สุขภาพเด็ก

สุขภาพเด็ก เป็นส่วนสำคัญในการเลี้ยงดูลูก พ่อแม่ควรให้ความสำคัญในการสังเกตความผิดปกติต่าง ๆ ตั้งแต่อาการทั่วไป จนถึงสัญญาณการติดเชื้อต่าง ๆ เรียนรู้เรื่องที่น่าสนใจเกี่ยวกับ สุขภาพเด็ก เพื่อการดูแลสุขภาพของลูกน้อย ให้เติบโตได้อย่างแข็งแรง ที่นี่

เรื่องเด่นประจำหมวด

สุขภาพเด็ก

ป้องกันภูมิแพ้ได้ตั้งแต่เริ่ม ด้วยนมแม่ที่มีคุณสมบัติเป็น H.A.

เรื่องสุขภาพของลูก ถือเป็นเรื่องใหญ่ของพ่อแม่ ลูกไม่สบายทีไร คนที่กลุ้มใจที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นคุณพ่อคุณแม่ ดังนั้นแล้วหากมีสิ่งไหนที่ช่วยป้องกันลูกน้อยจากการเจ็บป่วยได้ก็คงจะดีไม่ใช่น้อย  หนึ่งในอาการป่วยที่มักพบในเด็กเล็กๆ คือภูมิแพ้ในเด็กซึ่งดูเหมือนว่าจำนวนผู้ป่วยจะมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละปี แต่รู้หรือไม่ ว่าตัวช่วยป้องกันภูมิแพ้ในเด็กที่ดีที่สุด ไม่ใช่ของที่หายาก แต่เป็น “นมแม่” นี่เอง ภูมิแพ้ในเด็ก ภูมิแพ้ คืออาการที่ร่างกายมีปฏิกิริยาตอบสนองไวต่อสารก่อภูมิแพ้หรือสารระคายเคือง ซึ่งสามารถเกิดได้กับหลายระบบในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น ภูมิแพ้ทางเดินหายใจ ภูมิแพ้อาหารและยา ภูมิแพ้ผิวหนัง และภูมิแพ้ตา เป็นต้น สำหรับเด็กเล็กแล้ว ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง ถือเป็นภูมิแพ้ในเด็กที่พบได้บ่อย สังเกตได้จากการที่ลูกเป็นผื่นเม็ดเล็กๆ เป็นตุ่มแดงหรือตุ่มใสแตกออกมีน้ำเหลืองแฉะหรืออาจเป็นผื่นหนาลักษณะเป็นปื้นตามตัว เป็นๆหายๆ แต่ไม่มีไข้ และผิวหนังจะมีลักษณะแห้งมากและคันมาก  หรือมีผดร้อนทารกนอกจากนี้ ภูมิแพ้ในเด็กที่พบได้บ่อยยังรวมถึง หอบหืด เยื่อบุจมูกอักเสบ และแพ้อาหารด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม อาการภูมิแพ้ในเด็ก อาจนำไปสู่การเกิด ลูกโซ่ภูมิแพ้ (Allergic March) หรือกระบวนการที่ภูมิแพ้ในเด็กพัฒนาต่อเนื่องจากชนิดหนึ่งไปเป็นอีกชนิดหนึ่งตามการเจริญเติบโต ซึ่งมีจุดเริ่มต้นได้ตั้งแต่โรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ และการแพ้อาหารในช่วงวัยทารก ตามมาด้วยโรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจ ทั้งนี้ภาวะลูกโซ่ภูมิแพ้สามารถพัฒนาต่อเนื่องไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ได้เลย H.A. คุณสมบัติที่มีในนมแม่ ช่วยป้องกันภูมิแพ้ เหตุผลที่ “นมแม่” คือตัวช่วยป้องกันภูมิแพ้ตั้งแต่เริ่มต้น นั่นเพราะนมแม่เปี่ยมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด โดยมี 5 ใยอาหารหลัก […]

หมวดหมู่ สุขภาพเด็ก เพิ่มเติม

สำรวจ สุขภาพเด็ก

สุขภาพเด็ก

โรคโพรจีเรีย อาการ สาเหตุ การรักษา

โรคโพรจีเรีย โรคแก่ก่อนวัยในเด็ก หรือ โรคชราในเด็ก เป็นความบกพร่องทางพันธุกรรมที่เกี่ยวข้องกับการหลายพันธุ์ของยีน LMNA ทำให้การสังเคราะห์โปรตีนลามินา (Lamina) ซึ่งเป็นโปรตีนที่สร้างในที่เก็บนิวเคลียสของเซลล์ชำรุด และนำไปสู่กระบวนการความแก่ก่อนวัย ทั้งยังอาจทำให้เกิดปัญหาหลอดเลือดของสมอง และการแข็งตัวของหลอดเลือด จนส่งผลให้เลือดไม่สามารถลำเลียงสารอาหาร และออกซิเจนไปเลี้ยงหัวใจได้อย่างเป็นปกติ จนอาจทำให้หัวใจวาย หรือเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวได้ โรคโพรจีเรีย คืออะไร โรคโพรจีเรีย (Hutchinson-Gilford Progeria Syndrome หรือ HGPS) หรือ โรคแก่ก่อนวัยในเด็ก หรือ โรคชราในเด็ก เป็นความบกพร่องทางพันธุกรรมที่เกี่ยวข้องกับการกลายพันธุ์ของยีน LMNA ทำให้การสังเคราะห์โปรตีนลามินา (Lamina) ซึ่งเป็นโปรตีนที่สร้างในที่เก็บนิวเคลียสของเซลล์ชำรุด จนเกิดความไม่เสถียรภายในร่างกาย และนำไปสู่กระบวนการความแก่ก่อนวัย โดยภาวะนี้สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในเด็กเพศชาย และเพศหญิงทั่วโลก บางกรณี หากเด็กมีร่างกายไม่แข็งแรง ก็อาจทำให้มีอายุขัยสั้นลง และมักเสียชีวิตเมื่ออายุเฉลี่ย 13-14 ปี นอกจากนี้ โรคโพรจีเรียยังก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวกับปัญหาหลอดเลือดของสมอง และการแข็งตัวของหลอดเลือด จนส่งผลให้เลือดไม่สามารถลำเลียงสารอาหาร และออกซิเจนไปเลี้ยงหัวใจได้อย่างเป็นปกติ จนอาจทำให้หัวใจวาย หรือเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวได้ อาการโรคโพรจีเรีย อาการทางกายภาพของโรคโพรจีเรียที่คุณพ่อคุณแม่ หรือคนในครอบครัวสามารถสังเกตได้ตั้งแต่กำเนิด หรือภายในระยะเวลาช่วงปีแรกหลังคลอด อาจได้แก่ ส่วนสูง และน้ำหนักไม่สมมาตรฐาน ผมร่วง มองเห็นเส้นเลือดบนหนังศีรษะเด่นชัด ผิวหนังหย่อนคล้อย […]


โรคเด็กและอาการทั่วไป

ปวดหัวไมเกรนในเด็ก อาการ สาเหตุ และวิธีรักษาที่เหมาะสม

อาการปวดหัวไมเกรน เป็นอาการปวดหัวอย่างรุนแรง โดยจะมีอาการปวดตุบ ๆ ปกติแล้วอาการปวดหัวไมเกรนนั้นจะปวดศีรษะเพียงข้างเดียว แต่บางครั้งก็อาจจะเริ่มต้นจากอาการปวดเพียงข้างเดียวก่อน แล้วจึงปวดทั้งสองข้าง โดยทั่วไปแล้วเรามักจะเจออาการปวดหัวไมเกรนในผู้ใหญ่ แต่จริงๆ แล้วอาการ ปวดหัวไมเกรนในเด็ก ก็สามารถเกิดขึ้นได้เช่นกัน อาการปวดหัวไมเกรนในเด็ก  อาการปวดหัวไมเกรน เป็นอาการของการปวดหัวที่จะมีอาการรุนแรงกว่าการปวดหัวแบบอื่นๆ อาการปวดหัวไมเกรนในเด็กอาจจะมีความแตกต่างจากผู้ใหญ่ เช่น อาการปวดหัวไมเกรนในเด็ก อาจจะมีระยะเวลาในการเกิดอาการน้อยกว่าอาการปวดหัวไมเกรนในผู้ใหญ่หรืออาจจะมีอาการดังนี้ มีอาการปวดศีรษะปานกลางจนถึงขั้นรุนแรงทั้งสองข้างของศีรษะ ปวดหัวแบบตุบๆ มีอาการคลื่นไส้และอาเจียน มีความไวต่อแสง หรือดวงตาแพ้แสง (photophobia) มีความไวต่อเสียง ไม่ชอบเสียงดังๆ หากอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดังอาจทำให้เกิดความวิตกกังวล มีความไวต่อกลิ่น (osmophobia) เป็นอาการของการกลัวกลิ่น กลิ่นบางกลิ่นอาจทำให้เกิดอาการกลัว วิตกกังวล และมีความเกี่ยวของกับอาการปวดหัวไมเกรน มีอาการปวดท้อง ซึ่งจริงๆ แล้วอาจเป็นอาการปวดท้องที่มีความเกี่ยวข้องกับไมเกรน บางครั้งก่อนที่จะมีอาการไมเกรน อาจมีปัญหาในการมองเห็น มีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือมีปัญหาทางด้านการสื่อสาร สัญญาณที่บ่งบอกว่าลูกคุณอาจมีอาการ ปวดหัวไมเกรนในเด็ก มีอาการพูดช้า ไม่ชัด หรือสื่อสารไม่ได้ความ (Dysarthria) วิงเวียนศีรษะบ้านหมุน ได้ยินเสียงดังในหู เห็นภาพซ้อน (Diplopia) ซึ่งเป็นความผิดปกติของดวงตาที่จะเห็นวัตถุชิ้นเดียวเป็นสองชิ้น มีปัญหาเกี่ยวกับการมองเห็น การเคลื่อนไหวผิดปกติ กล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานงานกัน ทำให้เกิดความผิดปกติในการเคลื่อนไหว เดินเงอะงะ ขาดสมาธิ […]


ความผิดปกติทางพัฒนาการและพฤติกรรม

ภาวะบกพร่องทางการคิดคำนวณ (Dyscalculia) สาเหตุและวิธีรักษา

ในช่วงเวลาเด็กของใครหลายคน จนกระทั่งตอนนี้ หากจะถามว่าเกลียดวิชาอะไรมากที่สุด คำตอบยอดนิยมคงไม่พ้น วิชาคณิตศาสตร์เป็นแน่ เมื่อย้อนกลับไปในวัยที่กำลังเรียน เราอาจรู้สึกว่าวิชานี้ยาก ครูดุ จึงทำให้ไม่ชอบเรียนวิชาคำนวณ และทำผลการเรียนในวิชานี้ได้ไม่ดีนัก แต่… มีเด็กอีกหลายคนเรียนคณิตศาสตร์ได้ไม่ดี เนื่องจากอาการทางสุขภาพที่เรียกว่า ภาวะบกพร่องทางการคิดคำนวณ หรือ ภาวะบกพร่องทางคณิตศาสตร์ ซึ่งส่งผลต่อพัฒนาการในการเรียนรู้เกี่ยวกับคณิตศาสตร์เกือบทั้งหมด คนที่ไม่ชอบคณิตศาสตร์อาจยังพอทำความเข้าใจหลักการของตัวเลขได้บ้าง แต่ผู้ที่มีภาวะบกพร่องดังกล่าว อาจประสบกับความสับสนหรือยุ่งยากได้มากกว่าคนทั่วไปที่ไม่มีภาวะนี้ ภาวะบกพร่องทางการคิดคำนวณ (Dyscalculia) คืออะไร ภาวะบกพร่องทางการคิดคำนวณ (Dyscalculia) คือ ภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ในทางคณิตศาสตร์ ผู้ที่มีภาวะนี้จะมีปัญหาเกี่ยวกับการเรียนรู้ทางคณิตศาสตร์ในหลายระดับที่แตกต่างกันออกไป เช่น ไม่สามารถจำแนกหรือแยกแยะโจทย์ปัญหาได้อย่างชัดเจน แม้จะเป็นโจทย์ปัญหาง่าย ๆ ไม่สามารถแยกรูปทรงทางคณิตศาสตร์ได้ ใช้เวลานานในการแยกแยะว่ารูปทรงใดมีขนาดเล็กหรือใหญ่กว่ากัน ซึ่งภาวะบกพร่องทางการคิดคำนวณนี้ ทำให้การเรียนคณิตศาสตร์ หรือแม้แต่การคิดเลขง่ายๆ ในชีวิตประจำวัน กลายเป็นช่วงเวลาอันอย่างลำบากและเลวร้ายเกินกว่าที่จะผ่านไปได้  สาเหตุของภาวะบกพร่องทางการคิดคำนวณ ผู้เชี่ยวและนักวิจัยทั้งหลายยังไม่สามารถสรุปได้แน่นอนว่า อาการบกพร่องทางคณิตศาสตร์ นั้นเกิดจากอะไร แต่ข้อสันนิษฐานที่เป็นไปได้มากที่สุดอาจมาจาก ระบบพันธุกรรม ภาวะบกพร่องทางคณิตศาสตร์ อาจเกิดจากความผิดปกติของโครโมโซม หรือความผิดปกติทางใดทางหนึ่งในระบบพันธุกรรม กระบวนการพัฒนาของสมอง จากผลการศึกษาพบว่า โครงสร้างและการทำงานในสมองของผู้ที่มีภาวะบกพร่องทางคณิตศาสตร์กับผู้ที่ไม่มีภาวะดังกล่าวนั้นแตกต่างกัน โดยเฉพาะการทำงานของสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ อาการของ ภาวะบกพร่องทางการคิดคำนวณ เป็นอย่างไร เด็กที่มี ภาวะบกพร่องทางคณิตศาสตร์ จะมีพัฒนาการทางด้านการคำนวณที่ช้ากว่าเด็กในวัยเดียวกัน ขณะที่เด็กคนอื่นสามารถจะนับเลขในใจได้แล้ว แต่เด็กที่มีภาวะบกพร่องชนิดนี้อาจยังใช้การนับนิ้วอยู่ หรืออาจไม่สามารถแยกได้ว่าตัวเลขจำนวนใดมากกว่าจำนวนใด รวมถึงไม่เข้าใจในกระบวนการทางคณิตศาสตร์รูปแบบอื่น ๆ เช่น มีความสับสนในการประเมินสิ่งต่าง […]


สุขภาพเด็ก

ลูกไม่ยอมนอน คุณพ่อคุณแม่ควรรับมืออย่างไร

ลูกนอนไม่หลับ อาจเกิดจากหลายสาเหตุด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นยังอายุน้อยเกินไป ซึ่งในช่วง 2 เดือนแรก ทารกแรกเกิดมักจะหลับ ๆ ตื่น ๆ ประมาณ 12-18 ชั่วโมง/วัน และจะนอนหลับสนิทตลอดทั้งคืนเมื่ออายุ 9 เดือนขึ้นไป นอกจากนั้น ยังอาจเกิดจากการที่เด็กเหนื่อยมากเกินไป ความวิตกกังวล รวมไปถึงภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่อาจจะต้องสังเกตลูกน้อย เพื่อหาสาเหตุที่เกิดขึ้น เหตุผลที่ทำให้ ลูกไม่ยอมนอน ส่วนใหญ่แล้ว เด็กที่อยู่ในช่วงวัยประถมประมาณ 20-30% พยายามที่จะนอนให้หลับตลอดทั้งคืน แต่ความวิตกกังวลบางอย่าง อาจทำให้พวกเขาไม่ยอมนอน ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ลูกไม่ยอมนอนอาจมีดังนี้ ลูกยังเด็กเกินไป โดยปกติแล้วมีทารกเพียงไม่กี่คนที่นอนหลับสนิทตลอดทั้งคืน ในช่วง 2 เดือนแรก ทารกแรกเกิดมักจะหลับ ๆ ตื่น ๆ ประมาณ 12-18 ชั่วโมง/วัน และจะนอนหลับสนิทตลอดทั้งคืนเมื่ออายุ 9 เดือนขึ้นไป ซึ่งการนอนหลับตลอดทั้งคืนของทารกนั้น หมายถึง 5-6 ชั่วโมงติดต่อกัน เหนื่อยมากไป เด็กวัยหัดเดินและเด็กก่อนวัยเรียนต้องการการนอนหลับ 11-14 ชั่วโมง ซึ่งเวลาที่เด็กต้องการนั้นรวมถึงตอนกลางคืนและงีบหลับด้วย ดังนั้น กิจวัตรประจำวันของเด็ก ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหาร […]


โรคทางเดินหายใจในเด็ก

โรคครูป เกิดจากอะไร และมีวิธีรักษาอย่างไร

โรคครูป (Croup) เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ ส่วนใหญ่จะมาจากการติดเชื้อไวรัสบางชนิด ซึ่งพบมากในเด็กเล็ก ๆ ตั้งแต่อายุ 6 เดือน-3 ปี โดยการติดเชื้อดังกล่าวนี้จะก่อให้เกิดอาการอักเสบที่บริเวณกล่องเสียงจนถึงหลอดลมส่วนต้น เป็นผลให้หลอดลมมีลักษณะบวมและตีบแคบ เพราะหลอดลมของเด็กเล็กมีขนาดเล็กจึงแสดงอาการได้ชัดเจน [embed-health-tool-vaccination-tool] โรคครูป เกิดจากอะไร โรคครูปนั้นมักจะมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อไวรัส โดยเฉพาะเชื้อไวรัสพาราอินฟลูเอนซา (Parainfluenza) ซึ่งสามารถติดเชื้อชนิดนี้ได้จากการหายใจหรือสัมผัสกับพื้นผิวของวัตถุที่มีเชื้อนี้เกาะอยู่ แต่บางรายก็อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่มาจากการติดเชื้อแบคทีเรีย โดยจะมีอาการรุนแรงมากกว่าการติดเชื้อไวรัส นอกจากนี้ โรคครูปยังเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ เช่น โรคภูมิแพ้หรือแม้แต่หายใจเอาสิ่งที่ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองเข้าไป ภาวะกรดไหลย้อน มักจะเริ่มจากมีอาการคล้ายโรคหวัดที่เป็นระยะเวลา 3-5 วัน เช่น มีไข้ น้ำมูกไหล คัดจมูก และอาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ตาแดง มีผื่นขึ้น เสียงแหบ ต่อมน้ำเหลืองบวม หายใจเสียงดัง หายใจลำบาก ไอแบบมีเสียงก้องหรือคล้ายเสียงเห่า จะมีอาการไอมากขึ้นเมื่อเกิดการอักเสบและโดยเฉพาะช่วงเวลากลางคืน วิธีการรักษาโรคครูป เมื่อพาลูกไปพบคุณหมอก็จะได้รับการรักษาด้วยการวัดระดับออกซิเจน รวมถึงคุณหมออาจตรวจลักษณะการหายใจของเด็กว่ามีลักษณะเหนื่อยหอบหรือไม่ จากนั้นจะประเมินความรุนแรงของโรค ดังนี้ อาการไม่รุนแรง คุณหมอจะให้ยาสเตียรอยด์โดยการฉีดหรือรับประทาน หากมีอาการดีขึ้นก็สามารถกลับบ้านได้แล้วนัดติดตามอาการภายใน 24-48 ชั่วโมง อาการรุนแรงปานกลาง คุณหมอจะให้พ่นยาอะดรีนาลีนเพิ่มเติมจากยาสเตียรอยด์ จากนั้น ประเมินอาการที่โรงพยาบาล 2-4 […]


สุขภาพเด็ก

สัญญาณเตือนที่บ่งบอกโรคย้ำคิดย้ำทำในเด็ก และวิธีการรับมือ

โรคย้ำคิดย้ำทำ (Obsessive-compulsive disorder หรือ OCD) เป็นโรควิตกกังวลประเภทหนึ่ง ที่ส่งผลให้ผู้ป่วยมีพฤติกรรมหรือความคิดซ้ำไปซ้ำมาเนื่องจากความไม่สบายใจ เช่น ล้างมือซ้ำ ๆ เปิดปิดประตูบ้านซ้ำ ๆ ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกวัย โดยเฉพาะ โรคย้ำคิดย้ำทำในเด็ก ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่จึงควรทำความเข้าใจ และคอยสังเกตสัญญาณเตือนของโรคย้ำคิดย้ำทำในเด็ก เพื่อจะได้สามารถรับมือกับโรคได้อย่างเหมาะสม โรคย้ำคิดย้ำทำในเด็ก คืออะไร โรคย้ำคิดย้ำทำ เป็นโรควิตกกังวลประเภทหนึ่ง ผู้ป่วยจะการคิดเรื่องเดิมซ้ำไปซ้ำมา เนื่องจากมีเหตุที่ทำให้รู้สึกกังวลหรือไม่สบายใจ จนเป็นผลให้ทำเรื่องเดิมซ้ำไปซ้ำมาด้วยเช่นกัน ซึ่งอาการนี้แม้ตัวผู้ป่วยจะรู้ตัวว่าไม่สมเหตุสมผล แต่ก็ไม่สามารถหยุดความคิดและการกระทำได้ โรคย้ำคิดย้ำทำในเด็กนี้มักจะพบได้กับเด็ก 1 ใน 100 คน เด็กที่เป็นโรคย้ำคิดย้ำทำนั้นจะมีความคิดเกี่ยวกับ ความกังวลหรือความหวาดกลัวในเรื่องบางอย่าง เช่น ความกลัวที่จะสัมผัสกับสิ่งที่สกปรก และแสดงออกตามความคิด เพื่อพยายามควบคุมหรือลดทอนความกลัวนั้น เช่น การล้างมือที่บ่อยขึ้น หรือล้างมือมากจนเกินไป แต่การบรรเทานั้นมักจะช่วยได้แค่ชั่วคราว เพราะลักษณะการย้ำทำนั้นสุดท้ายแล้วจะหลายเป็นตัวการที่ทำให้การย้ำคิดรุนแรงขึ้น จนกลายเป็นวงจรย้ำคิดย้ำทำไปเรื่อยๆ สาเหตุในการเกิดโรคย้ำคิดย้ำทำนั้นยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่มีงานวิจัยที่ให้ความเห็นว่า โรคนี้อาจจะเกิดขึ้นจากความผิดปกติของสมอง เนื่องจากผู้ที่เป็นโรคย้ำคิดย้ำทำนั้นมักจะขาดแคลนสารเซโรโทนิน (serotonin) ในสมอง หรืออาจเกิดขึ้นจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม นอกจากนี้ การติดเชื้อสเตร็ปโตค็อกคัส (Streptococcus) ก็อาจกระตุ้นให้เกิดโรคย้ำคิดย้ำทำ หรือทำให้โรคมีอาการรุนแรงขึ้นได้เช่นกัน จะรู้ได้อย่างไรว่าลูกเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ การจะสังเกตว่าลูกเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำหรือไม่ อาจจะเป็นการยากในช่วงวัยทารก เพราะเด็กยังอยู่ในช่วงของการพัฒนาการเรียนรู้ ยังมีความอยากรู้อยากเห็น […]


ปัญหาสุขภาพเด็กแบบอื่น

เขย่าทารก พฤติกรรมอันตรายที่ผู้ใหญ่ควรระวัง

เขย่าทารก เป็นพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดภาวะ Shaken Baby Syndrome เพราะเมื่อคุณพ่อคุณแม่เล่นกับลูกน้อยด้วยการจับลูกเขย่า หรือเขย่าเพื่อให้ลูกหยุดร้อง อาจส่งผลให้เกิดเลือดออกในสมอง เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ และอาจร้ายแรงถึงขั้นทำให้เสียชีวิตได้ โดยเฉพาะเด็กทารกที่มีอายุน้อยกว่า 1 ปี Shaken Baby Syndrome เกิดจากอะไร เขย่าทารก เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะ Shaken Baby Syndrome พบในเด็กทารกวัย 3 – 8 เดือน เพราะแรงเขย่านั้นส่งผลให้เนื้อสมองเกิดการกระแทกกับผนังกะโหลกศีรษะ โดยสมองของเด็กวัยนี้จะมีน้ำในช่องสมองมากกว่าเนื้อสมอง เมื่อเขย่าตัวเด็กแรงๆ เนื้อสมองจึงเกิดการแกว่งไปแกว่งมาแล้วกระแทกกับกะโหลก จนทำให้เนื้อสมองเกิดความบอบช้ำเสียหาย เพราะเหตุใดจึงห้าม เขย่าทารก สมองของเด็กทารกนั้นมีขนาดใหญ่ อีกทั้งกล้ามเนื้อคอก็ยังไม่แข็งแรงมากพอต่อการพยุงศีรษะได้ ดังนั้นการเขย่าทารกอย่างรุนแรงจะทำให้เนื้อสมองกระทบกระแทกกับกะโหลกศีรษะ ส่งผลให้เส้นเลือดที่หุ้มสมองอันบอบบางนั้นเกิดการฉีกขาดได้ จนกระทั่งเกิดภาวะเลือดออกจากสมองที่เป็นอันตราย อาการที่เกิดจากการเขย่าทารก เมื่อเด็กทารกถูกเขย่าตัวแรง ๆ อาจเกิดบาดแผลภายในที่ไม่สามารถมองเห็นได้ แต่คุณพ่อคุณแม่อาจสังเกตจากความผิดปกติบางอย่าง เช่น ซึม ไม่กินนม อาเจียน  ร้องไห้งอแงตลอดเวลา หายใจลำบากจนกระทั่งไม่สามารถตอบสนองต่อเสียงเรียกได้ ซึ่งเป็นอาการที่คุณพ่อคุณแม่ควรพาลูกไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด หากปล่อยทิ้งไว้นานอาจมีอาการรุนแรงขึ้นจนถึงเสียชีวิตได้ การกระทำแบบไหนที่คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ควรระวัง เพื่อป้องกันการเกิด Shaken Baby Syndrome คุณพ่อคุณแม่และผู้ใหญ่ที่ต้องการเล่นกับเด็กทารกควรหลีกเลี่ยงการกระทำเหล่านี้ จับตัวทารกเหวี่ยงไปมา การจับตัวทารกเหวี่ยงไปมาแรง ๆ จนหัวสั่นคลอน ย่อมส่งผลต่อสมองของทารก […]


โรคติดเชื้อในเด็ก

Herpangina อาการ สาเหตุ และการรักษา

Herpangina เป็นโรคระบาดในเด็กที่อาจเกิดจากเชื้อไวรัสที่อยู่ในกลุ่มเอนเทอโรไวรัส (Enterovirus) ซึ่งอาจเป็นเชื้อไวรัสชนิดเดียวกับเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคมือ เท้า ปาก โดยผู้ป่วยอาจมีอาการเจ็บคอ เป็นไข้ อาจมีแผลที่ช่องปากบริเวณเพดาน และในโพรงคอหอยด้านหลัง อาการที่เกิดขึ้นอาจไม่รุนแรง และอาจหายได้เอง [embed-health-tool-vaccination-tool] Herpangina คืออะไร  Herpangina (โรคเฮอร์แปงไจน่า) คือ โรคระบาดในเด็กที่อาจเกิดจากเชื้อไวรัสที่อยู่ในกลุ่มเอนเทอโรไวรัส (Enterovirus) อาจพบมากในเด็กอายุ 3-10 ปี รวมถึงเด็กที่ต้องไปโรงเรียน หรือต้องอยู่ที่สถานบันดูแลเด็กเล็ก หรือค่าย โรคนี้อาจเกิดขึ้นบริเวณเพดานปาก อาการที่เกิดขึ้นอาจไม่รุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิต แต่ก็อาจทำให้เกิดตุ่มเล็ก ๆ ในปาก เป็นแผลในฝาก มีอาการเจ็บคอ มีไข้สูง ในเด็กทารกที่อายุต่ำกว่า 1 ปี อาจสังเกตอาการของโรคเฮอร์แปงไจน่าได้ยาก เพราะในทารกบางคนอาจไม่ปรากฏอาการใด ๆ โรคเฮอร์แปงไจน่าที่เกิดในเด็กทารกอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อปัญหาร้ายแรงอื่น ๆ เช่น การบวมของสมอง การติดเชื้อที่เยื่อหุ้มสมอง โดยส่วนใหญ่โรคเฮอร์แปงไจน่าอาจพบได้ในช่วงฤดูร้อน และฤดูฝน อาการของโรคเฮอร์แปงไจน่า อาการของโรคเฮอร์แปงไจน่าอาจแสดงให้เห็นภายใน 2-5 วัน หลังจากได้รับเชื้อ อาการอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล และอาการอาจหายไปเองใน 7-10 วัน โดยอาการที่ปรากฏอาจมีดังนี้ มีไข้เฉียบพลัน รู้สึกเจ็บคอ รู้สึกเจ็บปวดขณะกลืนอาหาร เบื่ออาหาร […]


สุขภาพเด็ก

แปรงฟันแห้ง คืออะไร ดีต่อสุขภาพฟันเด็กอย่างไร

แปรงฟันแห้ง เป็นวิธีแปรงฟันโดยไม่ทำให้แปรงสีฟันเปียกก่อนแปรง และไม่บ้วนปาก ซึ่งอาจช่วยป้องกันฟันผุให้ลูกได้ดีกว่าการแปรงฟันแบบเปียก อย่างไรก็ตาม การทราบขั้นตอนในการแปรงฟันแห้งที่ถูกต้อง อาจช่วยให้ได้ประโยชน์จากการแปรงฟันวิธีนี้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และช่วยดูแลรักษาสุขภาพฟันให้แข็งแรงสมบูรณ์ [embed-health-tool-vaccination-tool] แปรงฟันแห้ง คืออะไร การแปรงฟันแห้ง (Dry Toothbrushing) คือ วิธีการแปรงฟันโดยไม่ใช้น้ำ ไม่ต้องให้แปรงสีฟันเปียกน้ำหลังบีบยาสีฟันหรือก่อนแปรงฟัน เพราะการจุ่มแปรงสีฟันในน้ำอาจทำให้ฟลูออไรด์ในยาสีฟันที่มีคุณสมบัติช่วยป้องกันฟันผุเจือจางลง และหลังจากแปรงฟันเสร็จแล้ว ก็ให้บ้วนเอาฟองออก โดยไม่ต้องบ้วนน้ำ เพื่อให้ฟลูออไรด์ในยาสีฟันยังคงเคลือบอยู่บนผิวฟัน ซึ่งอาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันฟันผุ และทำให้ฟันแข็งแรง ขั้นตอนการแปรงฟันแห้งที่ถูกต้อง การแปรงฟันแห้งที่ถูกต้อง อาจมีขั้นตอนดังต่อไปนี้ บีบยาสีฟันลงบนแปรงสีฟันสะอาดโดยไม่ชุบหรือจุ่มน้ำ แล้วแปรงฟันตามปกติอย่างน้อย 2 นาที บ้วนยาสีฟันและฟองทิ้งให้หมด โดยไม่ใช้น้ำบ้วนปาก หรือหากไม่ชินอาจบ้วนน้ำได้เล็กน้อย 1 ครั้ง หลังแปรงฟันแห้ง ควรทิ้งระยะเวลาอย่างน้อย 30 นาทีก่อนรับประทานอาหาร เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากการแปรงฟันแห้ง แปรงฟันแห้งดีกว่าแปรงฟันแบบเปียกอย่างไร ส่วนผสมในฟลูออไรด์มีคุณสมบัติในการช่วยป้องกันฟันผุ แต่แม้เด็กจะใช้ยาสีฟันผสมฟลูออไรด์แล้ว ก็อาจยังประสบปัญหาฟันผุได้ สาเหตุหนึ่งอาจเป็นเพราะการแปรงฟันเปียกหรือการบ้วนน้ำหลังแปรงฟัน จนทำให้ฟลูออไรด์ในยาสีฟันถูกชะล้างออกไป ซึ่งต่างจากการแปรงฟันแห้ง ที่จะช่วยให้ฟลูออไรด์ในยาสีฟันยังคงเคลือบอยู่บนผิวฟันได้นานก่วา จึงอาจป้องกันฟันผุได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เมื่อเด็ก ๆ แปรงฟันแห้งเป็นประจำทุกวัน จึงอาจช่วยให้ฟันของเด็กแข็งแรง ลดความสี่ยงในการเกิดฟันผุได้มากกว่าการแปรงฟันแบบเปียก เคล็ดลับการแปรงฟันเด็กอย่างถูกวิธี วิธีการแปรงฟันสำหรับเด็กที่ง่ายและมีประสิทธิภาพ คือ เทคนิคการแปรงฟันแบบถูไปมาในแนวนอน (Horizontal Scrub Technique) โดยวางแปรงสีฟันในแนวนอน และขยับแปรงสั้น ๆ […]


โรคเด็กและอาการทั่วไป

ทารกท้องเสีย เกิดจากอะไร ควรรับมือได้อย่างไรดี

ท้องเสีย อาจจะฟังดูเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นได้ทั่วไป แต่หากอาการรุนแรงก็อาจทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพจนถึงขึ้นทำให้เสียชีวิตได้ โดยเฉพาะสำหรับทารก ซึ่งปัญหาเรื่อง ทารกท้องเสีย อาจทำให้คุณพ่อคุณแม่เกิดความวิตกกังวล ดังนั้น การทราบถึงทราบถึงสาเหตุที่ทำให้ทารกท้องเสีย รวมถึงวิธีการดูแลลูกเมื่อท้องเสีย จึงเป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรศึกษาเอาไว้ เพื่อจะได้รับมือได้อย่างทันท่วงที ตรวจเช็กตารางการฉีดวัคซีนของลูกน้อย ที่นี่ ขับถ่ายธรรมดากับ ทารกท้องเสีย แตกต่างกันอย่างไร การจะแยกความแตกต่างระหว่างอุจจาระธรรมดาของทารก กับอาการทารกท้องเสีย อาจเป็นเรื่องยาก เนื่องจากอุจจาระของทารกมักจะมีลักษณะเหลว มีสีแตกต่างกัน รงมถึงทารกอาจถ่ายบ่อยเป็นปกติอยู่แล้ว แต่การสังเกตความแตกต่างของอุจจาระแต่ละประเภทอาจทำได้ ดังนี้ อุจจาระของทารกที่กินนมแม่ ลักษณะอุจจาระของทารกที่กินนมแม่ อาจจะมีลักษณะเป็นสีเหลือง นิ่ม เหลว และอาจจะมีก้อนเล็กๆ ปะปนอยู่บ้าง เนื่องจากสิ่งที่ทารกรับประทานเข้าไปมีเพียงนมแม่เท่านั้น อุจจาระประเภทนี้อาจจะแยกออกจากอาการท้องเสียได้ค่อนข้างยาก อุจจาระของทารกที่กินนมผง ทารกที่กินนมผงอาจมีอุจจาระเป็นสีเหลืองเข้ม หรือสีออกน้ำตาล และมักจะมีความข้นหนืดมากกว่าอุจจาระของทารกที่กินนมแม่ โดยปกติแล้ว อาจสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของทารกที่กินนมผงได้อย่างง่ายดาย รวมถึงอาจสังเกตเห็นอาการท้องเสียในทารกได้อย่างรวดเร็ว อุจจาระของทารกที่กินทั้งนมแม่และนมผง อุจจาระของทารกที่กินทั้งนมแม่และนมผงจะมีลักษณะต่าง ๆ มากมาย โดยคุณพ่อคุณแม่อาจสังเกตอาการท้องเสียได้ หากอุจจาระของทารกมีลักษณะที่แตกต่างไปจากปกติ เช่น อุจาระเหลวมากกว่าปกติ ถ่ายบ่อยมากกว่าปกติ อุจจาระของทารกท้องเสีย อาจมีลักษณะเป็นอุจจาระเหลว ไหลเป็นน้ำ อุจจาระมีสีเขียว หรือมีสีคล้ำกว่าปกติ มีกลิ่นเหม็นมาก และอาจมีมูกเลือดปน ทารกท้องเสีย เกิดจากอะไร สำหรับสาเหตุที่ทำให้ทารกท้องเสีย อาจมีดังนี้ การติดเชื้อไวรัส โรตาไวรัส (Rotavirus) […]

ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา

กำลังมองหาเรื่องราวในการเลี้ยงดูบุตรใช่หรือไม่?

เข้าร่วมชุมชนการเลี้ยงดูบุตรและแลกเปลี่ยนข้อมูลกับคุณแม่และคุณพ่อคนอื่น ๆ เข้าร่วมชุมชนได้เลย!





ad iconโฆษณา

ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของเรา

ทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของ Hello คุณหมอ ประกอบไปด้วยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มาร่วมสร้างสรรค์บทความในเว็บไซต์ของเราตามความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญของเราจะช่วยรับรองว่าข้อมูลด้านสุขภาพของเราถูกต้อง เป็นปัจจุบัน และตรงตามหลักฐานจากงานวิจัยล่าสุด
ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรามุ่งมั่นเต็มที่ในการช่วยให้คุณได้รับข้อมูลและความรู้ด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือ เข้าใจง่าย และเป็นประโยชน์ และพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพกับคุณเสมอ เพื่อให้คุณได้รับทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น

ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ชุมชน