดเลือดโต ใต้ผิวหนัง หน้าอกโตในผู้ชาย ม้ามโต ฝ่ามือแดง ผิวหนังและตาเหลือง (ดีซ่าน) สำหรับผู้ป่วยบางราย อาจมีอาการอื่นนอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้น หากมีข้อสงสัยใดๆ โปรดปรึกษาแพทย์ ควรไปพบคุณหมอเมื่อใด หากคุณมีสัญญาณหรืออาการที่ระบุข้างต้น […]


ปัญหาสุขภาพช่องท้องแบบอื่น

ตับโต อาการ สาเหตุ และการรักษา

ตับโต เป็นภาวะที่ตับมีขนาดใหญ่กว่าปกติ ซึ่งอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แพ้ยา ติดเชื้อไวรัสหรือเชื้อแบคทีเรีย มะเร็งตับ ไขมันในตับ ส่งผลให้มีอาการอาเจียน น้ำหนักลด อ่อนเพลีย แน่นท้อง หากไม่ได้รับการรักษาอาจส่งผลกระทบต่อตับในระยะยาวจนอาจทำให้ตับเสียหายได้ ดังนั้น จึงควรหมั่นสังเกตตัวเองอย่างสม่ำเสมอ เมื่อพบความปกติควรเข้าพบคุณหมอเพื่อทำการตรวจนิจฉัยและทำการรักษา [embed-health-tool-bmi] คำจำกัดความ ตับโต คืออะไร ตับโต (Hepatomegaly) คือ ภาวะที่ตับมีขนาดใหญ่กว่าปกติ ในผู้ป่วยบางรายอาจส่งผลให้ตับและม้ามมีขนาดโตขึ้นพร้อมกัน โดยจะเรียกว่า ภาวะตับและม้ามโต (Hepatosplenomegaly) ตับเป็นอวัยวะหนึ่งในระบบย่อยอาหาร ที่ช่วยกระบวนการย่อยอาหาร และทำหน้าที่สำคัญอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น สร้างน้ำดีเพื่อช่วยสลายอาหารให้เป็นพลังงาน สังเคราะห์สารเคมีที่จำเป็นไม่ว่าจะเป็นฮอร์โมนต่าง ๆ ช่วยกำจัดสารพิษต่าง ๆ จากเส้นเลือด เช่น สารพิษจากยา เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาเสพติด นอกจากนี้ ยังช่วยควบคุมการสะสมไขมัน รวมทั้งการสร้างและปลดปล่อยคอเลสเตอรอล อาการ อาการของตับโต สัญญาณบ่งชี้และอาการของตับโต อาจมีดังนี้ อาการปวดบริเวณช่องท้องด้านขวาบน อ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อ คลื่นไส้ เบื่ออาหารและน้ำหนักลด ผิวหนังและตาขาวเป็นสีเหลือง (ดีซ่าน) ภาวะตับโตอาจเกิดจากโรคต่าง ๆ ที่รุนแรง หากไม่เข้ารับการรักษาอาจทำให้เกิดอาการแทรกซ้อนขั้นรุนแรง ดังนี้ […]


ปัญหาสุขภาพช่องท้องแบบอื่น

ถ่ายเป็นเลือด (Rectal Bleeding)

อาการที่มีเลือดออกทางทวารหนัก หรือ ถ่ายเป็นเลือด (Rectal Bleeding) ส่วนใหญ่มักได้รับการสันนิษฐานว่า เป็นเลือดที่ไหลมาจากลำไส้ส่วนล่างหรือไส้ตรง คำจำกัดความถ่ายเป็นเลือด คืออะไร อาการถ่ายเป็นเลือด (Rectal Bleeding) หรือเลือดออกทางทวารหนัก หรืออุจจาระมีเลือดปน คืออาการที่มีเลือดไหลผ่านออกมาทางทวารหนัก ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นเลือดที่ไหลจากลำไส้ส่วนล่างหรือลำไส้ตรง (Rectum) อาการถ่ายเป็นเลือด อาจอยู่ในรูปแบบของเลือดที่ปนอยู่ในอุจจาระ ในกระดาษชำระ หรือในโถส้วม โดยเลือดที่เกิดจากภาวะถ่ายเป็นเลือดมักเป็นสีแดงสด แต่บางครั้งก็เป็นสีแดงอมน้ำตาล ถ่ายเป็นเลือด พบได้บ่อยเพียงใด อาการถ่ายเป็นเลือด ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก แต่จะพบได้ในผู้ที่มีปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร ระบบขับถ่าย เช่น ท้องผูก อุจจาระแข็ง ริดสีดวงทวาร สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมโปรดปรึกษาคุณหมอ อาการอาการ ถ่ายเป็นเลือด มีอะไรบ้าง อาการที่ชัดเจนที่สุดของ อาการถ่ายเป็นเลือด คือ มีเลือดสีแดงติดมากับกระดาษชำระที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน หรือมีเลือดปนออกมากับอุจจาระในชักโครกหรือโถส้วม อย่างไรก็ตาม จำเป็นที่จะต้องสังเกตสีของเลือดและสีอุจจาระอยู่เสมอ เนื่องจากสามารถบ่งชี้ถึงลักษณะอาการต่าง ๆ ได้ เลือดสีแดงสด บ่งชี้ถึงอาการเลือดออกในบริเวณทางเดินอาหารส่วนล่าง เช่น ลำไส้หรือไส้ตรง เลือดสีแดงคล้ำ หรือสีเหมือนไวน์ บ่งชี้ถึงอาการเลือดออกในบริเวณลำไส้เล็ก หรือลำไส้ส่วนต้น อุจจาระสีดำและคล้ำ บ่งชี้ถึงอาการเลือดออกจากกระเพาะอาหาร หรือลำไส้เล็กส่วนบน อาการอื่น ๆ ที่พบได้ในภาวะถ่ายเป็นเลือด ได้แก่ ความงุนงง หน้ามืด เวียนศีรษะ ปวดบริเวณลำไส้ตรง (Rectal pain) ปวดในช่องท้องหรือเป็นตะคริว (cramping) อาจมี […]

advertisement iconโฆษณา
advertisement iconโฆษณา
advertisement iconโฆษณา

ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของเรา

ทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของ Hello คุณหมอ ประกอบไปด้วยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มาร่วมสร้างสรรค์บทความในเว็บไซต์ของเราตามความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญของเราจะช่วยรับรองว่าข้อมูลด้านสุขภาพของเราถูกต้อง เป็นปัจจุบัน และตรงตามหลักฐานจากงานวิจัยล่าสุด
ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรามุ่งมั่นเต็มที่ในการช่วยให้คุณได้รับข้อมูลและความรู้ด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือ เข้าใจง่าย และเป็นประโยชน์ และพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพกับคุณเสมอ เพื่อให้คุณได้รับทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น

ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม
ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม