สุขภาพเด็ก

สุขภาพเด็ก เป็นส่วนสำคัญในการเลี้ยงดูลูก พ่อแม่ควรให้ความสำคัญในการสังเกตความผิดปกติต่าง ๆ ตั้งแต่อาการทั่วไป จนถึงสัญญาณการติดเชื้อต่าง ๆ เรียนรู้เรื่องที่น่าสนใจเกี่ยวกับ สุขภาพเด็ก เพื่อการดูแลสุขภาพของลูกน้อย ให้เติบโตได้อย่างแข็งแรง ที่นี่

เรื่องเด่นประจำหมวด

สุขภาพเด็ก

โปลิโอ เป็นแล้วรักษาไม่หาย แต่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน

โปลิโอ หรือที่รู้จักกันในชื่อ ไข้ไขสันหลังอักเสบ เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากไวรัสโปลิโอ (Poliovirus) ซึ่งเคยส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพของมนุษย์ในอดีต โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กเล็ก แม้ว่าในปัจจุบันโรคนี้จะลดลงอย่างมากเนื่องจากการพัฒนาวัคซีน แต่ความตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคและการป้องกันยังคงมีความสำคัญ [embed-health-tool-vaccination-tool] โปลิโอ คืออะไร โรคโปลิโอเกิดจากเชื้อไวรัสในตระกูล Picornavirus โดยไวรัสนี้แบ่งเป็น 3 สายพันธุ์หลัก ได้แก่ PV1, PV2 และ PV3 ซึ่งไวรัสสามารถเข้าสู่ร่างกายผ่านการบริโภคน้ำหรืออาหารที่ปนเปื้อน รวมถึงการสัมผัสกับผู้ติดเชื้อโดยตรง เมื่อไวรัสเข้าสู่ร่างกาย มันจะแพร่กระจายในลำไส้และระบบประสาทส่วนกลาง ทำลายเซลล์ประสาทที่ควบคุมการเคลื่อนไหว ส่งผลให้เกิดภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรงหรืออัมพาต การแพร่กระจายของโรค โรคโปลิโอแพร่กระจายได้ง่ายในพื้นที่ที่มีการสุขาภิบาลไม่ดี โดยเชื้อไวรัสจะถูกขับออกจากร่างกายผู้ติดเชื้อผ่านทางอุจจาระ แล้วปนเปื้อนในน้ำหรืออาหาร นอกจากนี้ การสัมผัสใกล้ชิด เช่น การสัมผัสมือหรือของใช้ส่วนตัวที่มีเชื้อไวรัสอยู่ ก็เป็นอีกเส้นทางที่โรคสามารถแพร่กระจายได้ กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงคือเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี และผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนครบถ้วน อาการของโรคโปลิโอ โรคโปลิโอมีลักษณะอาการหลากหลาย ตั้งแต่ไม่มีอาการไปจนถึงอัมพาตรุนแรง ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ (70-90%) ไม่มีอาการ แต่สามารถแพร่เชื้อได้ อาการเบื้องต้น รวมถึงไข้ต่ำ อ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อ และคลื่นไส้ อาการรุนแรง ได้แก่ อัมพาตของแขนขา หรือในบางกรณีเชื้อไวรัสอาจทำลายระบบประสาทที่ควบคุมการหายใจ ส่งผลให้เสียชีวิต สำหรับบางคนที่เคยติดเชื้อ อาจเกิดภาวะ กลุ่มอาการหลังโปลิโอ (Post-Polio Syndrome) ในระยะเวลาหลายปีหลังจากการติดเชื้อ ซึ่งทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงและปวดกล้ามเนื้อ การป้องกันด้วยวัคซีน ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาโรคโปลิโอเฉพาะเจาะจง การป้องกันที่ดีที่สุดคือการรับวัคซีน […]

หมวดหมู่ สุขภาพเด็ก เพิ่มเติม

สำรวจ สุขภาพเด็ก

ปัญหาสุขภาพเด็กแบบอื่น

สายตาสั้น ในเด็ก รู้หรือไม่ เกิดขึ้นได้อย่างไร?

สายตาสั้น ในเด็ก อาจเกิดจากพันธุกรรมที่ได้รับสืบทอดกันมาในครอบครัว โดยอาจมีปัจจัยเสี่ยงบางอย่างเป็นตัวกระตุ้น เช่น การใช้สายตาอย่างหนัก การใช้สายตาในที่มืด การมองจอมือถือ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการมองเห็นและการใช้ชีวิตประจำวันได้ ดังนั้น พ่อแม่จึงควรเรียนรู้วิธีการดูแลและแก้ไขปัญหาสายตาสั้นให้ลูกน้อย [embed-health-tool-vaccination-tool] สายตาสั้น ในเด็ก เกิดขึ้นได้อย่างไร? ส่วนใหญ่แล้ว “สายตาสั้น” มักเกิดขึ้นจากการได้รับพันธุกรรม ของคุณพ่อคุณแม่โดยตรง ซึ่งเมื่อเด็กมีสายตาสั้น จะทำให้พวกเขา เห็นภาพในระยะไกลไม่ชัดเจน หรือภาพที่เห็น อาจจะพร่ามัว แต่นอกจากการได้รับพันธุกรรมแล้ว สายตาสั้น ยังเกิดขึ้นได้เมื่อเด็ก ใช้สายตาอย่างละเอียด หรือใช้สายตาอย่างใกล้ชิดจนเกินไป นอกจากนั้นการอ่านหนังสือ เล่นเกมบนมือถือ หรือแท็บเลต หนักมากเกินไปก็อาจส่งผลให้ สายตาสั้นได้ ภาวะสายตาสั้นในเด็ก มีสัญญาณอะไรบ่งบอก สำหรับ ภาวะสายตาสั้นในเด็กนั้น มักจะถูกพบ ในช่วงอายุ 9-10 ปี ซึ่งสัญญาณเริ่มแรกที่เกิดขึ้น คือ ลูกของคุณจะไม่สามารถอ่านข้อความบนกระดานดำจากหลังห้องได้ แต่ยังสามารถอ่านและเขียนได้โดยไม่มีปัญหาอะไร นอกจาก หากมีอาการเหล่านี้ปรากฏร่วมด้วย ก็ถือว่า เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่า ลูกของคุณกำลังสายตาสั้น ซึ่งอาการต่างๆ มีดังนี้ ปวดศีรษะ มีอาการคลื่นไส้ หลังจากอ่านหนังสือ ถือหนังสือใกล้ใบหน้ามากกว่าปกติ เวลาเขียนหนังสือ จะมีพฤติกรรมเอาหน้าชิดโต๊ะ นั่งดูโทรทัศน์ในระยะใกล้ขึ้น […]


โรคเด็กและอาการทั่วไป

ลูกเป็นหวัด หายใจไม่สะดวก วิธีป้องกันและการดูแล

ลูกเป็นหวัด หายใจไม่สะดวก มักเกิดขึ้นในเด็กเล็ก โดยเฉพาะเมื่อมีการเปลี่ยนฤดูกาล ไข้หวัดเกิดจากการติดเชื้อไวรัสในระบบทางเดินหายใจ ซึ่งอาจเกิดจากไวรัสที่แตกต่างกันมากกว่า 200 ชนิด โดยเฉพาะไวรัสไรโน (Rhinovirus) ที่เป็นสาเหตุของไข้หวัดที่พบบ่อยที่สุด โดยเด็กมักจะเป็นหวัดบ่อยกว่าผู้ใหญ่ บางครั้งเด็กอาจเป็นหวัดด้วยตัวเองหรือได้รับเชื้อมาจากผู้อื่นก็ได้ [embed-health-tool-vaccination-tool] โรคหวัด คืออะไร หวัด หรือ ไข้หวัด เกิดจากการติดเชื้อไวรัสในระบบทางเดินหายใจ ซึ่งอาจเกิดจากไวรัสที่แตกต่างกันมากกว่า 200 ชนิด โดยเฉพาะไวรัสไรโน (Rhinovirus) ที่เป็นสาเหตุของไข้หวัดที่พบบ่อยที่สุด โดยเฉพาะเด็กที่มักจะเป็นหวัดบ่อยกว่าผู้ใหญ่ บางครั้งเด็กอาจเป็นหวัดด้วยตัวเองหรือได้รับเชื้อมาจากผู้อื่น สำหรับการได้รับเชื้อหวัดในเด็ก โดยมากมักติดเชื้อหวัดมาจากเพื่อน ๆ ที่โรงเรียน การได้รับเชื้อทางอากาศ การได้รับเชื้อเข้าทางปากจากการหยิบจับสิ่งของที่มีเชื้อโรค และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการเปลี่ยนฤดู ด้วยสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ร่างกายของเด็กอาจจะยังปรับตัวตามฤดูกาลที่เปลี่ยนแปลงไม่ทัน จึงทำให้เป็นหวัดได้ง่าย อาการเมื่อ ลูกเป็นหวัด หายใจไม่สะดวก เมื่อลูกเป็นหวัด หายใจไม่สะดวก มักมีอาการโดยทั่วไปที่มักสังเกตเห็นได้ ดังนี้ มีอาการอ่อนเพลีย คัดจมูก เจ็บคอ มีน้ำมูกไหล มีอาการไอ สำหรับเด็ก ๆ ที่มีอาการหนัก อาจพบอาการดังต่อไปนี้ร่วมด้วย มีน้ำที่ดวงตา หรือน้ำตาไหล จามบ่อยครั้ง หรือจามไม่หยุด รู้สึกเหนื่อย อ่อนเพลีย ไม่มีแรง มีไข้สูงในบางครั้ง ทั้งนี้ […]


ความผิดปกติทางพัฒนาการและพฤติกรรม

ปลุกใจวัยใส ทำอย่างไรเมื่อ เด็กไม่อยากไปโรงเรียน

เมื่อถึงช่วงเวลาของการต้องไปโรงเรียน ดูเหมือนว่าผู้ปกครองหลายท่านคงจะหนักใจกับเด็กๆ ไม่น้อย เพราะเด็กบางคนมีอาการวิตกกังวล เด็กไม่อยากไปโรงเรียน รวมถึงมีภาวะเครียดเข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนั้น Hello คุณหมอ ขอนำบทความที่จะทำให้คุณพ่อคุณแม่เข้าใจถึงพฤติกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเด็ก พร้อมทั้งวิธีสร้างแรงบันดาลใจเพื่อให้พวกเขาอยากไปโรงเรียนมาฝากกัน เหตุผลที่ เด็กไม่อยากไปโรงเรียน การไม่อยากไปโรงเรียนของเด็ก เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “การปฏิเสธโรงเรียน” โดยสาเหตุที่ทำให้มีอาการดังกล่าวเกิดขึ้น เนื่องจากเด็กอาจรู้สึกอารมณ์เสีย เมื่อนึกถึงการต้องไปโรงเรียน หรืออาจจะคิดถึงวันหยุดจนทำให้เกิดความทุกข์ นอกจากนั้นปัญหาในการไปโรงเรียน หรือปัญหาในการออกจากบ้าน ก็ทำให้เด็กเกิดการปฏิเสธโรงเรียน จนถึงขั้นไม่ยอมไปโรงเรียนเลยก็เป็นได้ ซึ่งเด็กเหล่านี้มักใช้เวลาอยู่กับผู้ปกครองตลอดทั้งวัน แต่การปฏิเสธโรงเรียนนั้น ไม่ใช่การวินิจฉัยทางจิตเวชอย่างเป็นทางการ มันเป็นเพียงปัญหาทางอารมณ์ หรือพฤติกรรมเท่านั้น สัญญาณเตือนให้รู้ว่าเด็กกังวลกับการไปโรงเรียน การไปโรงเรียนสำหรับเด็กบางคน เป็นเรื่องที่น่าวิตกกังวลอย่างมาก อาการเหล่านี้อาจทำให้เด็กเกิดภาวะเครียด จนแสดงพฤติกรรมออกมาให้ผู้ปกครองได้เห็น ซึ่งสัญญาณเตือนต่างๆ สามารถสังเกตได้ดังนี้ การพยายามค้นหาความมั่นใจอย่างต่อเนื่อง หรือมีคำถามซ้ำๆ แม้จะได้รับคำตอบแล้วก็ตาม การเรียกร้องทางกายภาพที่เพิ่มขึ้น เช่น ปวดศีรษะ ปวดท้อง แม้จะไม่ได้ป่วยจริง ปกติแล้วเด็กส่วนใหญ่มักจะเข้านอนเร็ว แต่เมื่อเกิดความกังวลจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเรื่องการนอน โดยอาจจะใช้เวลาในการเข้านอนนานขึ้น หรืออาจตื่นในช่วงกลางดึก ซึ่งการนอนถือเป็นเรื่องที่สำคัญ เด็กจะพยายามหลีกเลี่ยงการเข้าร่วมกิจกรรม ที่ต้องเกี่ยวข้องกับโรงเรียน เช่น การเยี่ยมชมโรงเรียน การพบปะกับอาจารย์ผู้สอน หรือเลี่ยงการเข้าชั้นเรียน เป็นต้น วิธีทำให้เด็กมีแรงบันดาลใจในโรงเรียน ผู้ปกครองหลายท่าน คงเกิดความวิตกกังวล เมื่อเริ่มสังเกตเห็นเด็กมีการปฏิเสธโรงเรียน ตามพฤติกรรมตามที่กล่าวไปข้างต้น ดังนั้นวิธีที่ผู้ปกครองจะสามารถ ช่วยให้เด็กอยากไปโรงเรียนก็คือ การทำให้เด็กมีแรงบันดาลใจในโรงเรียน ซึ่งวิธีสร้างแรงบันดาลใจ […]


ปัญหาระบบย่อยอาหารในเด็ก

วิธีบรรเทาอาการ กรดไหลย้อนในทารก

กรดไหลย้อนในทารก เป็นอาการที่คุณพ่อคุณแม่อาจพบได้หลังจากที่ลูกรับประทานอาหารเสร็จ โดยเฉพาะหลังจากที่ทารกดื่มนม เนื่องจากอวัยวะและการทำงานของระบบย่อยอาหารของทารกอาจยังพัฒนาไม่เต็มที่ ส่งผลให้ทารกอาจมีอาการแสบร้อนทรวงอก ไอ หายใจผิดปกติ ไม่สบายเนื้อสบายตัว ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่จึงควรศึกษาวิธีบรรเทาอาการกรดไหลย้อนในทารก เพื่อเตรียมรับมือได้ทันหากลูกเผชิญกับปัญหากรดไหลย้อน สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการกรดไหลย้อนในทารก อาการแสบร้อนกลางทรวงอกในทารกและเด็กเล็กเป็นสัญญาณของการเกิดโรคกรดไหลย้อน อาการนี้เกิดขึ้นเมื่อกรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นไปยังหลอดอาหารซึ่งเชื่อมต่อระหว่างปากและกระเพาะอาหารบริเวณส่วนล่างของหลอดอาหารมีกล้ามเนื้อที่เรียกว่า กล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหาร ซึ่งทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้กรดไหลออกจากกระเพาะอาหาร หากกล้ามเนื้อส่วนนี้คลายตัวมากเกินไป ก็อาจส่งผลให้กรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นไป สร้างความระคายเคืองแก่หลอดอาหาร เกิดอาการแสบร้อนในทรวงอก แต่อาการกรดไหลย้อนในทารกอาจหายไปเองได้เมื่ออายุ 1 ขวบ สาเหตุของการเกิดกรดไหลย้อนในทารก ส่วนใหญ่เกิดจากระบบย่อยอาหารที่ยังเจริญไม่เต็มที่ รวมถึงกรณีที่ทารกมีปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เช่น น้ำหนักเกิน ได้รับสารพิษจากควันบุหรี่อาจมีอาการทางระบบประสาท สมองพิการ อาการกรดไหลย้อนในทารก เป็นอย่างไร อาการกรดไหลย้อนในทารก อาจทำให้ทารกรู้สึกแสบร้อนในทรวงอก บริเวณลำคอ และคอหอย  ทารกบางคนอาจมีอาการอื่น ๆ เช่น ปวดหลัง เจ็บหน้าอก ไอ เสียงแหบ หงุดหงิด เจ็บปวดเมื่อกลืนอาหาร เจ็บคอ และหายใจมีเสียงหวีดร่วมด้วย นอกจากความรู้สึกไม่สบายตัว ทารกที่มีอาการกรดไหลย้อนอาจมีปัญหาในเรื่องการเพิ่มน้ำหนักตัว มีแผลเกิดขึ้นในหลอดอาหารเนื่องจากกรดไหลย้อน หากไม่ได้รับการรักษากรดไหลย้อนอาจส่งผลให้หลอดอาหารแคบลงหรือเกิดเซลล์ผิดปกติในหลอดอาหาร และสัญญาณเตือนที่แสดงออกมา ดังนี้ เจ็บหน้าอก หายใจไม่สะดวก เสียงแหบ ไอต่อเนื่อง กลืนอาหารลำบาก เจ็บคอ อาเจียน สำลักอาหาร ร้องไห้ระหว่างรับประทานอาหารหรือหลังจากรับประทานอาหาร วิธีบรรเทาอาการกรดไหลย้อนในทารก วิธีบรรเทาอาการกรดไหลย้อนในทารก อาจให้ทารกนอนในตำแหน่งสูงขึ้น การดื่มนมสูตรเข้มข้น การใช้จุกหลอก ทำให้เรอหรือจับทารกให้อยู่ในท่าตั้งตรงเป็นเวลา 30 นาทีหลังจากรับประทานนมหรืออาหาร นอกจากนี้คุณพ่อคุณแม่อาจใช้วิธีการดังต่อไปนี้ […]


ปัญหาสุขภาพเด็กแบบอื่น

โรคเบาหวานชนิดที่1ในเด็ก สัญญาณเตือนและอาการ มีอะไรบ้าง

โรคเบาหวานชนิดที่1ในเด็ก หรือที่มักจะเรียกว่า โรคเบาหวานในเด็กและวัยรุ่น (Juvenile diabetes) จะเริ่มแสดงอาการหลังจากอายุ 5 ปี หรือบางคนอาจไม่มีอาการจนกระทั่งปลายอายุ 30 ปี โดยเป็นภาวะที่ร่างกายของเด็กไม่สามารถผลิตฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin) ได้อีกต่อไป เด็กจึงต้องได้รับการฉีดอินซูลินตลอดชีวิต นอกจากนี้ ทั้งพ่อแม่และเด็กยังต้องเรียนรู้วิธีการฉีดอินซูลิน นับปริมาณคาร์โบไฮเดรต และตรวจสอบระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งเป็นหนึ่งวิธีดูแลตนเองสำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่1ในเด็ก [embed-health-tool-vaccination-tool] สัญญาณและอาการของ โรคเบาหวานชนิดที่1ในเด็ก สัญญาณและอาการของ โรคเบาหวานชนิดที่1ในเด็ก โดยปกติมักจะพัฒนาอย่างรวดเร็ว ภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ โดยเด็กอาจมีอาการดังนี้ กระหายน้ำมากขึ้น และปัสสาวะบ่อย น้ำตาลส่วนเกินที่สะสมอยู่ในกระแสเลือด จะดึงของเหลวออกจากเนื้อเยื่อ ส่งผลให้เด็กรู้สึกหิวน้ำ ทำให้ดื่มน้ำและปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ นอกจากนี้ เด็กที่ป่วยเป็นเบาหวานชนิดที่ 1 อาจมีอาการปัสสาวะรดที่นอนด้วย รู้สึกหิวมากกว่าปกติ เมื่อร่างกายมีอินซูลินไม่เพียงพอ ที่จะนำน้ำตาลไปยังหล่อเลี้ยงเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกาย อาจส่งผลให้กล้ามเนื้อและอวัยวะต่าง ๆ ของเด็กขาดพลังงาน กระตุ้นให้เกิดความหิว จนทำให้เด็กอาจรู้สึกหิวมากเป็นพิเศษ น้ำหนักลด แม้ว่าจะรับประทานมากกว่าปกติเพื่อบรรเทาความหิว แต่เด็กที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่1 มักมีน้ำหนักลดลง และในบางครั้งน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากร่างกายไม่มีแหล่งพลังงานอย่างน้ำตาล เนื้อเยื่อกล้ามเนื้อและไขมันจะหดตัว ซึ่งภาวะน้ำหนักลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ มักจะเป็นสัญญาณแรกของโรคเบาหวานชนิดที่ 1  ที่สามารถสังเกตได้ในเด็ก เหนื่อยล้า อ่อนเพลีย การขาดน้ำตาลของเซลล์ในร่างกาย […]


ภาวะทุพโภชนาการ

เด็กอ้วน สาเหตุ ความเสี่ยง และวิธีการป้องกันโรคอ้วนในเด็ก

เด็กอ้วน เป็นปัญหาสุขภาพอย่างหนึ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก จากข้อมูลของกรมอนามัยเมื่อปี พ.ศ. 2563 พบว่าเด็กไทยที่มีอายุ 6-14 ปี มีแนวโน้มที่จะมีภาวะเริ่มอ้วนและอ้วนมากถึงประมาณ ร้อยละ 12 ซึ่งภาวะอ้วนในเด็กนี้สามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น คอลเลสเตอรอลสูง ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน และปัญหาสุขภาพอื่น ๆ หากไม่ได้รับการแก้ไขตั้งแต่เนิ่น ๆ ก็อาจนำไปสู่โรคเรื้อรังอื่น ๆ เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ [embed-health-tool-”bmi”] เด็กอ้วน เกิดจากอะไร พ่อแม่สามารถตรวจสอบได้ว่าเด็กมีภาวะน้ำหนักเกินหรือไม่ ด้วยการคำนวณหาค่าดัชนีมวลกาย (BMI) หากเด็กอ้วน ควรปรึกษาคุณหมอ หรือดูแลอาหารการกินของเด็ก และการออกกำลังกาย เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กมีน้ำหนักมากเกินไป สาเหตุที่ทำให้เด็กอ้วน เกิดจากหลายปัจจัย เช่น ขาดการออกกำลังกาย กินอาหารที่ไม่มีประโยชน์ ปัจจัยทางพันธุกรรม โรคต่างๆ เช่น มีปัญหาเกี่ยวกับฮอร์โมน เด็กก็เหมือนกับผู้ใหญ่ ที่เมื่อกินอาหารมากกว่าที่ร่างกายเผาผลาญต่อวัน ก็อาจทำให้มีไขมันสะสม แต่เด็กจะต่างจากผู้ใหญ่ตรงที่เด็กอาจต้องการพลังงานเพิ่มขึ้นตามอายุ อย่างไรก็ตาม หากพบว่าเด็กมีแนวโน้มที่จะอยู่ในเกณฑ์อ้วน ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน และส่งเสริมให้เด็กออกกำลังกายมากขึ้น เพื่อช่วยควบคุมน้ำหนัก และป้องกันไม่ให้เกิดโรคอ้วน เด็กอ้วนเพิ่มความเสี่ยงต่อสุขภาพอย่างไร เด็กอ้วนเสี่ยงต่อการเป็นโรคต่าง ๆ ดังนี้ คอเลสเตอรอลสูง ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน […]


ความผิดปกติทางพัฒนาการและพฤติกรรม

ลูกเลือกกิน กินยาก จะรับมือได้อย่างไรบ้าง

ลูกเลือกกิน หรือกินอาหารยาก เป็นหนึ่งปัญหาที่คุณพ่อคุณแม่หลายคนหนักใจ โดยเฉพาะเด็กอายุ 1-5 ปี ทั้งนี้ หากยอมให้ลูกกินแต่อาหารที่ชอบไปเรื่อย ๆ โดยไม่แก้ไข อาจก่อปัญหาสุขภาพอื่น ๆ เช่น ลูกน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์หรือเกินเกณฑ์ พัฒนาการล่าช้า ดังนั้น หากคุณพ่อคุณแม่สังเกตเห็นว่า ลูกเลือกกิน อาจขอคำแนะนำที่เหมาะสมจากคุณหมอเพื่อช่วยให้ลูกมีสุขภาพแข็งแรง มีพัฒนาการที่เหมาะสมและลดความเสี่ยงปัญหาสุขภาพ [embed-health-tool-vaccination-tool] ลูกเลือกกิน เพราะสาเหตุใด ปัญหาเด็กกินยาก หรือเลือกกินมักเริ่มในช่วงอายุ 2-3 ปี ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ควรทำความเข้าใจว่าที่ลูกเลือกกินนั้นเป็นเพราะอะไร โดยส่วนใหญ่มักเกิดจากสาเหตุเหล่านี้ อาหารรสชาติไม่ถูกปาก เด็กบางคนชอบกินอาหารหวาน ซึ่งเป็นเพราะสัญชาตญาณที่ติดตัวมาแต่กำเนิด เนื่องจากอยู่ในวัยกำลังเจริญเติบโต ร่างกายจึงต้องการอาหารที่ให้พลังงานหรือแคลอรีสูง นอกจากนั้น เด็กบางคนยังมียีนที่ทำให้ไวต่อรสขม จึงไม่แปลกที่เด็กจะเลือกกิน ชอบกินแต่ขนมหรือกินอาหารบางอย่างยากเป็นพิเศษ ลูกยังไม่หิว พออายุครบ 2 ปีการเจริญเติบโตของเด็กจะค่อย ๆ ช้าลง พวกเขาจึงกินได้น้อยลง หรือบางวันก็ไม่อยากอาหาร และบางครั้งอาจกินขนมและเครื่องดื่มมากจนทำให้รู้สึกอิ่มและไม่อยากกินอาหารมื้อหลัก ลูกมีปัญหาสุขภาพ บางครั้งการที่ ลูกเลือกกินหรือกินยาก อาจมาจากปัญหาสุขภาพ หากลูกกระวนกระวาย หรืองอแงตลอดเมื่อถึงเวลากินอาหาร อาจเป็นเพราะเด็กเป็นภูมิแพ้อาหาร หรือมีความผิดปกติของระบบประมวลผลทางประสาทสัมผัส (Sensory Processing Disorder) เกิดจากสมองไม่สามารถประมวลข้อมูลที่ได้รับผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 ได้ เด็กที่เป็นโรคนี้จึงมักไวต่อรส กลิ่น หรือเนื้อสัมผัสของอาหารบางชนิดเป็นพิเศษ ลูกเลือกกิน […]


สุขภาพเด็ก

วิธีการรับมือเมื่อเด็กกลัวความมืด

เด็กกลัวความืด เป็นปัญหาที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในเด็กเล็ก เนื่องจากเด็กมักจะมีจินตนาการสูง ชอบคิดว่าอาจจะมีสัตว์ประหลาดที่อยู่ใต้เตียง หรือกลัวว่าตัวอะไรจะโผล่มาในความมืด ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่จึงควรศึกษาเกี่ยวกับวิธีการรับมืออย่างเหมาะสมเมื่อเด็กมีอาการกลัวความมืด [embed-health-tool-vaccination-tool] เด็กกลัวความมืด พ่อแม่รับมืออย่างไร สิ่งที่ดีที่สุดที่คุณพ่อคุณแม่สามารถทำได้ คือการสื่อสาร โดยควรพูดคุยกับลูกด้วยความเข้าใจ ซึ่งเด็กๆ จะสามารถเข้าใจได้ และที่สำคัญคือไม่ควรพูดกับลูกว่า การกลัวความมืดเป็นเรื่องงี่เง่า เพราะนอกจากจะไม่ช่วยให้อาการกลัวของเด็กหายไป ยังทำให้เด็กรู้สึกผิด รวมถึงรู้สึกอายด้วย นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรทำและไม่ควรทำดังต่อไปนี้ ควรใจเย็น เวลาพูดกับเด็ก ๆ เรื่องอาการกลัวความมืดให้พูดด้วยความใจเย็น และไม่ใช้อารมณ์เวลาพูดกับลูก เพราะอาจทำให้ทุกอย่างแย่ลง ให้คุณพ่อคุณแม่แก้ไขสถานการณ์โดยทำให้เด็ก ๆ รู้สึกว่าตัวเองปลอดภัย และทำให้พวกเขารู้สึกว่ารับมือกับความกลัวได้ นอกจากนี้ ยังอาจตั้งชื่อให้กับความกลัว เพื่อให้เด็ก ๆ รู้ว่าตัวเองกำลังกลัวอะไรแล้ว และทำความเข้าใจกับความกลัวนั้น อย่าใช้อารมณ์ เด็กกลัวความมืดอาจไม่ใช่เรื่องแปลก และคุณพ่อคุณแม่ไม่ควรที่จะหงุดหงิด หรืออารมณ์เสีย เมื่อรู้ว่าสิ่งที่ลูกกลัวไม่มีอยู่จริง ฝึกให้เด็กตัดสินใจ ลองให้ลูก ๆ มีอำนาจในการตัดสินใจที่จะจัดการกับความกลัว โดยอาจถามลูกว่า อยากให้พ่อแม่นอนด้วยหรือไม่ หรือให้เข้ามาดูลูกเป็นระยะ และให้เด็ก ๆ ตัดสินใจว่าเวลาไหนที่ลูกจะรู้สึกปลอดภัยที่สุด เช่น อยากให้คุณพ่อคุณแม่มาหาทุก ๆ 5 นาทีหรือทุก ๆ 2 ชั่วโมง ซึ่งการให้เด็กตัดสินใจ จะช่วยให้ลูกรู้สึกดีขึ้น นอกจากนี้ยังควรให้ลูกอยู่กับอุปกรณ์ที่ทำให้พวกเขารู้สึกสบาย […]


ปัญหาสุขภาพเด็กแบบอื่น

เด็กตาเหล่ วิธีสังเกตและการรักษา

เด็กตาเหล่ สามารถรักษาได้หากพบอาการตั้งแต่เด็กอายุยังน้อย ยิ่งพบในอายุน้อยเท่าไหร่ โอกาสประสบความสำเร็จในการรักษายิ่งสูง คุณพ่อคุณแม่ควรสังเกตลูกน้อยว่ามีพัฒนาการทางสายตาเหมาะแก่วัยหรือไม่ หากพบอาการผิดปกติหรือไม่แน่ใจว่าเป็นอาการตาเหล่หรือไม่ ควรปรึกษาคุณหมอ เพราะหากปล่อยทิ้งไว้อาจเกิดอาการแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายแก่ดวงตาได้ เช่น โรคตาขี้เกียจ (Amblyopia) เด็กตาเหล่ มีอาการอย่างไร ตาเหล่ หรือตาเข คืออาการที่ดวงตาทั้งสองข้างอยู่ในตำแหน่งที่ผิดปกติหรือไม่เท่ากัน โดยอาจเห็นได้ว่าดวงตาข้างหนึ่ง อาจมองตรงไปข้างหน้า ในขณะที่ดวงตาอีกข้างอาจจะเหลือกขึ้นบน เหลือกลงล่าง พลิกกลับเข้าด้านใน หรือโปนออกด้านนอก เป็นต้น โดยปกติแล้ว ดวงตาจะมีกล้ามเนื้อ 6 มัด ทำหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหว เพื่อให้ดวงตาทั้งสองข้างทำงานร่วมกันได้อย่างสอดคล้อง อาการตาเหล่จะเกิดขึ้นเมื่อระบบควบคุมกล้ามเนื้อดวงตาในสมองทำงานผิดปกติ ส่งผลให้มัดกล้ามเนื้อในดวงตาไม่สามารถทำงานสอดประสานกันเพื่อเคลื่อนไหวดวงตาไปมา ทำให้ดวงตามองไปในตำแหน่งที่ต่างกัน และไม่สามารถมองไปในทิศทางเดียวกันพร้อมกันได้ อาการตาเหล่อาจเป็นตั้งแต่เกิด หรือเกิดขึ้นได้เมื่อดวงตาได้รับผลกระทบจากการหักเหของแสงผิดปกติ เช่น จากภาวะสายตายาว สายตาสั้น หรือสายตาเอียง รวมถึงอาจเกิดขึ้นได้จากความป่วยไข้ หรือการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อและเส้นประสาทได้เช่นกัน หากปล่อยไว้อาจก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพดวงตา เช่น โรคตาขี้เกียจ (Amblyopia) จะรู้ได้อย่างไรว่า เด็กตาเหล่ หากเด็กมีอาการตาเหล่ จะสังเกตเห็นว่าตาดำสองข้างจะไม่อยู่ในแนวเดียวกัน และมองไปคนละทิศทาง ในเด็กทารก อาจพบว่ามีอาการตาเขได้เวลาที่เด็กรู้สึกเหนื่อยล้า แต่ไม่ได้หมายความว่าจะมีอาการตาเหล่โดยกำเนิด  อย่างไรก็ตาม หลังจากอายุ 4 เดือนไปแล้ว ผู้ปกครองควรนำลูกไปพบคุณหมอเพื่อเข้ารับการตรวจ และหากทารกต้องหมุนศีรษะเวลามองสิ่งของ หรือหลับตาลงเพียงข้างเดียวเวลาเห็นแสงแดดจ้า อาจถือได้ว่ามีสัญญาณของอาการตาเหล่ […]


โรคเด็กและอาการทั่วไป

เด็กละเมอ เป็นเรื่องปกติหรือไม่ และเมื่อไหร่ที่ต้องกังวล

การเดินละเมอเป็นอาการที่สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกเพศทุกวัย แต่จะพบบ่อยในเด็ก ตามสถิติแล้วเด็ก 1 ใน 5 จะเดินละเมออย่างน้อย 1 ครั้ง นอกจากนี้อาการละเมอ สามารถเกิดขึ้นได้จนถึงตอนที่เป็นวัยรุ่น และบางครั้งอาจเกิดขึ้นจนถึงวัยที่เป็นผู้ใหญ่ เด็กละเมอ ถือเป็นเรื่องปกติหรือไม่ และเมื่อไหร่ที่คุณพ่อคุณแม่ควรกังวล การเดินละเมอ คืออะไร เดินละเมอ (Sleepwalking) เป็นอาการที่เด็กจะลุกขึ้นจากที่นอน และเดินไปขณะที่กำลังหลับอยู่ ซึ่งลักษณะแบบนี้ถือเป็นอาการเดินละเมอที่พบบ่อย นอกจากนี้ยังมีอาการเดินละเมออื่นๆ ได้แก่ ละเมอพูด ตื่นนอนยาก ดูงุนงง ไม่ตอบสนองเวลาพูดด้วย ลุกขึ้นมานั่ง เคลื่อนไหวแบบเดิมซ้ำๆ เช่น ขยี้ตา นอกจากนี้ เด็กที่เดินละเมอสามารถลืมตาได้ แต่จะมองไม่เห็นเหมือนตอนตื่น โดยลักษณะที่พบบ่อยคือเด็กจะคิดว่าพวกเขาอยู่ในห้องที่แตกต่างจากห้องที่บ้าน หรืออยู่ในสถานที่อื่น มากไปกว่านั้น เด็กๆ มีแนวโน้มที่จะมีอาการเดินละเมอภายใน 1-2 ชั่วโมงก่อนจะหลับ และอาจเดินไปที่ใดที่หนึ่งโดยใช้เวลาตั้งแต่ไม่กี่วินาที ถึง 30 นาที และในขณะที่พวกเขากำลังละเมอ ก็ยากที่จะปลุกให้ตื่น แต่เมื่อตื่นแล้วเด็กอาจรู้สึกงัวเงียและสับสนเป็นเวลา 1-2 นาที ถึงแม้ว่าจะเรียกว่าการเดินละเมอ แต่ก็อาจไม่ได้เป็นเพียงแค่การเดิน เนื่องจากการเดินละเมอสามารถหมายถึงอาการอื่นๆ ได้ และไม่ว่าเด็กๆ จะมีอาการละเมอในลักษณะใด พวกเขาก็มักจะจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างตอนที่พวกเขาละเมอ ส่วนสาเหตุของการละเมอ มีดังนี้ สาเหตุของอาการเดินละเมอ การเดินละเมอนั้นพบได้ทั่วไปในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ และถ้าพ่อแม่เคยมีอาการเดินละเมอตอนเด็ก ลูกก็มีแนวโน้มที่จะเดินละเมอด้วย ซึ่งสาเหตุของอาการเดินละเมออาจเกิดจาก นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ หรืออ่อนเพลีย นอนหลับไม่ตรงเวลา ป่วย หรือเป็นไข้ ยาบางชนิด ความเครียด ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep […]

ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา

กำลังมองหาเรื่องราวในการเลี้ยงดูบุตรใช่หรือไม่?

เข้าร่วมชุมชนการเลี้ยงดูบุตรและแลกเปลี่ยนข้อมูลกับคุณแม่และคุณพ่อคนอื่น ๆ เข้าร่วมชุมชนได้เลย!





ad iconโฆษณา

ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของเรา

ทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของ Hello คุณหมอ ประกอบไปด้วยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มาร่วมสร้างสรรค์บทความในเว็บไซต์ของเราตามความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญของเราจะช่วยรับรองว่าข้อมูลด้านสุขภาพของเราถูกต้อง เป็นปัจจุบัน และตรงตามหลักฐานจากงานวิจัยล่าสุด
ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรามุ่งมั่นเต็มที่ในการช่วยให้คุณได้รับข้อมูลและความรู้ด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือ เข้าใจง่าย และเป็นประโยชน์ และพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพกับคุณเสมอ เพื่อให้คุณได้รับทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น

ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ชุมชน