เด็กวัยเรียน

เด็กวัยเรียน (7-15 ปี) เป็นช่วงวัยที่มีความสำคัญมาก เพราะเด็กจะต้องเริ่มใช้ชีวิตในสังคมใหม่ นั่นก็คือ สังคมโรงเรียน แถมการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย จิตใจ และสติปัญญา ก็อาจทำให้พวกเขาไม่รู้ว่าจะรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองอย่างไรดี แต่เรามีคำตอบมาให้แล้ว

เรื่องเด่นประจำหมวด

เด็กวัยเรียน

ท้องในวัยเรียน ความเสี่ยงต่อสุขภาพและการรับมืออย่างเหมาะสม

การ ท้องในวัยเรียน อาจทำให้วัยรุ่นเสี่ยงเกิดปัญหาสุขภาพของตัวเองและทารกในครรภ์ เนื่องจากมักไม่ได้รับการดูแลครรภ์อย่างเหมาะสม โดยเฉพาะวัยรุ่นที่ไม่ได้รับการสนับสนุนและการดูแลจากผู้ปกครองหลังจากทราบว่าวัยรุ่นตั้งท้อง หรือหากวัยรุ่นเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับและไม่แจ้งให้ที่บ้านทราบ ก็อาจทำให้ไม่ได้ไปฝากครรภ์ที่สถานพยาบาล ฝากครรภ์ช้ากว่าที่ควร หรือฝากครรภ์แล้วไม่ยอมไปพบคุณหมอนัดหมาย จึงไม่ได้รับการตรวจสุขภาพและดูแลครรรภ์อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังเสี่ยงขาดสารอาหารที่ควรได้รับขณะท้อง เช่น วิตามินคนท้อง กรดโฟลิก และอาจไม่ได้รับคำแนะนำในการดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสม การฝากครรภ์เป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับคนท้อง หากทราบว่าตั้งท้อง ควรไปฝากครรภ์โดยเร็วที่สุด เพื่อรับการตรวจร่างกาย คำนวณอายุครรภ์และวันคลอด เฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น ติดตามพัฒนาการของทารกตลอดการตั้งครรภ์ เพื่อให้แน่ใจว่าสามารถดำเนินการตั้งครรภ์และคลอดได้อย่างปลอดภัย [embed-health-tool-due-date] ความเสี่ยงต่อสุขภาพเมื่อ ท้องในวัยเรียน โดยทั่วไป วัยรุ่นท้องที่มีอายุน้อยกว่า 15 ปีหรือท้องแล้วไม่ได้ไปฝากครรภ์จะมีอัตราการเกิดภาวะแทรกซ้อนขณะท้องและระหว่างคลอดสูงกว่าคนที่ท้องตอนอายุมากกว่าหรือเข้าฝากครรภ์ ความเสี่ยงสุขภาพของผู้ที่ ท้องในวัยเรียน อาจมีดังนี้ ภาวะโลหิตจาง จากการขาดธาตุเหล็กที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของเม็ดเลือดแดง ส่งผลให้ร่างกายมีปริมาณน้ำเลือดมากกว่าปริมาณเม็ดเลือดแดง ทำให้มีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ติดเชื้อได้ง่าย และอาจส่งผลต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของทารก ภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ (Hypertension in Pregnancy) อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ (Preeclampsia) ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนขณะตั้งครรภ์ที่เป็นอันตราย มักเกิดขึ้นในสัปดาห์ที่ 20 ของการตั้งครรภ์ ทำให้มีความดันโลหิตสูง มีโปรตีนรั่วในปัสสาวะ มีอาการชัก หมดสติ และทำให้แม่และทารกในครรภ์เสี่ยงเสียชีวิต เป็นภาวะที่ต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากสูตินรีแพทย์ ภาวะตายคลอด (Stillbirth) ที่ทารกเสียชีวิตตั้งแต่อายุครรภ์ […]

สำรวจ เด็กวัยเรียน

เด็กวัยเรียน

บูลลี่ ผลเสียต่อสุขภาพ และวิธีรับมือเมื่อโดนบูลลี่

บูลลี่ คือ การกลั่นแกล้ง ให้ร้าย ระราน หรือคุกคามที่ส่งผลต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตใจของผู้อื่น เช่น ทำให้ทุกข์ใจและเจ็บปวด ทำให้ได้รับบาดเจ็บ การบูลลี่เป็นปัญหาความรุนแรงในสังคมที่พบได้ทั่วไป อาจแบ่งได้เป็นการกลั่นแกล้งทางวาจา เช่น การดูหมิ่นเหยียดหยามด้วยคำพูด ทางร่างกาย เช่น การทำร้ายทางร่างกาย ทางสังคม เช่น การกีดกันทางสังคม และในโลกไซเบอร์ เช่น การรุมประจานในโซเชียลมีเดีย  ซึ่งอาจกระทบต่อพัฒนาการทางอารมณ์ สังคม จิตใจ ไปจนถึงบุคลิกของเด็กในอนาคต ทั้งนี้ ควรศึกษาผลเสียต่อสุขภาพและวิธีการรับมือที่เหมาะสมเมื่อโดนบูลลี่ เพราะอาจช่วยลดปัญหาอื่น ๆ ที่อาจตามมาจากการบูลลี่ หรือการโดนบูลลี่ได้ การบูลลี่ คืออะไร การบูลลี่ (Bullying) คือ พฤติกรรมกลั่นแกล้ง เหยียดหยาม ให้ร้าย คุกคาม ทำร้ายร่างกายและจิตใจของคนอื่น เป็นต้น เนื่องจากผู้กระทำอาจต้องการรู้สึกเหนือกว่าหรือมีอำนาจมากกว่า เและรู้สึกสุขใจเมื่อเห็นผู้อื่นหรือผู้ที่โดนบูลลี่เป็นทุกข์ รู้สึกไม่มีความสุข คิดว่าตัวเองไร้ค่า มีบาดแผลในใจ ได้รับบาดเจ็บ เป็นต้น การโดนบูลลี่อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่ใหญ่ขึ้น เช่น โรคซึมเศร้า ภาวะอยากฆ่าตัวตาย และอาจบ่มเพาะบุคลิกภาพในทางลบ เช่น กลายเป็นคนที่ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง มีความก้าวร้าวแอบแฝง […]


การเติบโตและพัฒนาการในวัยเรียน

การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายของวัยรุ่น มีอะไรบ้าง

การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายของวัยรุ่น เป็นภาวะปกติที่เกิดขึ้นเมื่อลูกเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น มักเริ่มต้นเมื่อลูกอายุประมาณ 8-14 ปี ไปจนถึงอายุ 18 หรือ 20 ต้น ๆ ช่วงวัยนี้เป็นช่วงรอยต่อจากเด็กไปเป็นผู้ใหญ่ คุณพ่อคุณแม่จึงควรดูแลอย่างเหมาะสม เช่น ดูแลให้ลูกได้รับสารอาหารที่หลากหลายและครบถ้วน เสริมสร้างความมั่นใจให้กับลูก สอนให้ลูกมีทัศนคติที่ดีต่อร่างกายตัวเอง สอนการปฏิบัติตัวที่ถูกต้อง เพื่อให้วัยรุ่นมีพัฒนาการทั้งทางร่างกาย อารมณ์ สติปัญญา และการเข้าสังคม อย่างไรก็ตาม หากคุณพ่อคุณแม่พบว่า ลูกวัยรุ่นมีปัญหาพัฒนาการทางร่างกาย ควรปรึกษาคุณหมอ เพื่อจะได้หาวิธีรักษา ซึ่งอาจช่วยให้วัยรุ่นมีพัฒนาการและการเติบโตที่เหมาะสมตามวัย การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายของวัยรุ่น ในช่วงนี้ลูกมีพัฒนาการทั้งภายนอกและภายในร่างกาย เนื่องจากระดับฮอร์โมนในร่างกายเพิ่มมากขึ้น ฮอร์โมนเพศหญิงได้แก่ เอสโตรเจน (Estrogen) และโปรเจสเตอโรน (Progesterone) ฮอร์โมนเพศชาย คือ เทสโทสเทอโรน (Testosterone) ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายของวัยรุ่น เช่น น้ำหนักและส่วนสูงที่เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด ความแข็งแรงที่เพิ่มมากขึ้น เสียงแตกหนุ่ม การมีประจำเดือน ส่วนใหญ่แล้ว ผู้หญิงจะเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นก่อนผู้ชาย โดยการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายของวัยรุ่นผู้ชายและผู้หญิงที่พบได้ อาจมีดังนี้ การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายของวัยรุ่นผู้ชาย ส่วนใหญ่แล้ว ผู้ชายจะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายตอนอายุประมาณ 9-16 ปี ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล แต่มักช้ากว่าผู้หญิงประมาณ 2 ปี […]


การเติบโตและพัฒนาการในวัยเรียน

รักการอ่าน ประโยชน์ และวิธีฝึกลูกให้รักการอ่าน

การอ่าน เป็นหนึ่งในวิธีส่งเสริมพัฒนาการทั้งทางด้านร่างกาย ระบบประสาทและสมอง สติปัญญา จิตใจและอารมณ์ ที่เหมาะสมกับคนทุกเพศทุกวัย ทั้งยังเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการเรียนรู้ทักษะอื่น ๆ ที่จำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวันด้วย ยิ่งคุณพ่อคุณแม่ฝึกให้ลูก รักการอ่าน ได้เร็วเท่าใด ก็อาจยิ่งส่งผลให้ลูกมีสุขภาพดี และใช้ชีวิตในสังคมได้ง่ายขึ้นเท่านั้น อย่างไรก็ตาม การฝึกทักษะการอ่านให้ลูกอาจต้องคำนึงถึงช่วงวัยและความสนใจของลูกด้วย เพื่อให้ลูกรู้สึกสนุกกับการอ่าน ไม่รู้สึกกดดันเกินไป และรักการอ่านได้ในที่สุด ประโยชน์ของการรักการอ่าน การฝึกให้ลูกรักการอ่าน อาจมีประโยชน์ต่อสุขภาพและทักษะในการใช้ชีวิตของลูก ดังนี้ ช่วยส่งเสริมการทำงานของสมองและระบบประสาท เด็กที่อ่านหนังสือเป็นประจำ อาจมีพัฒนาการทางสมองและระบบประสาทที่เติบโตสมวัย โดยงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่เผยแพร่ในวารสาร Brain Connectivity เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2556 ทำการศึกษาเกี่ยวกับผลระยะสั้นและระยะยาวของการอ่านนวนิยายต่อการทำงานของสมอง โดยให้กลุ่มตัวอย่างเข้ารับการสแกนสมอง จากนั้นหยุดอ่านหนังสือใด ๆ เป็นเวลา 5 วัน ก่อนจะเริ่มอ่านนิยายวันละ 1/9 ของเนื้อหาทั้งหมดในช่วงเย็นติดต่อกันเป็นเวลา 9 วัน เมื่ออ่านนิยายจบแล้ว ก็ให้หยุดอ่านอีก 5 วัน ผลปรากฏว่า สมองแต่ละส่วนสามารถทำงานเชื่อมโยงกันได้ดีขึ้น โดยเฉพาะสมองที่เกี่ยวข้องกับการจับใจความ และความสามารถในการเข้าใจทัศนะผู้อื่น (Perspective-taking) ซึ่งความสามารถดังกล่าวเป็นส่วนสำคัญที่อาจทำให้ลูกรู้จักใส่ใจหรือเห็นใจผู้อื่นมากขึ้น ช่วยให้ลูกเรียนรู้คำศัพท์ได้ดีขี้น การอ่านหนังสือเป็นประจำและหลากหลาย อาจช่วยให้ลูกได้เรียนรู้คำศัพท์ใหม่ ๆ และมีคลังคำศัพท์ไว้ใช้ติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เรียกได้ว่า ยิ่งอ่านมากเท่าไหร่ […]


การเติบโตและพัฒนาการในวัยเรียน

พัฒนาการทางด้านจิตใจ ของเด็กช่วงอายุ 9-12 ปี

พัฒนาการทางด้านจิตใจของเด็กช่วงอายุ 9-12 ปี มักมีความเชื่อมโยงกับพัฒนาการทางร่างกายที่เติบโตขึ้น บางคนอาจเริ่มให้ความสนใจด้านการเรียน เพศตรงข้าม หรือให้ความสำคัญกับเพื่อน จนทำให้อาจห่างเหินจากครอบครัว และอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม เช่น วิตกกังวล เครียด ซึมเศร้า ก้าวร้าว หงุดหงิดง่าย การเรียนรู้เกี่ยวกับพัฒนาการทางด้านจิตใจของเด็กวัยนี้ รวมถึงสัญญาณเตือนถึงปัญหาทางด้านจิตใจ อาจช่วยให้คุณพ่อคุณแม่สามารถรับมือและดูแลลูกได้อย่างเหมาะสม พัฒนาการทางด้านจิตใจของเด็กช่วงอายุ 9-12 ปี พัฒนาการทางด้านจิตใจของเด็กช่วงอายุ 9-12 ปี อาจมีความเชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ สุขภาพ และปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม เช่น สังคม เศรษฐกิจ การเรียน เพื่อน ครอบครัว พัฒนาการทางด้านจิตใจของเด็กช่วงอายุ 9-12 ปี อาจมีดังนี้ อยากรู้อยากลองสิ่งใหม่ ๆ มีความอยากรู้อยากเห็น ความสนใจในสิ่งที่แปลกใหม่ และอาจตั้งคำถามบ่อยครั้ง มีความคิดเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น ชอบการค้นคว้าหาข้อมูลเพื่อพัฒนาตัวเอง เช่น ทักษะการเล่นกีฬา การวาดรูป ทดลองวิทยาศาสตร์ แต่งบทประพันธ์ ต้องการอิสระในการตัดสินใจลงมือทำด้วยตัวเอง มีความสนใจในเพศตรงข้าม และเริ่มเปลี่ยนบุคลิกภาพตัวเองให้เป็นที่น่าดึงดูด อาจมีอารมณ์แปรปรวนง่าย อารมณ์ขึ้น ๆ ลงๆ จากมีความสุขหัวเราะ อาจเปลี่ยนเป็นเศร้าภายในไม่กี่นาที […]


โภชนาการเด็กวัยเรียน

แคลเซียมสำหรับเด็กวัยเรียน มีความสำคัญอย่างไร

แคลเซียมสำหรับเด็กวัยเรียน จำเป็นต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็ก ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง ทั้งยังสำคัญต่อระบบการทำงานของร่างกายในส่วนอื่น ๆ เช่น การทำงานของกล้ามเนื้อ ฮอร์โมน การเต้นของหัวใจ ดังนั้น การรู้ถึงความสำคัญของแคลเซียม อาจช่วยให้พ่อแม่ส่งเสริมสุขภาพของเด็กวัยเรียนให้ดียิ่งขึ้น แคลเซียมสำหรับเด็กวัยเรียน สำคัญอย่างไร วัยเด็กเป็นวัยที่ต้องการแคลเซียม เพื่อเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง หากไม่มีการสะสมเพิ่มเติมแคลเซียมในกระดูกจะถูกดึงออกเพื่อใปใช้ในส่วนอื่น ๆ และเมื่อเวลาผ่านไปกระดูกจะอ่อนแอลงและเปราะบาง ซึ่งอาจส่งผลต่อโรคกระดูกพรุนในอนาคตได้ นอกจากนี้ แคลเซียมยังมีความสำคัญต่อระบบการทำงานของร่างกายในส่วนอื่น ๆ เช่น การทำงานของกล้ามเนื้อ ฮอร์โมน การเต้นของหัวใจ ปริมาณแคลเซียมที่เด็กวัยเรียนควรได้รับ       ปริมาณแคลเซียมที่ควรได้รับอาจแตกต่างกันในแต่ละช่วงวัย ซึ่งปริมาณแคลเซียมที่เด็กวัยเรียนควรได้รับ มีดังนี้ เด็กอายุ 1-3 ปี ควรได้รับแคลเซียม 700 มิลลิกรัม/วัน ประมาณ 2-3 มื้อ เด็กอายุ 4-8 ปี ควรได้รับแคลเซียม 1,000 มิลลิกรัม/วัน ประมาณ 2-3 มื้อ เด็กและวัยรุ่นอายุ 9-18 ปี ควรได้รับแคลเซียม 1,300 มิลลิกรัม/วัน ประมาณ 4 […]


โภชนาการเด็กวัยเรียน

ลูกกินไฟเบอร์ ได้มากแค่ไหน และแหล่งไฟเบอร์สำหรับเด็ก

ไฟเบอร์เป็นสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่เด็กบางคนอาจมีปัญหาไม่ชอบกินผักจนทำให้คุณพ่อคุณแม่กังวลว่าจะทำอย่างไรให้ ลูกกินไฟเบอร์ ได้เพียงพอต่อปริมาณที่ร่างกายต้องการ โดยแหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยไฟเบอร์ไม่ได้มีแต่ผักใบเขียวเพียงอย่างเดียว คุณพ่อคุณแม่จึงอาจไม่จำเป็นต้องบังคับให้ลูกกินผักเสมอไป แต่อาจให้ลูกกินพืชตระกูลถั่วและผลไม้ที่อุดมด้วยไฟเบอร์ทดแทนได้ ลูกกินไฟเบอร์ สำคัญอย่างไร การให้ลูกกินไฟเบอร์ที่เป็นเส้นใยจากพืชอาจช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือด ป้องกันโรคเบาหวาน โรคหัวใจ ลดความเสี่ยงเป็นมะเร็งบางชนิด และช่วยให้อาหารเคลื่อนผ่านระบบย่อยอาหารได้ดีขึ้น ส่งเสริมการการทำงานของลำไส้และป้องกันอาการท้องผูก ทั้งยังอาจทำให้ลูกรู้สึกอิ่มนานขึ้น ซึ่งอาจส่งผลดีต่อการควบคุมน้ำหนัก ลูกกินไฟเบอร์ ได้มากแค่ไหน ปริมาณไฟเบอร์ที่ร่างกายต้องการอาจแตกต่างกันในแต่ละช่วงวัย ดังนี้ เด็กอายุ 1-3 ปี ต้องการไฟเบอร์ 19 กรัม/วัน เด็กอายุ 4-8 ปี ต้องการไฟเบอร์ 25 กรัม/วัน เด็กชายอายุ 9-13 ปี ต้องการไฟเบอร์ 31 กรัม/วัน เด็กผู้หญิงอายุ 9-13 ปี ต้องการไฟเบอร์ 26 กรัม/วัน เด็กชายอายุ 14-19 ปี ต้องการไฟเบอร์ 38 กรัม/วัน เด็กผู้หญิงอายุ 14-19 ปี ต้องการไฟเบอร์ 26 กรัม/วัน แหล่งอาหารที่อุดมด้วยไฟเบอร์ ไฟเบอร์พบได้ในพืชทุกชนิด แต่ปริมาณของไฟเบอร์อาจแตกต่างกันไป โดยแหล่งอาหารที่มีไฟเบอร์สูง […]


ช่วงวัยเรียน

ปัญหาสุขภาพเด็กวัยเรียน ที่พบบ่อย ควรดูแลอย่างไร

ปัญหาสุขภาพเด็กวัยเรียน ในช่วงอายุระหว่าง 6-12 ปี ย่อมสร้างความกังวลใจให้กับพ่อแม่ เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของเด็กวัยเรียน ยังไม่สมบูรณ์พอที่จะต้านทานโรคได้ และการอยู่ร่วมกับเพื่อน ๆ ในห้องเรียนอาจทำให้เชื้อโรคแพร่กระจายและติดต่อกันได้ง่าย จึงทำให้ป่วยบ่อย โดยโรคที่มักพบในเด็กวัยเรียน เช่น โรคหวัด โรคภูมิแพ้ โรคมือเท้าปาก โรคท้องร่วง คุณพ่อคุณแม่ควรเฝ้าระวังปัญหาสุขภาพเด็กวัยเรียน ด้วยการสังเกตอาการและพฤติกรรมต่าง ๆ ของลูกอย่างใกล้ชิดเมื่อพวกเขากลับมาถึงบ้าน และหากพบความผิดปกติ ควรพาลูกไปหาหมอ [embed-health-tool-vaccination-tool] ปัญหาสุขภาพเด็กวัยเรียน ที่พบบ่อยมีอะไรบ้าง  ปัญหาสุขภาพที่พบบ่อยใน เด็กวัยเรียน อายุ 6-12 ปี มีดังนี้ 1. โรคหวัดและอาการไอ โรคหวัด เป็นปัญหาสุขภาพเด็กวัยเรียนที่เกิดขึ้นได้ค่อนข้างบ่อย และจะพบมากในช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลง เช่น ปลายฝนต้นหนาว เนื่องจากร่างกายของเด็ก ๆ ยังไม่มีระบบภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสโรคหวัดที่แข็งแรงพอ อย่างไรก็ตาม เมื่อเด็ก ๆ เติบโตขึ้นร่างกายจะค่อย ๆ เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงขึ้นจนสามารถต้านทานเชื้อโรคต่าง ๆ ได้ดีขึ้นและทำให้เป็นหวัดน้อยลง การไอ เด็กมักมีอาการไอเมื่อเป็นหวัด เพื่อช่วยขจัดเสมหะที่อยู่ในระบบทางเดินหายใจออก ทำให้จมูกปลอดโปร่ง หายใจง่ายขึ้น 2. ท้องร่วงและอาเจียน ท้องร่วง เป็นวิธีกำจัดเชื้อโรคของร่างกาย ส่วนใหญ่มักมีอาการ 2-3 […]


ช่วงวัยเรียน

เคล็ดลับ ดูแลเด็กวัยเรียน ให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่สมบูรณ์

การ ดูแลเด็กวัยเรียน ให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่สมบูรณ์ สามารถทำได้อย่างไร เรื่องนี้อาจเป็นปัญหาของผู้ปกครองหลายคน เพราะเด็กแต่ละช่วงวัยต่างต้องการดูแลเอาใจใส่ที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะ เด็กวัยเรียนซึ่งเป็นช่วงวัยแห่งการเริ่มต้นเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อย่างเป็นระบบ ทั้งการเข้าสู่สังคมโรงเรียน การสร้างสัมพันธ์กับเพื่อนใหม่ [embed-health-tool-vaccination-tool] ทำไมจึงต้องดูแลเด็กวัยเรียน   เด็กวัยเรียน เป็นวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงและต้องปรับตัวค่อนข้างสูง ทั้งทางกายและทางสติปัญญา เด็กสามารถเริ่มทำทุกอย่างได้ด้วยตนเอง ทั้งผูกเชือกรองเท้า แต่งตัว หยิบจับสิ่งของ วิ่งเล่น และมีอิสระจากครอบครัวมากขึ้น การดูแลเด็กวัยเรียนจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก การเสริมสร้างความรู้ การฝึกฝนทักษะ การให้รางวัลและบทลงโทษก็เป็นส่วนหนึ่งในการดูแลเด็กวัยเรียน ให้เด็กได้เรียนรู้และเข้าใจ เพื่อเตรียมตัวเข้าสู่สังคมในอนาคต เคล็ดลับการ ดูแลเด็กวัยเรียน การดูแลเด็กวัยเรียน อาจดูเหมือนเป็นเรื่องยาก แต่หากมองในแง่ดี คุณพ่อคุณแม่หรือผู้ปกครองก็ได้ฝึกเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ไปพร้อม ๆ กับลูกรัก โดยอาจลองปฏิบัติตามคำแนะนำ ต่อไปนี้ ควรแสดงออกถึงความรักอยู่เสมอ ชื่นชมและยินดีต่อความสำเร็จ สร้างความรับผิดชอบให้กับเด็ก เช่น ขอให้เด็กช่วยรับผิดชอบงานบ้านบางอย่าง พูดคุยเกี่ยวกับเพื่อน โรงเรียน และสิ่งต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต สอนให้เด็กรู้จักการเคารพผู้อื่น และรู้จักช่วยเหลือคนอื่น สอนให้เด็กรู้จักการตั้งเป้าหมายที่ต้องทำให้สำเร็จ เพื่อให้เด็กรู้สึกภาคภูมิใจในตนเอง สอนให้เด็กเรียนรู้ที่จะอดทน ยอมให้คนอื่นก่อน หรือยอมทำงานให้เสร็จก่อนออกไปเล่น เพื่อกระตุ้นให้เด็กรู้ถึงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นเมื่อทำสิ่งตามเป้าหมายเสร็จแล้ว กำหนดกฎเกณฑ์ให้ชัดเจนและปฏิบัติตาม […]


ช่วงวัยเรียน

การเล่นเสริมพัฒนาการเด็กวัยเรียน ได้อย่างไร

การเล่นเสริมพัฒนาการเด็กวัยเรียน จะช่วยส่งเสริมพัฒนาการเด็กในหลายด้านทั้งทางกายภาพและพัฒนาการทางปัญญา นอกจากนี้ การเล่นยังอาจช่วยเตรียมความพร้อมของเด็กในการเข้าสู่สังคมโรงเรียนได้อีกด้วย ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่จึงควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องการเล่นเสริมสร้างพัฒนาการเด็กวันเรียน เพื่อจะได้เสริมสร้างพัฒนาการได้อย่างเหมาะสม การเล่นเสริมพัฒนาการเด็กวัยเรียน สำคัญอย่างไร เด็กวัยเรียน ในช่วงอายุ 6-9 ปี จะเริ่มมีพัฒนาการมากขึ้น การเสริมสร้างพัฒนาการในช่วงนี้การเล่นจึงอาจเป็นสิ่งที่จะช่วยให้เด็กวัยเรียนพัฒนาได้หลายด้าน ดังนี้ การเล่นเกมที่มีกฎง่าย ๆ จะช่วยให้เด็กเรียนรู้และคุ้นเคยเกี่ยวกับกฎเกณฑ์มากขึ้น การเล่นเกมกับเพื่อนยังช่วยให้เด็กได้สร้างสัมพันธ์กับเพื่อน รู้จักการผลัดกันเล่น และประนีประนอมกันผู้อื่น พัฒนาความสนใจใหม่ ๆ และงานอดิเรกผ่านการเล่น เช่น เด็กอาจจะเริ่มอ่านหนังสือในเรื่องที่สนใจมากขึ้น สนุกกับความท้าทายในการเล่น เช่น การปีนต้นไม้ การปั่นจักรยานด้วยความเร็ว ความท้าทายเหล่านี้สร้างความสนุกและความตื่นเต้นให้กับเด็ก อีกทั้งสร้างทักษะทางกายภาพ การใช้กล้ามเนื้อ การทำงานประสานกันระหว่างกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ และสายตา ช่วยพัฒนากระบวนการแก้ปัญหา พัฒนาการเรียนรู้ ช่วยให้เด็กรู้ถึงขีดจำกัดทางร่างกายและอารมณ์ การเล่นกับเพื่อนจะช่วยให้เด็กรู้จักการสร้างมิตรภาพไม่ว่าจะเป็นเพศเดียวกันหรือต่างเพศกัน โดยคุณพ่อคุณแม่ควรร่วมเล่นหรือทำกิจกรรมต่าง ๆ กับเด็ก เพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัว เช่น เตะฟุตบอลในสนามหน้าบ้าน ทำอาหารร่วมกัน การเล่นกับเพื่อน หรือการผจญภัยที่โรงเรียนอาจเสริมสร้างพัฒนาการให้กับเด็กวัยเรียนได้ แต่เด็กยังคงต้องการคำแนะนำและความช่วยเหลือจากคุณพ่อคุณแม่ เพื่อช่วยจัดการกับความกังวลต่าง ๆ การเล่นกับเด็กอาจเป็นช่องทางในการสื่อสารที่ดี การเล่นกับพัฒนาการทางปัญญาในวัยเรียน การเล่นนอกจากจะให้ประโยชน์ทางกายภาพแล้วยังช่วยพัฒนาความรู้ความเข้าใจของเด็กวัยเรียน ในเรื่องของความสามารถในการคิด เข้าใจ สื่อสาร จดจำ […]


ช่วงวัยเรียน

พัฒนาการด้าน การเข้าสังคมของเด็กวัยเรียน

พัฒนาการด้าน การเข้าสังคมของเด็กวัยเรียน เป็นกระบวนการที่เด็กเรียนรู้การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น พัฒนาทักษะการสื่อสารกับผู้อื่น และสามารถใช้ชีวิตในสังคมได้ตามปกติ อีกทั้งยังสามารถจัดการกับอารมณ์ที่เกิดขึ้นได้ คุณพ่อคุณแม่จึงควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับพัฒนาการด้านการเข้าสังคมของเด็กวัยนี้ให้ดี เพื่อจะได้ช่วยฝึกฝนทักษะของเด็กให้เป็นไปตามวัย สาเหตุที่ทำให้เด็กวัยเรียนปฏิเสธการเข้าสังคม เด็กวัยเรียน บางคนอาจจะปฏิเสธการเข้าสังคมหรือปฏิเสธการไปโรงเรียน ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากสาเหตุดังต่อไปนี้ ความรู้สึกไม่ดี เด็กอาจกำลังพยายามหลีกเลี่ยงบางสิ่งที่โรงเรียนเหรือเพื่อนทำให้เด็กเกิดความวิตกกังวล ซึมเศร้า หรือรู้สึกลำบากใจ เช่น การแกล้งกัน การถูกทำร้าย หลีกเลี่ยงปฏิสัมพันธ์ทางสังคม เด็กอาจมีปัญหาในการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ปัญหาการสร้างมิตรภาพกับเพื่อน หรืออาจไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรเมื่อเจอกับเหตุการณ์นั้น มีความสนใจนอกโรงเรียน เด็กอาจสนใจทำกิจกรรม เล่นเกม ดูทีวีอยู่ที่บ้านมากกว่าการมาโรงเรียน ติดพ่อแม่ เด็กอาจติดพ่อแม่ ไม่ชอบที่จะแยกจากพ่อแม่จึงทำให้เกิดการปฏิเสธสังคมขึ้น การเข้าสังคมของเด็กวัยเรียน ส่งผลต่อเด็กอย่างไร ประสบการณ์การใช้ชีวิตประจำวันกับผู้ปกครองเป็นสิ่งพื้นฐานในการพัฒนาการเข้าสังคมของวัยเรียน พ่อแม่ที่เปิดโอกาสให้เด็กได้พัฒนาความสัมพันธ์ พูดคุย โต้ตอบกัน เป็นแบบอย่างที่เด็กสามารถจดจำ และนำไปใช้โต้ตอบกับคนรอบข้างได้ เด็กที่อายุ 5 ปีขึ้นไป จะเริ่มมีพัฒนาการทางสังคม เด็กวัยเรียน ส่วนใหญ่จะใช้เวลาทั้งวันไปกับการพูดคุย เล่น กับเด็กคนอื่น ๆ ดังนี้ สร้างมิตรภาพ พยายามทำให้เพื่อนพอใจ หรือพยายามทำตามเพื่อน เรียนรู้การสร้างสัมพันธ์กับเด็กคนอื่น ๆ รับรู้ถึงการถูกรังแก กลัวการรังแก หรือเริ่มทำตัวรังแกผู้อื่น เด็กบางคนที่มีอายุ 10 ขวบขึ้นไป อาจเริ่มปฏิเสธความคิดเห็นของพ่อแม่ […]

โฆษณา

กำลังมองหาเรื่องราวในการเลี้ยงดูบุตรใช่หรือไม่?

เข้าร่วมชุมชนการเลี้ยงดูบุตรและแลกเปลี่ยนข้อมูลกับคุณแม่และคุณพ่อคนอื่น ๆ เข้าร่วมชุมชนได้เลย!


โฆษณา

ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของเรา

ทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของ Hello คุณหมอ ประกอบไปด้วยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มาร่วมสร้างสรรค์บทความในเว็บไซต์ของเราตามความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญของเราจะช่วยรับรองว่าข้อมูลด้านสุขภาพของเราถูกต้อง เป็นปัจจุบัน และตรงตามหลักฐานจากงานวิจัยล่าสุด
ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรามุ่งมั่นเต็มที่ในการช่วยให้คุณได้รับข้อมูลและความรู้ด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือ เข้าใจง่าย และเป็นประโยชน์ และพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพกับคุณเสมอ เพื่อให้คุณได้รับทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น

ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม