ปัญหาสุขภาพช่องท้องแบบอื่น

นอกเหนือจากปัญหาที่เกิดขึ้นกับกระเพาะอาหาร ลำไส้ และตับ ยังมี ปัญหาสุขภาพช่องท้องแบบอื่น อีกมากที่เราควรให้ความสนใจดูแล เพื่อช่วยรักษาสุขภาพของร่างกายเราให้แข็งแรง ห่างไกลโรคภัย และช่วยให้เราใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข

เรื่องเด่นประจำหมวด

ปัญหาสุขภาพช่องท้องแบบอื่น

เจ็บท้องข้างซ้าย เกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง

เจ็บท้องข้างซ้าย เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นอาหารไม่ย่อย ไส้เลื่อน งูสวัด หรือเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ ควรสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด หากอาการรุนแรงขึ้น หรือเกิดร่วมกับอาการอื่น เช่น เลือดออกปนมากับปัสสาวะหรืออุจจาระ ควรไปพบคุณหมอ [embed-health-tool-bmi] เจ็บท้องข้างซ้าย มีสาเหตุจากอะไร เจ็บท้องข้างซ้าย เป็นอาการป่วยที่พบได้ทั่วไปและเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ดังต่อไปนี้ ถุงผนังลำไส้อักเสบ เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของการเจ็บท้องข้างซ้าย โดยเกิดจากการฉีกขาดหรือติดเชื้อของถุงผนังลำไส้ โดยจะมีอาการเจ็บท้องเป็นเวลาหลายวัน ร่วมกับมีไข้ ท้องผูก และคลื่นไส้ ทั้งนี้ ถุงผนังลำไส้อักเสบในระดับไม่รุนแรงอาจหายเองได้หากพักผ่อนและรับประทานยาปฏิชีวนะ อาหารไม่ย่อย มักเกิดขึ้นหลังมื้ออาหาร และจะหายไปเองภายใน 2-3 ชั่วโมง มักเกิดบริเวณหน้าท้องส่วนบน ร่วมกับอาการอื่น ๆ เช่น ท้องอืด มีลมในท้อง เสียดท้อง ไส้เลื่อน หมายถึง การที่อวัยวะในช่องท้อง เช่น ลำไส้ ยื่นออกนอกช่องท้อง ทำให้มีก้อนบวมบริเวณหน้าท้องหรือขาหนีบ รวมถึงรู้สึกเจ็บรุนแรงในบริเวณดังกล่าวมากขึ้นเรื่อย ๆ งูสวัด เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสวาริเซลาซอสเตอร์ (Varicella Zoster Virus) ซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคอีสุกอีใส เมื่อเป็นโรคงูสวัด จะพบผื่นและตุ่มน้ำใสขึ้นตามร่างกาย และในบางรายอาจมีอาการ เจ็บท้องข้างซ้ายร่วมด้วย […]

สำรวจ ปัญหาสุขภาพช่องท้องแบบอื่น

ปัญหาสุขภาพช่องท้องแบบอื่น

ความแตกต่างของ โรคตับชนิดต่างๆ มีอะไรบ้างที่ควรรู้

โรคตับ (Hepatic disease) เป็นโรคที่เกิดจากการที่ตับได้รับบาดเจ็บ หรือเกิดแผลเป็นแบบถาวร จนทำให้เป็นพังผืดขึ้นในเนื้อตับ ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของลดลง และส่งผลร้ายต่อสุขภาพร่างกายโดยรวม โรคตับมีหลายชนิดและเกิดจากสาเหตุที่แตกต่างกัน บทความนี้ Hello คุณหมอ จะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับ โรคตับชนิดต่างๆ กันค่ะ โรคตับชนิดต่างๆ แบ่งตามสาเหตุการเกิดโรค โรคไวรัสตับอักเสบ  โรคตับที่มีสาเหตุจากแอลกอฮอล์ โรคตับที่มีสาเหตุจากพิษ หรืออาหารเป็นพิษ โรคตับที่มีสาเหตุจากโรคไขมันในเลือดสูง (Dyslipidemia) ซึ่งเปลี่ยนรูปแบบการทำงานของตับ โรคตับที่มีสาเหตุจากมะเร็งตับ  โรคตับชนิดต่างๆ โรคไวรัสตับอักเสบเอ โรคไวรัสตับอักเสบเอ (Hepatitis A) จัดเป็นหนึ่งในประเภทของโรคตับ มีสาเหตุจากเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ (HAV) ตัวโรคสามารถแพร่กระจายได้ผ่านอาหารหรือน้ำดื่มที่ปนเปื้อนสิ่งปฏิกูลที่ติดเชื้อ โดยทั่วไปแล้ว สามารถได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบเอจากปัจจัยดังต่อไปนี้ รับอาหารมาจากคนที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ ซึ่งอาจมีการสัมผัสกับปัสสาวะหลังจากเข้าห้องน้ำ และไม่ได้ล้างมือ มีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักหรือทางปาก กับผู้ที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ ไม่ล้างมือหลังจากเปลี่ยนผ้าอ้อม ดื่มน้ำที่มีการปนเปื้อนเชื้อไวรัสตับอักเสบ โรคไวรัสตับอักเสบบี โรคไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B) จัดเป็นหนึ่งในประเภทของโรคตับ มีสาเหตุจากเชื้อไวรัสตับ อักเสบบี (HBV) ไวรัสตับอักเสบบี สามารถแพร่กระจายได้ผ่านการสัมผัสเลือด หรืออสุจิของผู้ติดเชื้อ หรือของเหลวจากร่างกายผู้อื่น นอกจากนี้ การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีในหญิงตั้งครรภ์จะทำให้ทารกที่เกิดมาติดเชื้อไปด้วย ถ้าป่วยเป็นโรคไวรัสตับอักเสบบี (HBV) ก็อาจเกิดอาการมีไข้ แต่ในบางรายก็ไม่เกิดอาการใด ๆ การตรวจเลือด คือวิธีที่แน่นอนในการพิสูจน์ว่าป่วยเป็นโรคไวรัสตับอักเสบบีหรือไม่ ซึ่งโดยปกติแล้ว ผู้ป่วยสามารถฟื้นตัวจากโรคไวรัสตับอักเสบบีได้ภายในเวลาไม่กี่เดือน แต่ถ้าอาการไม่ดีขึ้น ก็อาจเป็นโรคไวรัสตับอักเสบบีชนิดเรื้อรัง ซึ่งตัวโรคจะคงอยู่ไปตลอดชีวิต นอกจากนี้ โรคไวรัสตับอักเสบบีชนิดเรื้อรังยังสามารถนำมาสู่การเกิดแผลในตับ เกิดความเสียหายในตับ รวมถึงเกิดมะเร็งตับได้อีกด้วย ภาวะดีซ่าน ดีซ่าน […]


ปัญหาสุขภาพช่องท้องแบบอื่น

มีเซ็กส์แบบฉลาด ให้แคล้วคลาดจากเชื้อ ไวรัสตับอักเสบซี

ไวรัสตับอักเสบซี  มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิด ซี (HCV) โรคนี้สามารถติดต่อจากคนสู่คนโดยผ่านหลายช่องทาง เช่น การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน จากการศึกษาพบว่า คนจำนวน 1 จาก 190,000 จากกลุ่มตัวอย่าง ติดเชื้อนี้จากการมีเพศสัมพันธ์ โดยข้อมูลดังต่อไปนี้ จะไขขอข้องใจเกี่ยวกับการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบจากเพศสัมพันธ์ [embed-health-tool-bmr] คุณสามารถติดเชื้อ ไวรัสตับอักเสบซี ได้อย่างไรบ้าง การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบมักไม่แสดงอาการ จนกระทั่งเป็นการติดเชื้อเรื้อรัง โดยทั่วไป คนส่วนใหญ่มักไม่ทราบว่าติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี จนตับถูกทำลายไปมากแล้ว จนเพิ่งมาตรวจพบเมื่อหลายสิบปีผ่านไป คุณอาจติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีในกรณีดังต่อไปนี้ ใช้เข็มที่ไม่ผ่านการฆ่าเชื้อร่วมกัน โดยเฉพาะผู้ใช้สารเสพติด เช่น ผู้เสพเฮโรอีน ติดจากแม่สู่ลูกระหว่างคลอด ถูกเข็มที่ผู้ติดเชื้อใช้ทิ่ม ใช้อุปกรณ์ส่วนตัวร่วมกับผู้ติดเชื้อ เช่น มีดโกน และ แปรงสีฟัน เพศสัมพันธ์ทำให้เกิดการติดเชื้อได้ แม้จะเกิดขึ้นไม่มาก และผู้ที่ติดเชื้อมีความเสี่ยงการติดเชื้อเอชไอวีเพิ่มขึ้นด้วย ความเสี่ยงเกี่ยวกับเพศสัมพันธ์กับการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีเกิดจากกิจกรรมทางเพศ ดังนี้ มีคู่นอนหลายคน ติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ติดเชื้อเอชไอวี มีเพศสัมพันธ์ที่รุนแรง มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน เช่น ไม่ใช้ถุงยางอนามัยหรือแผ่นยางอนามัย ไม่มีการป้องกันที่เหมาะสม ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นโดยการติดเชื้อทางเลือด แม้ว่าเชื้อไวรัสตับอักเสบซีจะสามารถตรวจพบได้ในน้ำคัดหลั่ง การติดเชื้ออาจเกิดขึ้นจากแผลเปิด หรือรอยแตกบริเวณผิวหนัง การสัมผัสทางผิวหนังระหว่างการร่วมเพศสามารถทำให้เกิดการติดเชื้อผ่านทางเลือดได้ ในหลายกรณี พบว่ามีการติดเชื้อเอชไอวีร่วมกับการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี จากการสำรวจ ผู้ที่ใช้เข็มฉีดยาจำนวนร้อยละ […]


ปัญหาสุขภาพช่องท้องแบบอื่น

จะรู้ได้ไงว่าตับกำลังไม่สบาย รู้ทัน สัญญาณโรคตับ ก่อนสายเกิน

ตามสถิติแล้ว ประชากรมากกว่าหนึ่งในสามต้องทนทุกข์จากโรคตับ ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักตรวจไม่พบในระยะแรกเริ่ม จึงนำมาสู่ภาวะแทรกซ้อนที่อันตราย ต่อไปนี้คือ สัญญาณโรคตับ ที่อาจจำเป็นต้องได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างเร่งด่วนที่สุด สัญญาณโรคตับ มีอะไรบ้าง หากป่วยเป็นโรคตับ ปกติแล้วร่างกายจะแสดงอาการที่มีลักษณะของเฉพาะของโรค อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยกว่า 2 ใน 3 กลับไม่แสดงอาการ หรือไม่เช่นนั้น ก็มักจะสับสนกับสภาวะอื่นๆ โดยทั่วไปแล้ว สัญญาณที่บอกถึงอาการของโรคตับ มีดังต่อไปนี้ ลมหายใจมีกลิ่นเหม็น เรื่องธรรมดาอย่างการมีลมหายใจมีกลิ่นเหม็น อาจเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงโรคตับได้ โดยปกติแล้วถ้าตับทำงานได้ไม่ดี ปากก็จะมีกลิ่นเหม็น สภาวะนี้เกิดขึ้นจากการที่ร่างกายผลิตแอมโมเนียมากเกินไปนั่นเอง อ่อนเพลีย ความเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย คือสัญญาณของโรคตับ ผู้ป่วยโรคตับมักมีอาการอ่อนเพลีย ปวดเมื่อยร่างกาย มีการเคลื่อนไหวที่เฉื่อยชา บ่อยครั้งที่อาการนี้มักจะทำให้สับสนกับอาการของโรคอื่นๆ โรคระบบทางเดินอาหารผิดปกติ ตับคืออวัยวะสำคัญในระบบการเผาผลาญอาหาร ถ้าตับเกิดความเสียหาย การย่อยอาหารก็จะยากขึ้น ผู้ป่วยโรคตับมักมีอาการของโรคระบบทางเดินอาหาร เช่น คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ถ้าอาการหนัก ก็อาจมีสัญญาณของอุจจาระเหลือง และปัสสาวะกลายเป็นสีเทาหรือสีคล้ำ ในผู้ป่วยโรคตับระยะสุดท้าย อาจมีภาวะหลอดเลือดแตก ในหลอดอาหาร ลำไส้ และกระเพาะอาหาร ก่อให้เกิดการอาเจียนเหรือขับถ่ายเป็นเลือด มีไข้อ่อนๆ ในช่วงบ่าย การเป็นไข้ คือปฏิกิริยาตอบสนองทั่วไปของร่างกายต่อสิ่งรบกวนภายนอก เช่น สภาพอากาศ การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิอย่างกะทันหัน รวมถึงสิ่งรบกวนภายในร่างกาย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การมีไข้อ่อนๆ โดยเฉพาะในช่วงบ่ายบ่อยผิดปกติ ก็เป็นสิ่งที่ชะล่าใจไม่ได้ […]


ปัญหาสุขภาพช่องท้องแบบอื่น

ข้อควรรู้เกี่ยวกับประเภทของ การตรวจการทำงานของตับ (LFTs)

การตรวจการทำงานของตับ (LFTs) คือการตรวจที่ช่วยให้คุณหมอสามารถวิเคราะห์ว่าตับมีปัญหาหรือไม่ แต่การตรวจการทำงานของตับโดยทั่วไปมักจะใช้ตรวจสอบสภาวะการทำงานของตับโดยรวมเท่านั้น โดยบางครั้ง ค่าที่ได้อาจไม่ได้แม่นยำเท่าใดนักเนื่องจากไม่ได้ตรวจสอบการทำงานของตับอย่างครอบคลุม โดยทั่วไป การตรวจการทำงานของตับ LFTs สามารถแบ่งแยกย่อยเป็น 3 ประเภทหลักดังต่อไปนี้ การตรวจการทำงานของตับ แบ่งออกเป็นประเภทใดบ้าง 1. การตรวจค่าบิลิรูบิน (Bilirubin) บิลิรูบิน คือ สารชนิดหนึ่งที่เกิดจากการสลายของฮีโมโกลบิน โดยกลายเป็นเอนไซม์ที่มีธาตุเหล็กเป็นส่วนประกอบ โดยร้อยละ 95 ของบิลิรูบิน ถูกผลิตขึ้นเพราะเซลล์เม็ดเลือดแดงหมดอายุขัย สามารถแบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือ 1.บิลิรูบินชนิด Unconjugated 2.บิลิรูบินชนิด Conjugated บิลิรูบินชนิด Unconjugated เรียกอีกชื่อหนึ่งว่าบิลิรูบินแบบทางอ้อม จัดเป็นสารละลายในไขมัน ซึ่งจะจับตัวกับพลาสมาอัลบูมิน (Albumin) ก่อนที่จะลอยไปถึงตับ แต่เมื่อลอยมาถึงตับแล้ว บิลิรูบินชนิด Unconjugated ก็จะถูกเรียกชื่อใหม่เป็นชนิด Conjugated ซึ่งมีการผสมกับกรดกลูคูโรนิก (glucuronic acid) เรียบร้อยแล้ว บิลิรูบินชนิดนี้เรียกได้อีกแบบว่าเป็นบิลิรูบินแบบทางตรง ซึ่งเป็นสารที่ละลายน้ำได้ และสามารถขนส่งผ่านทางท่อน้ำดี การเพิ่มจำนวนของบิลิรูบินชนิด Unconjugated อาจไม่ได้เกิดจากโรคตับ แต่อาจเกิดขึ้นได้จากหลายกรณี ทั้งจากการแตกตัวของเม็ดเลือดแดง (hemolysis) การที่เม็ดเลือดแดงตัวอ่อนตายตั้งแต่ในไขกระดูก (ineffective erythropoiesis) หรือการดูดซึมกลับจากภาวะเลือดออกในเนื้อเยื่อ การมีบิลิรูบินในเซลล์ตับ (กลุ่มอาการ […]


ปัญหาสุขภาพช่องท้องแบบอื่น

ดื่มแอลกอฮอล์ มากเกินไป ทำร้ายตับอย่างไรบ้าง

การ ดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องในโอกาสพิเศษ หรือบางครั้งก็ไม่ได้เกี่ยวกับโอกาสใด ๆ กลายเป็นวัฒนธรรมที่ฝังรากลึกในสังคมไทยไปเสียแล้ว แต่การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ๆ สามารถก่อให้เกิดปัญหาได้ในหลายด้าน นอกจากจะนำไปสู่ปัญหาทางสังคมแล้ว ยังสร้างความเสียหายต่อสุขภาพได้ด้วย โดยเฉพาะโรคตับ เพราะเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ถือเป็นปัญหาสำคัญของโรคตับเลยก็ว่าได้ ร่างกายดูดซึมแอลกอฮอล์อย่างไร เมื่อคุณดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แอลกอฮอล์จะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดผ่านทางกระเพาะอาหารและเยื่อบุลำไส้อย่างรวดเร็ว เลือดทั้งหมดที่อยู่ในทางเดินอาหารจะถูกส่งผ่านไปยังตับก่อนกลับมาที่หัวใจ ด้วยเหตุนี้ ตับจึงต้องเจอกับแอลกอฮอล์ปริมาณมาก เซลล์ตับจะมีระบบเอนไซม์ช่วยแปรรูปและขนส่งแอลกอฮอล์ผ่านการทำปฏิกิริยาทางเคมี ซึ่งสุดท้ายจะได้คาร์บอนไดออกไซด์และน้ำ ที่ถูกปล่อยออกมาในปัสสาวะและเข้าสู่ปอด แต่ความสามารถของตับนั้นมีจำกัด ในทุก ๆ ชั่วโมง ตับสามารถรับมือกับแอลกอฮอล์ได้ในปริมาณน้อยนิดเท่านั้น มีงานวิจัยเปิดเผยว่า นักวิทยาศาสตร์ได้แนะนำจำนวนแอลกอฮอล์ที่เหมาะสมต่อบุคคลทั่วไป คือ ควรดื่ม 1-2 ยูนิตต่อวันเท่านั้น 1 ยูนิตในที่นี้เท่ากับแอลกอฮอล์ 40 ดีกรี ปริมาณ 25 มล. และแอลกอฮอล์ 20 ดีกรี ปริมาณ 50 มล. นอกจากนี้ ผู้ป่วยโรคพิษสุราเรื้อรัง และผู้ที่ดื่มสุรามากเกินไป ก็อาจก่อให้เกิดโรคตามมาได้ เช่น โรคไขมันพอกตับ โรคตับอักเสบ โรคตับแข็ง โรคทั้ง 3 ชนิดนี้สามารถเกิดขึ้นได้พร้อมกัน หรือค่อย ๆ […]


ปัญหาสุขภาพช่องท้องแบบอื่น

วิตามินบำรุงตับ 5 ชนิด ที่ช่วยไม่ให้ตับทำงานหนักเกินไป

ตับมีหน้าที่คัดกรองสารพิษหลายร้อยชนิดที่พบอยู่ในอาหารและสภาพแวดล้อม ยิ่งไปกว่านั้น ตับยังมีส่วนในการช่วยย่อยอาหาร และสร้างพลังงานไปเลี้ยงอวัยวะอื่นๆ ของร่างกาย เมื่อตับต้องทำงานหนักเพื่อร่างกายเราหนักขนาดนี้ เราก็ควรแบ่งเบาภาะตับด้วยการรับประทานอาหารที่มีวิตามินและแร่ธาตุ หากอาหารที่รับประทานมีวิตามินและแร่ธาตุไม่เพียงพอ ก็สามารถทานอาหารเสริมเป็นการช่วยเหลือได้เช่นกัน ต่อไปนี้คือรายชื่อ วิตามินบำรุงตับ 5 ชนิดที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของตับมากขึ้น [embed-health-tool-bmr] วิตามินเอและธาตุเหล็ก การขาด วิตามินเอ และ ธาตุเหล็ก เป็นหนึ่งในข้อบกพร่องทางโภชนาการที่พบได้ทั่วโลก ตามข้อมูลการวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารโภชนาการฉบับปี 2000 วิตามินเออาจลดระดับธาตุเหล็กและทำให้เป็นโรคโลหิตจาง ส่วนภาวะธาตุเหล็กต่ำ ก็อาจนำไปสู่การขาดวิตามินเอในตับ และจากการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสารโภชนาการระดับนานาชาติระบุว่า การได้รับวิตามินเอคู่กับธาตุเหล็กเพิ่มขึ้นนั้นช่วยแก้ปัญหาโรคโลหิตจางและภาวะขาดธาตุเหล็กได้ดีกว่าการรับประทานธาตุเหล็กหรือวิตามินเอเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง อย่างไรก็ตาม แม้วิตามินเอ จะมีประโยชน์หลายอย่างต่อผู้ที่ป่วยโรคตับ ก็อาจส่งผลเสียต่อตับได้หากได้รับในปริมาณสูงเกินไป ยกตัวอย่างเช่น ธาตุเหล็กอาจเป็นเหตุให้เกิดรอยแผลเป็นในเนื้อตับ เพราะฉะนั้น ผู้ที่เป็นโรคตับเรื้อรัง โดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคตับแข็ง จึงควรรับประทานวิตามินรวมที่ไม่มีธาตุเหล็กเป็นส่วนประกอบ เว้นแต่แพทย์จะพิจารณาว่าผู้ป่วยมีอาการขาดธาตุเหล็กเท่านั้น วิตามินดี จากการวิจัยของมหาวิทยาลัยเทนเนสซี่ในเมืองเมมฟิส สหรัฐอเมริกา กว่าร้อยละ 90 ของผู้ที่เป็นโรคตับเรื้อรัง มักมีอาการขาดวิตามินดี นอกจากนี้ นักวิจัยยังเห็นพ้องว่าการขาดวิตามินดีอย่างรุนแรง คือปัญหาที่พบได้ทั่วไปในผู้ป่วยโรคตับแข็ง ซึ่งเป็นโรคตับขั้นรุนแรงที่อาจนำไปสู่การเป็นมะเร็งตับ อย่างไรก็ตาม การทานอาหารเสริมที่มีวิตามินดีมากเกินไป ก็อาจทำให้เบื่ออาหาร คลื่นไส้ และอาเจียน รวมถึงมีภาวะแคลเซียมในเลือดสูง รวมทั้งมีการเจริญเติบโตที่ผิดปกติได้ วิตามินอี วิตามินอี ถือเป็นวิตามินอีกหนึ่งชนิดที่มีประโยชน์ต่อผู้ป่วยโรคตับอย่างมาก แต่หากได้รับมากเกินไปก็อาจเกิดอันตรายได้ หากได้รับวิตามินอีเกินกว่า 1,200 IU […]


ปัญหาสุขภาพช่องท้องแบบอื่น

อาหารล้างพิษตับ 14 ชนิด ที่จะช่วยให้ตับสะอาด ปราศจากสารพิษ

การใช้ชีวิตในสังคมปัจจุบันทำให้ตับทำงานมากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นเพราะการทานอาหารแปรรูปหรือของทอดมากเกินไป หรือการสัมผัสกับสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยมลพิษ หรือต้องพบเจอกับภาวะความเครียด ในภาวะเช่นนี้ ตับจะถูกบังคับให้ทำงานหนักเกินกว่าที่รับไหว และการที่ตับทำงานหนักเกินไปทำให้ความสามารถในการคัดกรองพิษและไขมันลดลง และนี่คือ อาหารล้างพิษตับ 14 ชนิดที่จะช่วยทำความสะอาดตับในแบบธรรมชาติ และช่วยฟื้นฟูประสิทธิภาพของตับในการกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย อาหารล้างพิษตับ มีอะไรบ้าง กระเทียม เอนไซม์ในตับที่ช่วยกำจัดพิษจะถูกกระตุ้นการทำงานเพียงแค่รับประทานกระเทียมจำนวนเล็กน้อยเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น กระเทียมยังมีสารอัลลิซิน (allicin) และซีลีเนียม (selenium) อยู่จำนวนมาก ซึ่งจะช่วยเพิ่มกระบวนการทำความสะอาดตับให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เกรปฟรุต ในผลไม้ตระกูลซิตรัส ซึ่งประกอบไปด้วยเกรปฟรุต เลม่อน ส้ม และมะนาว ล้วนเป็นผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระและวิตามินซีสูง ด้วยเหตุนี้ ผลไม้เหล่านี้จึงช่วยส่งเสริมกระบวนการทำความสะอาดตับตามธรรมชาติ แค่ดื่มน้ำเกรปฟรุตคั้นสดเพียงวันละแก้ว ก็สามารถช่วยเพิ่มการผลิตเอนไซม์กำจัดพิษออกจากร่างกาย ซึ่งจะช่วยกำจัดสารก่อมะเร็ง รวมถึงสารพิษชนิดอื่นได้อย่างดีเยี่ยม บีทรูทและแครอท สารพฤกษเคมีที่ชื่อฟลาโวนอยด์และสารเบต้าแคโรทีน พบในในพืชทั้ง 2 ชนิดนี้ในปริมาณที่สูงมาก การทำงานของตับจะดีมากยิ่งขึ้นเมื่อร่างกายได้ดูดซึมสารอาหารเหล่านี้จากบีทรูทและแคร์รอท ชาเขียว ชาเขียวถือเป็นหนึ่งในเครื่องดื่มที่เกิดมาเพื่อตับโดยแท้จริง เนื่องจากในชาเขียวเต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่เรียกว่า คาเทชิน (Catechin) ว่ากันว่าสารตัวนี้สามารถช่วยการทำงานของตับให้ดียิ่งขึ้น เคียงคู่กับความอร่อยและดีต่อสุขภาพ แต่โปรดจำให้ขึ้นใจว่า ควรดื่มชาเขียวที่ชงจากใบชา ไม่ใช่ชาเขียวสกัด ถึงจะได้ประโยชน์สูงสุด เพราะมีหลายงานวิจัยรองรับว่า การดื่มชาเขียวสกัดอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพของตับได้ ผักใบเขียว ผักใบเขียวถูกยกให้เป็นหนึ่งในตัวช่วยที่แข็งแกร่งที่สุดในการทำความสะอาดตับ เนื่องจากผักใบเขียวอุดมไปด้วยสารคลอโรฟิลล์ ซึ่งมีความสามารถในการดูดซับพิษจากกระแสเลือด ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีความสามารถในการต้านทานสารโลหะหนักและสารเคมีอีกด้วย ซึ่งถือเป็นความสามารถเฉพาะตัวที่ไม่ควรมองข้ามเลยทีเดียว อะโวคาโด จัดเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยคุณประโยชน์ อีกทั้งยังมีกลูตาไธโอน (glutathione) ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่มีบทบาทสำคัญในการกำจัดพิษจากตับอย่างมีประสิทธิภาพ แอปเปิ้ล แอปเปิ้ลอุดมไปด้วยสารเพคติน และสารเคมีที่ร่างกายต้องใช้งานในการทำความสะอาดและกำจัดพิษส่วนหนึ่งออกจากระบบย่อยอาหาร […]


ปัญหาสุขภาพช่องท้องแบบอื่น

คุณมีโอกาสเสี่ยง ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ได้อย่างไรบ้าง

ไวรัสตับอักเสบ คือ เชื้อโรคชนิดหนึ่งที่ส่งผลต่อการทำงานของตับโดยเฉพาะ และเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงหลักของการเป็นมะเร็งตับ ตัวโรคอาจเกิดขึ้นได้จากการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป รวมถึงเกิดจากภาวะระบบภูมิคุ้มกันร่างกายทำงานต่ำ รวมทั้งมีพฤติกรรมเสี่ยงที่ก่อให้เกิดการ ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ พฤติกรรมเสี่ยงที่เพิ่มโอกาสการ ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ต่อไปนี้คือพฤติกรรมที่เพิ่มปัจจัยเสี่ยงต่อการ ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ใช้ยาโดยการฉีดเข้าหลอดเลือดดำ รวมถึงการใช้เข็มร่วมกับผู้อื่น ก็จะทำให้สัมผัสกับเลือดที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบได้ การติดเชื้อ HIV คนเราสามารถติดเชื้อ HIV ได้ผ่านการใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น หรือเป็นการรับเลือดที่มีการติดเชื้อเข้าสู่ร่างกาย รวมถึงการมีกิจกรรมทางเพศที่ไม่ปลอดภัย ก็ทำให้เสี่ยงต่อการป่วยเป็นตับอักเสบเพิ่มขึ้นเช่นกัน อย่างไรก็ตาม การรับของเหลวใดๆก็ตามเข้าสู่ร่างกายคือความเสี่ยงสูงสุด ไม่ใช่เพียงเพราะมีเชื้อ HIV การสัก การเจาะร่างกาย และการใช้เข็มกับร่างกายชนิดอื่นๆ หากคุณกำลังคิดจะไปสัก เจาะร่างกาย หรือแม้แต่ไปฝังเข็ม หากพบเจอร้านที่ไม่ได้ใช้เข็มใหม่หรือสะอาดสำหรับลูกค้าทุกคน ดังนั้น ก็มีความเสี่ยงสูงขึ้นที่คุณจะติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ รวมถึงโรคติดต่อร้ายแรงที่มากับเลือด เช่น HIV มีกิจกรรมทางเพศที่ไม่ปลอดภัย (ทั้งทางทวารหนักและปาก) ถึงแม้ว่าไวรัสตับอักเสบเอและอี จะเป็นชนิดที่สามารถแพร่กระจายได้ผ่านการทานอาหารและน้ำดื่มที่ปนเปื้อน แต่กิจกรรมทางเพศทั้งทางทวารหนักและปาก ก็อาจแพร่เชื้อไวรัสตับอักเสบได้เช่นกัน อยู่ร่วมอาศัยกับคนที่ป่วยเป็นติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ มีอาชีพเป็นผู้ดูแลด้านสุขภาพ โดยอาชีพนี้มีปัจจัยเสี่ยงจากการสัมผัสเลือดคนไข้ รวมถึงอุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น เข็มฉีดยา เป็นต้น การเดินทางไปต่างประเทศ ก็มีความเสี่ยงต่อการดื่มน้ำที่ไม่สะอาด ซึ่งอาจก่อให้เกิดการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบได้ โรคตับอักเสบที่ไม่ได้เกิดจากไวรัส โรคตับอักเสบจากการดื่มแอลกอฮอล์ ตับอักเสบจากการดื่มแอลกอฮอล์สามารถเกิดขึ้นได้เมื่อดื่มแอลกอฮอล์มากเกินพอดี อย่างไรก็ตาม กลไกที่แท้จริงของการทำลายตับชนิดนี้ยังคงไม่มีใครทราบสาเหตุที่แน่ชัด แอลกอฮอล์เป็นสาเหตุทำให้ตับบวมโตและเจ็บปวด แต่การรับประทานยาบางชนิดมากเกินไปหรือการรับพิษเข้าสู่ร่างกายก็อาจเป็นสาเหตุของโรคตับอักเสบได้เช่นกัน ผลกระทบของแอลกอฮอล์ที่ทำให้เกิดโรคตับอักเสบ มีดังนี้ ร่างกายจะดูดซับแอลกอฮอล์ จากนั้นจึงเปลี่ยนแอลกอฮอล์ให้กลายเป็นสารอนุพันธุ์ที่มีความเป็นพิษสูง สารเคมีที่มาจากแอลกอฮอล์จะก่อให้เกิดการอักเสบ […]


ปัญหาสุขภาพช่องท้องแบบอื่น

ผู้ป่วยโรคตับอักเสบดื่มแอลกอฮอล์ ได้หรือเปล่านะ

มีหลายคนยังสงสัยว่า ผู้ป่วยโรคตับอักเสบดื่มแอลกอฮอล์ ได้หรือเปล่า ความจริงคือ ไวรัสตับอักเสบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไวรัสตับอักเสบชนิดซี (HCV) เป็นสาเหตุให้เซลล์ตับเกิดการอักเสบและถูกทำลาย เมื่อเกิดการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปประกอบร่วมกับการติดเชื้อจากไวรัสตับอักเสบซี ตับจึงสามารถเกิดความเสียหายได้อย่างน่ากลัว ผลกระทบที่เกิดขึ้น เมื่อ ผู้ป่วยโรคตับอักเสบดื่มแอลกอฮอล์ ตับมีบทบาทสำคัญหลายอย่างในกระบวนการทำงานของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นช่วยย่อยอาหาร คัดกรองสารพิษในเลือด และช่วยต่อสู้กับการติดเชื้อและเชื้อโรค เมื่อดื่มแอลกอฮอล์เข้าไป ตับจะแบ่งโมเลกุลของแอลกอฮอล์ เพื่อกำจัดออกจากร่างกาย การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปจึงไปทำลายและฆ่าเซลล์ตับได้ ผลที่ตามมาก็คือ ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์อย่างหนักจะเป็นโรคไขมันพอกตับ โรคตับอักเสบที่เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์ และโรคตับแข็งจากการดื่มแอลกอฮอล์ การดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมาก แม้ในเวลาเพียงไม่กี่วัน ก็สามารถก่อให้เกิดไขมันในตับได้เช่นกัน ภาวะนี้เรียกกันว่า โรคไขมันพอกตับจากแอลกอฮอล์ โรคไขมันพอกตับนั้นแทบไม่แสดงอาการใดๆ แต่จะมีสัญญาณเตือน หากดื่มคุณแอลกอฮอล์ในปริมาณที่อันตราย โรคไขมันพอกตับและโรคตับอักเสบจากการดื่มแอลกอฮอล์ในระยะแรกเริ่ม สามารถรักษาหายได้ถ้าหยุดดื่มแอลกอฮอล์ อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยโรคตับอักเสบ ที่ได้รับความเสียหายการดื่มแอลกอฮอล์และโรคตับแข็งที่รุนแรงนั้น จะคงอยู่ถาวร และอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อน รวมถึงทำให้เสียชีวิตได้ ผลกระทบที่เกิดจากแอลกอฮอล์ใน ผู้ป่วยโรคตับอักเสบ ผลกระทบสะสมที่เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์ใน ผู้ป่วยโรคตับอักเสบ นั้น ถือว่าเสี่ยงต่อสุขภาพของตับอย่างยิ่ง คุณหมอหลายท่านเคยกล่าวไว้ว่า ปริมาณแอลกอฮอล์ในการดื่มแต่ละวันหากเกิน 50 กรัม (หรือเท่ากับสามแก้วครึ่งแก้วต่อวัน) ก็จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดพังผืดและโรคตับแข็งชนิดเรื้อรัง รวมถึงโรคตับร้ายแรงชนิดอื่นๆ อีกด้วย การดื่มแอลกอฮอล์ขัดขวางการรักษา HCV วิธีการรักษาด้วยอินเตอร์เฟอรอน (interferon) คือทางเลือกในการรักษาโรคไวรัสตับอักเสบซี การรักษาชนิดนี้ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคตับอย่างไรก็ตาม […]


ปัญหาสุขภาพช่องท้องแบบอื่น

หยุด! 6 พฤติกรรมต่อไปนี้ที่ทำให้โรค ตับอักเสบ แย่ลง

การใช้ชีวิตที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ เมื่อป่วยเป็นโรค ตับอักเสบ เป็นสิ่งที่เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคตับอักเสบชนิดเรื้อรังได้แบบไม่รู้ตัว ดังนั้น การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ที่ดีต่อสุขภาพไม่เพียงช่วยเราป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นต่อตับได้เท่านั้น แต่ยังช่วยป้องกันการแพร่เชื้อโรคต่อบุคคลอื่นอีกด้วย ถึงเวลาแล้วที่เราจะเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อให้มีสุขภาพที่แข็งแรง หากคุณยังมีพฤติกรรมเหล่านี้ต่อไปล่ะก็ ควรพิจารณา ลด ละ เลิก เพื่อผลดีต่อตัวคุณเองในระยะยาว 1.สูบบุหรี่ หากคุณป่วยเป็นโรคไวรัสตับอักเสบซี ยาเส้นในมวนบุหรี่คือสารก่อมะเร็งที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับ นอกจากนี้ มันยังทำลายปอดของคุณด้วย ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ โอกาสที่จะได้รับการปลูกถ่ายตับก็ลดน้อยลงมากขึ้นหากอาการของโรคไวรัสตับอักเสบซีแย่ลง และอาจก่อให้เกิดโรคตับแข็ง รวมถึงตับวายตามมา ถ้าไม่สามารถเลิกสูบบุหรี่ได้โดยทันที ก็ควรลองปรึกษาแพทย์ หรือขอความช่วยเหลือจากครอบครัวและคนที่คุณรัก 2.ดื่มแอลกอฮอล์ ไม่มีครั้งไหนที่แอลกอฮอล์จะถูกบรรจุในรายชื่อของผลิตภัณฑ์ที่ทำให้สุขภาพดี และยังเป็นสาเหตุของโรคตับอักเสบอีกด้วย หากคุณดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำในปริมาณมาก จะทำให้ตับทำงานหนัก เนื่องจากตับต้องทำหน้าที่กำจัดพิษของแอลกอฮอล์อย่างต่อเนื่อง เพราะฉะนั้นแล้ว จึงถือได้ว่าแอลกอฮอล์คือสิ่งที่เป็นอันตรายต่อตับ และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคตับแข็งหรือแม้แต่มะเร็งตับ หากคุณผู้อ่านยังดื่มอยู่ การลด ละ เลิกจะเป็นการดีที่สุด 3.ใช้ยาและสารกระตุ้น การใช้ยาผ่านการฉีด การสูด หรือการสูบ รวมถึงการใช้สารกระตุ้น จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสชนิดอื่นๆ ตามมา รวมถึงติดเชื้อร้ายแรงอย่างเช่น HIV หรือโรคเอดส์ หากผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสตับอักเสบมากกว่าหนึ่งชนิดในเวลาเดียวกัน เช่น ติดทั้งเชื้อไวรัส ตับอักเสบ ซี และไวรัสตับอักเสบบี พร้อมกัน ก็จะรักษาได้ยากมากกว่าผู้ที่ติดเชื้อเพียงชนิดเดียว 4.มีเซ็กส์ที่ไม่ปลอดภัย ไม่ควรมีเซ็กส์แบบไร้การป้องกัน ควรใช้ถุงยางอยู่เสมอเมื่อมีกิจกรรมทางเพศกับคู่ของคุณ เพราะมันเป็นสิ่งที่ช่วยป้องกันคู่ของคุณจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ เป็นการป้องกันตัวคุณเองจากเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดอื่นๆ […]

advertisement iconโฆษณา
advertisement iconโฆษณา
advertisement iconโฆษณา

ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของเรา

ทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของ Hello คุณหมอ ประกอบไปด้วยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มาร่วมสร้างสรรค์บทความในเว็บไซต์ของเราตามความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญของเราจะช่วยรับรองว่าข้อมูลด้านสุขภาพของเราถูกต้อง เป็นปัจจุบัน และตรงตามหลักฐานจากงานวิจัยล่าสุด
ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรามุ่งมั่นเต็มที่ในการช่วยให้คุณได้รับข้อมูลและความรู้ด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือ เข้าใจง่าย และเป็นประโยชน์ และพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพกับคุณเสมอ เพื่อให้คุณได้รับทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น

ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม
ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม