ปัญหาสุขภาพช่องท้องแบบอื่น

นอกเหนือจากปัญหาที่เกิดขึ้นกับกระเพาะอาหาร ลำไส้ และตับ ยังมี ปัญหาสุขภาพช่องท้องแบบอื่น อีกมากที่เราควรให้ความสนใจดูแล เพื่อช่วยรักษาสุขภาพของร่างกายเราให้แข็งแรง ห่างไกลโรคภัย และช่วยให้เราใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข

เรื่องเด่นประจำหมวด

ปัญหาสุขภาพช่องท้องแบบอื่น

เจ็บท้องข้างซ้าย เกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง

เจ็บท้องข้างซ้าย เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นอาหารไม่ย่อย ไส้เลื่อน งูสวัด หรือเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ ควรสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด หากอาการรุนแรงขึ้น หรือเกิดร่วมกับอาการอื่น เช่น เลือดออกปนมากับปัสสาวะหรืออุจจาระ ควรไปพบคุณหมอ [embed-health-tool-bmi] เจ็บท้องข้างซ้าย มีสาเหตุจากอะไร เจ็บท้องข้างซ้าย เป็นอาการป่วยที่พบได้ทั่วไปและเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ดังต่อไปนี้ ถุงผนังลำไส้อักเสบ เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของการเจ็บท้องข้างซ้าย โดยเกิดจากการฉีกขาดหรือติดเชื้อของถุงผนังลำไส้ โดยจะมีอาการเจ็บท้องเป็นเวลาหลายวัน ร่วมกับมีไข้ ท้องผูก และคลื่นไส้ ทั้งนี้ ถุงผนังลำไส้อักเสบในระดับไม่รุนแรงอาจหายเองได้หากพักผ่อนและรับประทานยาปฏิชีวนะ อาหารไม่ย่อย มักเกิดขึ้นหลังมื้ออาหาร และจะหายไปเองภายใน 2-3 ชั่วโมง มักเกิดบริเวณหน้าท้องส่วนบน ร่วมกับอาการอื่น ๆ เช่น ท้องอืด มีลมในท้อง เสียดท้อง ไส้เลื่อน หมายถึง การที่อวัยวะในช่องท้อง เช่น ลำไส้ ยื่นออกนอกช่องท้อง ทำให้มีก้อนบวมบริเวณหน้าท้องหรือขาหนีบ รวมถึงรู้สึกเจ็บรุนแรงในบริเวณดังกล่าวมากขึ้นเรื่อย ๆ งูสวัด เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสวาริเซลาซอสเตอร์ (Varicella Zoster Virus) ซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคอีสุกอีใส เมื่อเป็นโรคงูสวัด จะพบผื่นและตุ่มน้ำใสขึ้นตามร่างกาย และในบางรายอาจมีอาการ เจ็บท้องข้างซ้ายร่วมด้วย […]

สำรวจ ปัญหาสุขภาพช่องท้องแบบอื่น

ปัญหาสุขภาพช่องท้องแบบอื่น

ทำความรู้จักกับ อาการลำไส้ขี้เกียจ ที่คุณรู้แล้ว ต้องรีบรักษา

อาการลำไส้ขี้เกียจ ส่งผลให้ระบบขับถ่ายคุณนั้นไม่เป็นไปตามเวลา ท้องไส้ปั่นป่วน ในบางครั้งก็มีอาการท้องผูก และท้องเสียร่วมด้วย จนต้องพึ่งยาระบายเป็นตัวช่วยเสริม แถมยังเสียเวลาไปกับการวิ่งเข้า วิ่งออก จากห้องน้ำแทบทั้งวัน มารู้ถึงการรักษาสุขภาพลำไส้ ในบทความนี้ที่ Hello คุณหมอ ได้มานำฝากกัน อาการลำไส้ขี้เกียจ มีสาเหตุมาจากอะไร ? อาการลำไส้ขี้เกียจ (Colonic inertia) เกิดมากจากความผิดปกติของระบบย่อยอาหาร หรือมีสิ่งรบกวนบางอย่างเข้าไปทำให้ลำไส้เกิดการอุดตัน อาจมีสาเหตุมาจากการใช้ยาลดกรด หรือยาระบายบ่อยครั้ง ดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนประกอบของนมมากเกินไป และการดื่มน้ำไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ส่งผลให้ผู้ป่วยบางรายมีอาการท้องผูก ท้องอืด และท้องเสียได้ อาการแบบไหนที่บ่งบอกว่าลำไส้ของคุณกำลังมีปัญหา อาการจะรุนแรงมาก หรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับสุขภาพร่างกายของแต่ละบุคคล โปรดปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเมื่อเกิดอาการดังต่อไปนี้ เริ่มรู้สึกถึงการขับถ่ายที่ผิดปกติ เช่น ท้องผูก ท้องร่วง เป็นระยะเวลานานหลายวัน อาการปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน อุจจาระมีการปะปนของเลือด วิธีรักษาอาการลำไส้ขี้เกียจ ให้กลับมาปกติดังเดิม ปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร โดยลดปริมาณอาหารที่มีส่วนประกอบของไขมัน หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีส่วนประกอบของนม รับประทานอาหารที่มีเส้นใยสูง และดื่มน้ำให้เพียงพอต่อวันอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว ก่อนเกิดอาการรุนแรง เพราะหากคุณปล่อยไว้จนถึงขั้นเรื้อรัง อาจจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดลำไส้ได้เลยทีเดียว ยา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญอาจแนะนำการใช้ยาระบายเพื่อรักษาอาการท้องผูกในเบื้องต้น และคอยติดตามอาการของคุณอย่างใกล้ชิด เพราะยาระบาย อาจไปทำความเสียหายให้แก่ระบบประสาท และกล้ามเนื้อของลำไส้ส่วนล่างจนถึงลำไส้ใหญ่ ฝึกการขับถ่ายด้วยเครื่องไบโอฟีดแบค (Biofeedback) เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยให้ขับถ่ายเป็นเวลา และขับถ่ายออกได้ง่ายขึ้น โดยการวัดแรงดันการบีบตัว และการคลายตัวของกล้ามเนื้อลำไส้ที่จะแสดงออกมาบนหน้าจอเครื่อง เรียกง่ายๆ ว่า การวัดแรงเบ่งอุจจาระ การผ่าตัด กรณีนี้เหมาะกับผู้ป่วยที่มีอาการเรื้อรังเท่านั้น […]


ปัญหาสุขภาพช่องท้องแบบอื่น

สีของอุจจาระ สามารถบอกอะไรเกี่ยวกับสุขภาพได้บ้าง

โดยปกติแล้วคนเรามักไม่ค่อยได้สังเกตสีอุจจาระของตัวเอง แต่ความจริงแล้ว สีของอุจจาระ นั้น สามารถบ่งบอกเกี่ยวกับสุขภาพของเราได้ ดังนั้นวันนี้ทาง Hello คุณหมอ จึงได้นำบทความเรื่องนี้มานำเสนอให้ทุกคนได้ศึกษากัน อุจจาระปกติ ควรมีลักษณะเป็นอย่างไร โดยปกติแล้วสีอาจจุระของคนทั่วมักจะมีความหลากหลาย และแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล แต่มีกฎบางอย่างที่คุณอาจจะต้องปฏิบัติตาม เพื่อการประเมินผลสุขภาพที่ดี ดังนี้ สี โดยปกติอุจจาระของคนที่มีสุขภาพปกติจะต้องมีสีน้ำตาล นั่นก็เนื่องมาจาก บิลิรูบิน (Bilirubin) ซึ่งเป็นสารประกอบเม็ดสีที่เกิดจากการสลายตัวของเซลล์เม็ดเลือดแดงในร่างกายนั่นเอง รูปร่าง สำหรับรูปร่างนั้นจะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ขนาด ขนาดของอุจจาระไม่ควรออกมาเป็นเม็ดเล็กๆ แต่ควรมีความยาวไม่กี่นิ้ว และสามารถขับถ่ายออกมาได้ง่าย ความมั่นคง มันควรออกมาแบบมั่นคงและนุ่มนวล ถ้ามีการแกว่งไปแกว่งมานั่นอาจจะปัญหาของการย่อยอาหาร หรือเส้นใยบางอย่าง ระยะเวลา คนที่มีสุขภาพดีจะใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีในการเข้าไปขับถ่าย ระยะเวลามาตรฐานควรใช้เวลาไม่เกิน 10-15 นาที ความถี่ โดยเฉลี่ยแล้วคนที่มีการย่อยอาหารที่ดีจะขับถ่ายที่ใดก็ได้ระหว่างวันเว้นวัน หรือ 3 ครั้งต่อวัน ผู้ที่มีอาการท้องผูกน้อย นั่นหมายความว่าร่างกายของคุณต้องการน้ำเพิ่ม เพื่อการขับถ่ายนั่นเอง สีของอุจจาระ สามารถเปลี่ยนแปลงได้เพราะสาเหตุใด สีของอุจจาระ สามารถเปลี่ยนแปลงได้จากหลายสาเหตุ การเปลี่ยนแปลงอาจสะท้อนให้เห็นถึงสารหรืออาหารบางอย่างที่ถูกเพิ่มลงในอุจจาระ หรือการเปลี่ยนแปลงสารบางชนิดที่มีอยู่ในอุจจาระอยู่แล้ว การเปลี่ยนแปลงสีของอุจจาระบางอย่างอาจสื่อถึงเรื่องเกี่ยวกับสภาวะทางการแพทย์บางอย่าง เช่น การบริโภคอาหาร  การใช้ยาบางชนิด และอื่นๆ สาเหตุที่อุจจาระเปลี่ยนสีอาจจะมีสาเหตุมาจากสิ่งต่างๆ ดังนี้ โรคริดสีดวงทวาร มีเลือดออกในกระเพาะอาหาร มีเลือดออกในส่วนล่างของลำไส้หรือลำไส้ใหญ่ ผักบางชนิดที่มีสีเข้ม สีผสมอาหาร โดยฉพาะ สีแดง สีเขียว สีม่วง ยาที่มีส่วนผสมของบิสมัส เช่น เป็ปโต-บิสมอล® (Pepto-Bismol®) การอุดตันทางเดินน้ำดี เนื้องอก โรคปอดเรื้องรัง ตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง การอุดตันของท่อตับอ่อนที่นำเอ็นไซม์ไปยังลำไส้ (ส่วนใหญ่เกิดจากมะเร็งตับอ่อน) โรคช่องท้อง อาหารที่มีไขมันสูง ยาลดน้ำหนักที่จำกัด […]


ปัญหาสุขภาพช่องท้องแบบอื่น

ตดเหม็น เกิดจากอะไร และควรแก้ไขอย่างไร

การผายลมหรือตด เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน ซึ่งตดเกิดจากแก๊สในลำไส้ถูกส่งออกทางทวารหนักเป็นระยะ ๆ โดยเฉลี่ยคนเราจะตดประมาณ 14 ครั้ง/วัน และส่วนใหญ่จะไม่มีกลิ่นและเสียง แต่บางคนอาจเกิดข้อสงสัยว่า ตดเหม็น เกิดจากอะไร สำหรับกลิ่นที่ไม่พึ่งประสงค์ที่ออกมาพร้อมกับตด อาจเกิดจากอาหารที่รับประทาน เช่น อาหารที่มีไฟเบอร์สูง นอกจากนี้ กลิ่นตดยังอาจเกิดจากความผิดปกติของระบบย่อยอาหารบางอย่าง เช่น โรคมะเร็งลำไส้ โรคลำไส้แปรปรวน [embed-health-tool-bmi] สาเหตุที่ทำให้ผายลมหรือตด การผายลมหรือตด เกิดจากแก๊สในร่างกายมีปริมาณสูง จึงถูกส่งออกทางทวารเป็นระยะ ๆ ซึ่งโดยเฉลี่ยคนเราจะตดประมาณ 14 ครั้ง/วัน นอกจากนี้ ยังอาจเกิดจากสาเหตุต่าง ๆ ดังนี้ การสูดอากาศ เนื่องจากร่างกายสูดเอาอากาศเข้าสู่ร่างกายวันละหลาย ๆ ครั้ง ไม่ว่าจะเป็นตอนดื่มน้ำ ตอนกำลังเคี้ยวอาหาร หรือแม้แต่ตอนพูด ก็อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ผายลมหรือตดได้ แบคทีเรียในลำไส้เล็กมากเกินไป ปัญหานี้อาจเกิดจากสุขลักษณะนิสัยในการรับประทานอาหาร นอกจากนี้ ยังอาจเกิดจากโรคประจำตัวหรือโรคแทรกซ้อน เช่น โรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรคตับ โรคลำไส้อักเสบ โรคแพ้กลูเตน (Coeliac Disease)  คาร์โบไฮเดรตยังไม่ถูกย่อย ในบางครั้งคาร์โบไฮเดรตไม่ได้ถูกย่อยด้วยเอนไซม์ในลำไส้เล็ก เมื่อคาร์โบไฮเดรตถูกลำเลียงผ่านไปถึงลำไส้ใหญ่ แบคทีเรียที่อยู่ในอาหารประเภทนั้นก็จะกลายเป็นแก๊สไฮโดรเจนและแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ โดยแก๊สเหล่านั้นล้วนแล้วแต่ต้องการการลำเลียงออกไปยังที่ใดที่หนึ่ง […]


ปัญหาสุขภาพช่องท้องแบบอื่น

เดี๋ยวท้องเสีย เดี๋ยวท้องผูก! ไม่อยาก ท้องไส้ปั่นป่วน เวลาไปเที่ยว เราป้องกันได้

การเรียน การทำงาน และการใช้ชีวิตในแต่ละวัน อาจทำให้เราเครียดจนทนไม่ไหว เราจึงต้องหาเวลาผ่อนคลายความเครียดกันบ้าง ซึ่งกิจกรรมคลายเครียดที่คนเราชอบที่สุด ก็คงหนีไม่พ้นการไปเที่ยวนั่นเอง การได้ไปเที่ยวพักผ่อน ทำให้เราได้ชาร์จพลังอย่างเต็มที่ แต่ ทริปในฝันก็อาจสลาย ไม่ราบรื่นอย่างใจหวัง เพราะดันมีปัญหา ท้องไส้ปั่นป่วน เวลาไปเที่ยว เดี๋ยวท้องเสีย เดี๋ยวท้องผูก จนหมดสนุก Hello คุณหมอ จึงมีวิธีรับมือปัญหาท้องไส้ปั่นป่วน เวลาไปเที่ยวมาฝาก รับรองทริปต่อไปของคุณต้องสุขสันต์ลั้นลาแน่นอน วิธีรับมืออาการ ท้องไส้ปั่นป่วน ระบบย่อยพัง ตอนไปเที่ยว เทคนิคป้องกันท้องเสียตอนไปเที่ยว การกินอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรีย กินอาหารที่กระตุ้นอาการแพ้ เช่น แพ้นมแล้วไปกินผลิตภัณฑ์นม หรือกินอาหารรสจัดมากไป อาจทำให้คุณท้องเสีย ต้องวิ่งหาห้องน้ำตลอดทริป แต่วิธีเหล่านี้ช่วยป้องกันได้ ไม่บริโภคอาหารและเครื่องดื่มที่ไม่ผ่านการพาสเจอร์ไรส์ กินอาหารปรุงสุก และเสิร์ฟร้อนๆ ล้างมือให้สะอาดก่อนกินอาหาร หลีกเลี่ยงการกินอาหารข้างทาง หรือเลือกร้านที่สะอาด เชื่อถือได้ ดื่มน้ำบรรจุขวดที่ผลิตได้มาตรฐาน หลีกเลี่ยงการกินน้ำแข็ง หรือควรกินน้ำแข็งที่ทำจากน้ำบรรจุขวดเท่านั้น ไม่กินผักและผลไม้ดิบโดยไม่ปอกเปลือก ทางที่ดีควรปอกเปลือกเอง และล้างให้สะอาดก่อนกิน หากคุณไปเที่ยวแล้วท้องเสีย และไม่อยากให้อาการแย่ลง ควรงดอาหารมัน อาหารไขมันสูง อาหารที่อุดมไปด้วยไฟเบอร์ อาหารน้ำตาลสูง รวมถึงควรงดคาเฟอีน และผลิตภัณฑ์จากนมด้วย ไม่อยากท้องผูกเวลาไปเที่ยว ทำอย่างไรดี อาการท้องผูกเวลาเดินทางไปเที่ยว ก็สร้างความลำบากให้เราได้ ไม่แพ้อาการท้องเสียเลยทีเดียว หากคุณไม่อยากท้องผูก วิธีเหล่านี้ช่วยได้ หลีกเลี่ยงการกินยาหรืออาหารเสริมที่กระตุ้นอาการท้องผูก เช่น ยาขับปัสสาวะ ยาลดกรด […]


ปัญหาสุขภาพช่องท้องแบบอื่น

โรคตับและอาการคัน เกี่ยวข้องกันอย่างไร

ผิวหนังของคนเราทำหน้าที่เหมือนหน้าต่างสะท้อนสุขภาพโดยรวมที่อาจมีโรคแฝงอยู่ภายในและแสดงออกผ่านการเปลี่ยนแปลงของผิวหนัง อาการคันที่ผิวหนังนั้นเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงโรคที่เกิดขึ้นภายในเช่น โรคตับ แท้จริงแล้ว โรคตับและอาการคัน เป็นสัญญาณแรกของโรคที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วย โรคตับและอาการคัน เกี่ยวข้องกันอย่างไร กายวิภาคตับและทางเดินน้ำดีเกิดจากระบบน้ำดีและตับ อาการคันเป็นอาการที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุดและสร้างความรำคาญมากที่สุดของโรคที่เกี่ยวกับตับและทางเดินน้ำดี อาการอาจเกิดขึ้นชั่วคราวและไม่รุนแรงไปจนถึงรุนแรงและเรื้อรัง สาเหตุของอาการคันทั่วไปจากโรคตับยังไม่ทราบแน่ชัด นอกจากความเกี่ยวข้องที่ชัดเจนของอาการกับการอุดตันของทางเดินน้ำดี อาการคันจากโรคตับเกิดจากภาวะการคั่งของน้ำดี ซึ่งระดับน้ำดีเพิ่มขึ้นในกระแสเลือดเนื่องจากการอุดตันของทางเดินน้ำดี เซลล์ตับทำหน้าที่ผลิตน้ำดี และน้ำดีไหลผ่านท่อส่งน้ำดีผ่านตับอ่อนและเข้าสู่ลำไส้เล็กทั้งหมด น้ำดีช่วยตับกำจัดของเสียและช่วยลำไส้ใหญ่ในการดูดซึมไขมันดี ตับทำให้สารพิษเป็นกลางและกรองเกลือในน้ำดี หากการทำงานนี้เกิดความผิดปกติ จะเกิดการสะสมของเกลือน้ำดี กรดน้ำดี และบิลรูบิน การสะสมของสารเหล่านี้ทำให้เกิดอาการระคายเคืองและคันที่ผิวหนัง งานวิจัยยังเผยเพิ่มเติมถึงความเข้าใจของสารเคมีบางชนิดที่เป็นสาเหตุของอาการคันจากโรคตับ ซึ่งนำไปสู่วิธีการรักษาวิธีใหม่ในที่สุด ลักษณะของอาการคันที่ผิวหนังในโรคตับ อาการคันทั่วไปที่เกิดขึ้นทั่วร่างกายจากโรคตับอาจเกิดขึ้นก่อนสัญญาณหรืออาการของภาวะคั่งของน้ำดีในตับ อาการคันของภาวะที่เกิดขึ้นมีลักษณะหลายประการ ส่วนใหญ่จะเกิดอาการรุนแรงบริเวณลำตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ฝ่ามือและฝ่าเท้า อาการจะรุนแรงช่วงเย็นและกลางคืน จึงส่งผลต่อการนอนหลับ อีกช่วงเวลาที่อาการจะรุนแรงมากขึ้นคือช่วงที่มีประจำเดือน หรือการรักษาทดแทนฮอร์โมน การตั้งครรภ์ช่วงแรก การสัมผัสขนสัตว์และความร้อน เช่น การอาบน้ำร้อน อาการไม่ทุเลาลงโดยการเกาและมักจะไม่เกิดรอยโรคนอกจากรอยเกา ในบางครั้งรอยโรคเช่น ผื่นแดงหรือตุ่มนูนอาจเกิดขึ้นที่ผิวและมักเกิดความเข้าใจผิดว่าเป็นอาการทางผิวหนังเบื้องต้น การจัดการกับอาการคันที่ผิวหนังเนื่องจากโรคตับ อาการคันอันเนื่องมาจากโรคตับนั้นจะดีขึ้นเป็นส่วนใหญ่หลังจากการรักษาการอุดกั้นการไหลเวียนของน้ำดี หากทำการรักษาสาเหตุที่แฝงอยู่ไม่ได้ การใช้ยาต่างๆ เช่น ยา คลอเลสทีรามีน (Cholestyramine) และ ไรแฟมพิซิน (Rifampicin) สามารถบรรเทาอาการคันได้ ยาคลอเลสทีรามีนนั้นออกฤทธิ์โดยการผสานเกลือน้ำดีในลำไส้ใหญ่เพื่อขับออกแทนที่จะดูดซึมกลับเข้าไปสู่กระแสเลือด ส่วนยาไรแฟมพิซิน ซึ่งเป็นยาปฏิชีวนะ กระตุ้นการเผาผลาญของน้ำดีในตับและสารเคมีอื่นๆ อาการคันที่เกิดขึ้นจากโรคตับมักต่อต้านการรักษา ส่งผลร้ายต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยโดยการรบกวนการนอนหลับ และความสัมพันธ์ส่วนบุคคล อีกทั้งยังนำไปสู่ความพยายามในการฆ่าตัวตายในกรณีที่เป็นรุนแรงมาก ในบางกรณี อาการคันที่หายยากในผู้ป่วยโรคตับเรื้อรังสามารถบ่งชี้ถึงความจำเป็นในการปลูกถ่ายตับแม้ว่ายังไม่ถึงขั้นตับวายก็ตาม


ปัญหาสุขภาพช่องท้องแบบอื่น

ภาวะอาเจียนเรื้อรัง (Cyclic Vomiting Syndrome)

ภาวะอาเจียนเรื้อรัง คืออะไรภาวะอาเจียนเรื้อรัง ( Cyclic vomiting syndrome หรือ CVS ) เป็นภาวะที่ทำให้มีอาการอาเจียนซ้ำๆ หลายๆ ครั้งในหนึ่งชั่วโมงหรือหนึ่งวัน เป็นอาการผิดปกติที่มีอาการอาเจียนเกิดขึ้นทันทีซ้ำๆ และมีอาการเหนื่อยอ่อนทางกายภาพที่เกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุชัดเจน สถานการณ์เหล่านี้จะเกิดซ้ำๆ นานตั้งแต่ 2-3 ชั่วโมงจนถึงหลายวัน สถานการณ์เหล่านี้อาจจะรุนแรงจนบางครั้งคนไข้อาจจะต้องนอนป่วยบนเตียงหลายวัน ไม่สามารถไปโรงเรียนหรือไปทำงานได้ คนไข้อาจจะต้องการการรักษาที่ห้องฉุกเฉินหรือโรงพยาบาลในสถานการณ์เหล่านี้ หลังจากนั้นอาการก็จะหายไป และสามารถกลับมาเป็นใหม่ได้ใน 2-3 สัปดาห์หรือหลายเดือน อาการผิดปกติจะมีผลกับคนไข้ไปหลายเดือน หลายปี หรือเป็นสิบปี อาการของภาวะที่ทำให้มีอาการอาเจียนเรื้อรังจะมีอาการคล้ายคลึงกับครั้งก่อน หมายความว่าสถานการณ์มีแนวโน้มที่จะเริ่มในเวลาเดียวกันในแต่ละวัน และสิ้นสุดในช่วงเวลาเดียวกันและเกิดอาการเดียวกันและระดับความรุนแรงเดียวกัน ภาวะอาเจียนเรื้อรัง พบบ่อยแค่ไหน ภาวะอาการอาเจียนเรื้อรัง สามารถเกิดขึ้นในทุกช่วงวัย แต่มักจะเกิดบ่อยในเด็กช่วงอายุ 3-7 ขวบ แต่ก็มีคนไข้จำนวนมากที่เป็นผู้ใหญ่ที่วินิจฉัยว่ามีอาการนี้เพิ่มขึ้น ให้ปรึกษาแพทย์เพื่อข้อมูลเพิ่มเติม อาการของ ภาวะอาเจียนเรื้อรัง คืออะไรอาการโดยทั่วไปของภาวะอาเจียนเรื้อรังคือ อาเจียนรุนแรงหลายครั้งเป็นชั่วโมง และอาเจียนต่อเนื่องหลายชั่วโมงหลายวัน แต่สิ้นสุดภายใน 1 สัปดาห์ มีช่วงของการอาเจียน 3 ช่วงหรือมากกว่าโดยไม่ทราบสาเหตุในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา หรือมีช่วงของการอาเจียน 5 ช่วงหรือมากกว่าเวลาไหนก็ตาม คลื่นไส้อย่างรุนแรง เหงื่อออกมาก   รู้อาการสัญญาณ และอาการระหว่างช่วงที่อาเจียนนั้นรวมถึง ปวดท้อง ท้องเสีย เป็นไข้ วิงเวียนศีรษะ ไวต่อแสง ปวดศีรษะ ขย้อนหรือกลืนไม่ลง หากคุณมีอาการนอกเหนือจากที่กล่าวมาจากด้านบน หรือมีความกังวลเกี่ยวกับอาการ ควรปรึกษาแพทย์ ควรจะพบหมอเมื่อใดหากคุณมีสัญญาณหรืออาการตามที่กล่าวมาข้างต้น หรือมีคำถาม ให้ปรึกษาแพทย์ […]


ปัญหาสุขภาพช่องท้องแบบอื่น

วิธีธรรมชาติแก้อาการอาหารไม่ย่อย ที่คุณสามารถทำเองได้ง่าย ๆ

มีหลากหลายวิธีในการรักษาอาการอาหารไม่ย่อย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของอาการ อาหารไม่ย่อยไม่ใช่ปัญหาร้ายแรงและสามารถรักษาได้ด้วยตัวเอง และบทความโดย Hello คุณหมอ นี้จะช่วยให้คุณสามารถสังเกตสัญญาณและอาการของโรคได้ พร้อมทั้งมี วิธีธรรมชาติแก้อาการอาหารไม่ย่อย มาฝากด้วย จะรู้ได้อย่างไรว่าอาหารไม่ย่อย อาหารไม่ย่อยหรือที่เรียกว่าอาการท้องอืด เกิดขึ้นได้จากหลากหลายสาเหตุ ที่พบได้ทั่วไปคือภาวะกรดไหลย้อน แผลในกระเพาะอาหาร มะเร็ง ความผิดปกติของตับอ่อนและท่อน้ำดี สัญญาณและอาการโดยทั่วไปของอาหารไม่ย่อย ได้แก่ รู้สึกอึดอัดระหว่างรับประทานอาหาร คุณอาจรู้สึกอึดอัดในขณะกำลังรับประทานอาหารและไม่สามารถรับประทานต่อไปได้ รู้สึกอิ่มและอึดอัดหลังรับประทานอาหารเสร็จ มีความรู้สึกอิ่มเป็นเวลานาน แสบร้อนบริเวณเหนือกระเพาะอาหาร คุณอาจรู้สึกแสบร้อนเหนือบริเวณสะดือและใต้กระดูกหน้าอก รู้สึกอึดอัดที่กระเพาะส่วนบน คุณอาจรู้สึกปวดเล็กน้อยจนถึงรุนแรงเหนือบริเวณสะดือและใต้กระดูกหน้าอก คุณอาจมีอาการท้องอืด คลื่นไส้ และอาเจียน แต่ไม่บ่อยนัก อาหารเหล่านี้คล้ายคลึงกับการเกิดกรดไหลย้อนแต่ก็มีอาการบางอย่างที่แตกต่างกัน เมื่อเกิดกรดไหลย้อนคุณอาจรู้สึกปวดบริเวณทรวงอกและอาจลุกลามไปยังหลังและคอ ทั้งนี้ คุณอาจมีอาการอาหารไม่ย่อยและกรดไหลย้อนในเวลาเดียวกันได้ วิธีธรรมชาติแก้อาการอาหารไม่ย่อย กินขิง หนึ่งใน วิธีธรรมชาติแก้อาการอาหารไม่ย่อย ที่รู้จักกันดีก็คือ การบริโภคขิง นั่นเอง ขิงเป็นที่รู้จักกันดีถึงสรรพคุณทางธรรมชาติในการรักษาโรคกระเพาะอาหาร อาการคลื่นไส้ และอาหารไม่ย่อย เมื่อคุณกินขิงจะช่วยกระตุ้นการสร้างน้ำลายและช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งแสดงให้เห็นว่า ขิงสามารถลดอาการบวม ลดระดับคอเรสเตอรอล และน้ำตาลในเลือดได้ด้วย อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญบางท่านแนะว่าขิงอาจทำให้เกิดการคลอดก่อนกำหนดในหญิงตั้งครรภ์ได้ ฉะนั้น หากคุณกำลังตั้งครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนบริโภคขิง เคี้ยวหมากฝรั่ง การเคี้ยวหมากฝรั่งช่วยให้ร่างกายผลิตน้ำลายได้มากขึ้น หมากฝรั่งบางชนิดมีส่วนผสมของไซลิทอลซึ่งช่วยป้องกันฟันผุ นอกจากนี้ หมากฝรั่งรสมินต์ยังช่วยในการขจัดกลิ่นปาก หลังรับประทานอาหาร หากคุณไม่สามารถแปรงฟัน หรือทำความสะอาดช่องปากด้วยวิธีอื่นได้ การเคี้ยวหมากฝรั่งก็ถือเป็นตัวเลือกที่ดีมาก หากคุณเผลอกลืนหมากฝรั่งลงไปก็ไม่ต้องตกใจ จริงอยู่ที่กระเพาะอาหารไม่สามารถย่อยหมากฝรั่งได้ แต่หมากฝรั่งจะเคลื่อนที่ไปตามทางเดินอาหารและถูกขับออกสู่ภายนอกร่างกายของคุณได้ อย่างไรก็ตาม เป็นไปได้ว่าหมากฝรั่งอาจก่อให้เกิดการอุดตันในลำไส้หากคุณกลืนหมากฝรั่งลงไปในปริมาณมาก ดื่มน้ำว่านหางจระเข้ ว่านหางจระเข้มีสรรพคุณต้านการอักเสบ […]


ปัญหาสุขภาพช่องท้องแบบอื่น

ยารักษาตับอักเสบ แต่ละชนิดและข้อควรรู้ในการใช้

มีการคาดการณ์ว่าประมาณ 85% ของผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี (Hepatitis C Virus; HCV) นั้นจะกลายเป็นโรคเรื้อรัง โดยผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าหากเป็นไวรัสตับอักเสบเฉียบพลัน ควรรักษาด้วยการพักผ่อน บรรเทาอาการ และบริโภคน้ำในปริมาณที่เหมาะสม การรักษาโดยใช้ยานั้นใช้เพื่อรักษาโรคตับอักเสบเรื้อรังเท่านั้น Hello คุณหมอ มีข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ยารักษาตับอักเสบ มาฝากคุณแล้ว การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีเป็นโรคติดต่อที่ทำให้เกิดอาการตับอักเสบ ผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีจะเป็นโรคเรื้อรัง สำหรับโรคตับอักเสบเรื้อรัง มักแนะนำให้ใช้ยาร่วมกับ การป้องกันโรคตับ เช่น โรคตับแข็ง (Cirrhosis) ตับวาย การบรรเทาอาการ การลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งตับ ยารักษาตับอักเสบ ที่ใช้กันมากที่สุดมีอะไรบ้าง อินเตอร์เฟอรอน (Interferons) ยาต้านไวรัสโปรตีเอส อินฮิบิเตอร์ (Protease Inhibitor) ยาต้านไวรัสนิวคลีโอไทด์ อนาล็อก (Nucleoside Analogue) ยาพอลิเมอเรส อินฮิบิเตอร์ (Polymerase Inhibitor) และการรักษาด้วยยาหลายชนิดร่วมกัน การแพทย์ทางเลือก อินเตอร์เฟอรอน (Interferons) อินเตอร์เฟอรอนคือโปรตีนในร่างกาย มีหน้าที่ต่อสู้กับการติดเชื้อ โปรตีนตัวนี้จะช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันในการต่อสู้กับไวรัสตับอักเสบซีเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน ยาเหล่านี้ได้แก่ เพกอินเตอร์เฟอรอน อัลฟ่า 2เอ สำหรับฉีด (Peginterferon alfa-2a) อย่างเพกาซิส (Pegasys) เพกอินเตอร์เฟอรอน อัลฟ่า 2เอ สำหรับฉีด อย่างเพกอินทรอน (PegIntron) หรือไซลาทรอน (Sylatron) อินเตอร์เฟอรอน […]


ปัญหาสุขภาพช่องท้องแบบอื่น

5 อันดับอาหารต้องห้าม สำหรับ ผู้ป่วยโรคตับอักเสบ

หากคุณเป็นโรคตับอักเสบ คุณจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการเลือกรับประทานอาหารอย่างระมัดระวังมากกว่าเดิม การรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสม อาจเป็นอันตรายต่อตับของคุณ คุณควรจดบันทึกหรือสังเกตอาหารบางอย่างต่อไปนี้ที่คุณควรจำกัดการรับประทานและหลีกเลี่ยงในมื้ออาหารประจำวันของคุณ อาหารที่ดีต่อสุขภาพมีความสำคัญ ถ้าคุณอยากต่อสู้กับโรคตับอักเสบที่เป็นอยู่และอยากมีสุขภาพที่ดีขึ้น  ต่อไปนี้คือประเภท อาหารและเครื่องดื่มที่ ผู้ป่วยโรคตับอักเสบ ควรหลีกให้ไกลเท่าไหร่ได้ยิ่งดี [embed-health-tool-bmr] ผู้ป่วยโรคตับอักเสบ ควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภทใดบ้าง แอลกอฮอล์ แอลกอฮอล์มักจะอยู่ในบัญชีดำเสมอ เนื่องจากเป็นพิษและขัดขวางการดูดซึมสารอาหารบางอย่างที่ร่างกายควรได้รับ โดยควรหลีกเลี่ยงการดื่มเบียร์ ไวน์หรือแชมเปญ รวมทั้งสุราของมึนเมาทุกรูปแบบ และควรสังเกตด้วยว่า ยาที่ใช้รักษาอาการปวดที่จำหน่ายตามร้านขายยาทั่วไปนั้นอาจมีส่วนผสมของแอลกอฮล์ด้วย เช่น ยาน้ำเชื่อมแก้ไอ อาหารที่มีโซเดียมสูง หากตับได้รับความเสียหาย จะไม่สามารถจัดการกับ โซเดียม ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ นอกจากนี้ การได้รับโซเดียมปริมาณสูงอาจเพิ่มระดับความดันโลหิตของคุณ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดโรค ไขมันพอกตับ ดังนั้น คุณควรหลีกเลี่ยง อาหารกระป๋อง รวมทั้งซุป เนื้อสัตว์หรือผักที่มีปริมาณเกลือและน้ำตาลสูง ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดอาการบวมในช่องท้องและการคั่งน้ำ การอ่านฉลากโภชนาการจะช่วยคุณในการควบคุมปริมาณโซเดียมได้ นอกจากนี้ คุณควรลดการรับประทานอาหารแปรรูปที่ใส่เกลือเยอะๆ เช่น เนื้อสัตว์ เบคอน และไส้กรอก รวมทั้งปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับยาที่สามารถช่วยควบคุมระดับความดันโลหิตเพื่อควบคุมอาการ ไขมันอิ่มตัว การรับประทานไขมันมากเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไขมันอิ่มตัว หรือที่รู้จักกันดีในชื่อของ ไขมันทรานส์ ได้แก่ เนย นมสด และผลิตภัณฑ์ที่มาจากสัตว์ทั้งหมดนั้น จะเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคอ้วน และไขมันพอกตับ คุณควรต้องทราบว่า เมื่อคุณเป็นโรคตับ น้ำหนักของคุณจะลดลงอย่างรวดเร็ว และตับของคุณผลิตน้ำดีที่ทำหน้าที่ย่อยและดูดซึมไขมันได้น้อยลง อย่างไรก็ตาม อาหารจำพวกไขมันยังจำเป็นต่อการทำงานของร่างกายอยู่ดี […]


ปัญหาสุขภาพช่องท้องแบบอื่น

เคล็ดลับการใช้ชีวิตแบบมีสุขภาพดีของ ผู้ป่วยตับอักเสบ

แน่นอนว่า หากเราเจ็บป่วยเป็นโรคใดก็ตาม การเข้ารับการรักษาทางการแพทย์ที่เหมาะสม เป็นสิ่งสำคัญ แต่สิ่งสำคัญไม่แพ้กันนอกจากการรักษาทางการแพทย์แล้ว การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ของตัวผู้ป่วยเอง ก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะนอกจากจะเป็นตัวช่วยในเยียวยาฟื้นฟูสภาพร่างกายจากการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว การมีไลฟ์สไตล์ที่เหมาะสม ยังเป็นการเสริมสร้างสุขภาพโดยรวมของตัวคุณเอง รวมทั้งยังเป็นเกราะป้องกันโรคภัยอื่นๆ ในระยะยาวอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณเป็น ผู้ป่วยตับอักเสบ คุณจะเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ของคุณอย่างไรเพื่อฟื้นฟูและ รักษาโรคตับอักเสบ ให้ดีขึ้น บทความนี้มีคำตอบ ผู้ป่วยตับอักเสบ ควรใช้ชีวิตอย่างมีสุขภาพดีอย่างไรบ้าง หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ แม้ว่าแอลกอฮอล์จะไม่ใช่สาเหตุทำให้เป็นโรคตับอักเสบก็ตาม แต่คุณก็ควรเลิกดื่มซะ เพราะความผิดปกติของตับอาจเลวร้ายขึ้นเมื่อคุณยังคงดื่มแอลกอฮอล์ต่อไป รับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ การเปลี่ยนแปลงการรับประทานอาหารของคุณถือเป็นปัจจัยสำคัญที่สุุด โดยคุณควรเป็นการลดปริมาณการรับประทานอาหารโซเดียมสูง โดยสามารถเลือกอาหารที่มีปริมาณโซเดียมต่ำ และลดปริมาณเกลือในสูตรอาหารลง เพราะเกลือและโซเดียมในปริมาณมากเกินไป อาจทำให้ร่างกายของคุณบวมน้ำ และทำให้อาการบวมที่ท้องน้อยและขาแย่ลง นอกจากนี้ ยังควรเพิ่มผักและผลไม้เยอะๆ ในอาหารแต่ละมื้อให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เนื่องจากผักและผลไม้นั้นเป็นแหล่งวิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญที่ช่วยเพิ่มความต้านทานโรคของร่างกายได้ โรคตับอักเสบมักนำไปสู่ภาวะทุพโภชนาการและสูญเสียกล้ามเนื้อ ดังนั้น คุณจึงต้องการปริมาณโปรตีนเพิ่มขึ้น โดยคุณสามารถเลือกรับประทานโปรตีนแบบไร้ไขมัน เช่น ถั่วประเภทฝัก สัตว์ปีก หรือปลา และอย่าลืมว่าควรหลีกเลี่ยงอาหารทะเลดิบๆ อยู่ให้ห่างจากยาที่เป็นอันตราย ยาแบบสั่งจ่ายบางประเภทซึ่งใช้เพื่อรักษาอาการอื่นๆ อาจเป็นอันตรายได้ในกรณีที่คุณเป็นโรคตับอักเสบ ดังนั้น คุณควรใช้ยาที่ซื้อเองอย่างระมัดระวัง การเป็นโรคตับอักเสบ ทำให้ตับของคุณจัดการกับยายากขึ้น ด้วยเหตุนี้ ให้ปรึกษาแพทย์ก่อนที่จะใช้ยาใดๆ ก็ตาม รวมทั้งยาแบบไม่ได้สั่งจ่ายโดยแพทย์ และแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรให้ทราบเกี่ยวกับยาที่คุณกำลังรับประทานอยู่ทุกครั้ง เปลี่ยนนิสัยของคุณ การเปลี่ยนแปลงนิสัยที่ทำร้ายสุขภาพโดยรวมของคุณ อาจช่วยให้คุณสามารถป้องกันและรับมือกับโรคตับอักเสบได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การเลิกสูบบุหรี่ และออกกำลังกายทุกวัน รวมทั้งการรับประทานวิตามินรวม (ที่สั่งจ่ายโดยแพทย์) นอกจากนี้ […]

advertisement iconโฆษณา
advertisement iconโฆษณา
advertisement iconโฆษณา

ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของเรา

ทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของ Hello คุณหมอ ประกอบไปด้วยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มาร่วมสร้างสรรค์บทความในเว็บไซต์ของเราตามความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญของเราจะช่วยรับรองว่าข้อมูลด้านสุขภาพของเราถูกต้อง เป็นปัจจุบัน และตรงตามหลักฐานจากงานวิจัยล่าสุด
ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรามุ่งมั่นเต็มที่ในการช่วยให้คุณได้รับข้อมูลและความรู้ด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือ เข้าใจง่าย และเป็นประโยชน์ และพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพกับคุณเสมอ เพื่อให้คุณได้รับทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น

ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม
ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม