พ่อแม่เลี้ยงลูก

ในทุกช่วงชีวิตของลูกน้อย เหล่าคุณพ่อคุณแม่จำเป็นที่จะต้องรู้วิธีดูแลและสนับสนุนสุขภาพโดยรวมของลูกน้อย เพื่อให้ความเป็นอยู่ของลูกน้อยดีขึ้น เพราะฉะนั้นใน พ่อแม่เลี้ยงลูก คุณจะได้พบกับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ รวมถึงเคล็ดลับในการดูแลลูกให้แข็งแรง มีความสุข และสามารถปรับตัวได้ในทุกสถานการณ์

เรื่องเด่นประจำหมวด

พ่อแม่เลี้ยงลูก

โปลิโอ เป็นแล้วรักษาไม่หาย แต่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน

โปลิโอ หรือที่รู้จักกันในชื่อ ไข้ไขสันหลังอักเสบ เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากไวรัสโปลิโอ (Poliovirus) ซึ่งเคยส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพของมนุษย์ในอดีต โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กเล็ก แม้ว่าในปัจจุบันโรคนี้จะลดลงอย่างมากเนื่องจากการพัฒนาวัคซีน แต่ความตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคและการป้องกันยังคงมีความสำคัญ [embed-health-tool-vaccination-tool] โปลิโอ คืออะไร โรคโปลิโอเกิดจากเชื้อไวรัสในตระกูล Picornavirus โดยไวรัสนี้แบ่งเป็น 3 สายพันธุ์หลัก ได้แก่ PV1, PV2 และ PV3 ซึ่งไวรัสสามารถเข้าสู่ร่างกายผ่านการบริโภคน้ำหรืออาหารที่ปนเปื้อน รวมถึงการสัมผัสกับผู้ติดเชื้อโดยตรง เมื่อไวรัสเข้าสู่ร่างกาย มันจะแพร่กระจายในลำไส้และระบบประสาทส่วนกลาง ทำลายเซลล์ประสาทที่ควบคุมการเคลื่อนไหว ส่งผลให้เกิดภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรงหรืออัมพาต การแพร่กระจายของโรค โรคโปลิโอแพร่กระจายได้ง่ายในพื้นที่ที่มีการสุขาภิบาลไม่ดี โดยเชื้อไวรัสจะถูกขับออกจากร่างกายผู้ติดเชื้อผ่านทางอุจจาระ แล้วปนเปื้อนในน้ำหรืออาหาร นอกจากนี้ การสัมผัสใกล้ชิด เช่น การสัมผัสมือหรือของใช้ส่วนตัวที่มีเชื้อไวรัสอยู่ ก็เป็นอีกเส้นทางที่โรคสามารถแพร่กระจายได้ กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงคือเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี และผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนครบถ้วน อาการของโรคโปลิโอ โรคโปลิโอมีลักษณะอาการหลากหลาย ตั้งแต่ไม่มีอาการไปจนถึงอัมพาตรุนแรง ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ (70-90%) ไม่มีอาการ แต่สามารถแพร่เชื้อได้ อาการเบื้องต้น รวมถึงไข้ต่ำ อ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อ และคลื่นไส้ อาการรุนแรง ได้แก่ อัมพาตของแขนขา หรือในบางกรณีเชื้อไวรัสอาจทำลายระบบประสาทที่ควบคุมการหายใจ ส่งผลให้เสียชีวิต สำหรับบางคนที่เคยติดเชื้อ อาจเกิดภาวะ กลุ่มอาการหลังโปลิโอ (Post-Polio Syndrome) ในระยะเวลาหลายปีหลังจากการติดเชื้อ ซึ่งทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงและปวดกล้ามเนื้อ การป้องกันด้วยวัคซีน ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาโรคโปลิโอเฉพาะเจาะจง การป้องกันที่ดีที่สุดคือการรับวัคซีน […]

หมวดหมู่ พ่อแม่เลี้ยงลูก เพิ่มเติม

สำรวจ พ่อแม่เลี้ยงลูก

ภาวะทุพโภชนาการ

วิตามินบี 12 สำหรับอย่างไรต่อสุขภาพของเด็ก

วิตามินบี 12 มีความสำคัญกับในทุกช่วงวัย โดยเฉพาะสำหรับเด็ก เนื่องจากเป็นวิตามินชนิดละลายน้ำที่ทำหน้าที่ในการสร้างและรักษาภาวะในร่างกาย จัดเป็นวิตามินที่จำเป็นต่อระบบประสาท การสร้างเซลล์เม็ดเลือด การสังเคราะห์พลังงาน และกิจกรรมทางชีวเคมีพื้นฐานอื่น ๆ หากเด็กขาดวิตามินบี 12 อาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของร่างกายหลายด้าน [embed-health-tool-vaccination-tool] วิตามินบี 12 มีประโยชน์ต่อสุขภาพของเด็กอย่างไร วิตามินบี 12 ช่วยเสริมการทำงานของไมอีลิน (Myelin) ซึ่งเป็นสารคล้ายไขมันที่ทำหน้าที่เป็นเยื่อหุ้มเซลล์สมอง ช่วยปกป้องระบบประสาท และกระตุ้นการสื่อสารระหว่างสมองและอวัยวะส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย เช่น มือ เท้า นอกจากนี้ วิตามินบี 12 ยังช่วยรักษาระบบการย่อยอาหารให้เป็นปกติ และป้องกันการเกิดโรคหัวใจ โดยช่วยปรับระดับคอเลสเตอรอลและความดันโลหิต และยังเป็นวิตามินที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า สามารถรักษาและป้องกันโรคอัลไซเมอร์ได้ การได้รับวิตามินบี 12 ในปริมาณที่ต่ำกว่าปกติ อาจทำให้เด็กเสี่ยงเป็นโรคออทิสติก (Autistic Disorder) มากขึ้น วิตามินบี 12 ยังเป็นสารอาหารที่สำคัญในกระบวนการผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดง ดังนั้น หากขาดวิตามินชนิดนี้ เด็กอาจเป็นโรคโลหิตจางได้ แหล่งของวิตามินบี 12  อาหารที่มีเนื้อสัตว์เป็นส่วนผสมจะมีปริมาณวิตามินบี 12 สูง แม้ว่าผักชนิดต่าง ๆ จะมีวิตามิน 12 อยู่เช่นกัน แต่ร่างกายมนุษย์ไม่สามารถดูดซึมได้ดีพอ ผลิตภัณฑ์นม […]


การเติบโตและพัฒนาการ

ลำดับการเกิด ส่งผลต่อบุคลิกภาพของคนเราได้อย่างไร

จากผลการศึกษาวิจัย ลำดับการเกิดของเด็กมีความสำคัญพอๆกับเพศ ในการกำหนดบุคลิกภาพของเด็ก เป็นไปได้ว่าเนื่องจากลำดับการเกิดที่แตกต่างกัน ทำให้วิธีที่พ่อแม่เลี้ยงดูลูกมีความแตกต่างกันตามไปด้วย อีกทั้งบทบาทและหน้าที่ของเด็ก ก็มักจะแตกต่างกันออกไป ตามลำดับการเกิดของแต่ละคนอีกด้วย ลำดับการเกิด + การเลี้ยงดู = พฤติกรรม การเป็นลูกคนแรกนั้นมักเป็นเสมือน “การทดลอง” สำหรับคู่สามีภรรยา ซึ่งครึ่งหนึ่งจะเป็นการทำหน้าที่ตามสัญชาตญาณ และอีกครึ่งหนึ่ง จะเป็นการลองผิดลองถูก พ่อแม่มือใหม่จะปฏิบัติตามคำแนะนำจากหนังสือและญาติพี่น้อง โดยพวกเขาจะระมัดระวังลูกที่เกิดใหม่มาก อาจมีการถ่ายรูปลงโซเชียลมีเดียในทุกการเคลื่อนไหว แล้วยังเก็บรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ โดยใส่ใจกับทุกๆ รายละเอียด ดังนั้น เด็กที่เป็นลูกคนแรกจำนวนมาก จึงอาจกลายเป็นผู้นิยมความสมบูรณ์แบบ และต้องการประสบความสำเร็จอย่างสูง แต่พอถึงลูกคนที่สอง คู่สามีภรรยาได้มีประสบการณ์เกี่ยวกับการเลี้ยงลูกมาแล้ว และมักจะมีกฎระเบียบสำหรับลูกคนที่สองน้อยลง นอกจากนี้ พวกเขายังจะให้ความใส่ใจกับลูกคนที่สองน้อยกว่า เนื่องจากมีลูกที่ต้องดูแลถึงสองคน ซึ่งอาจทำให้ลูกคนที่สองต้องเป็นคนที่ชอบเอาใจคนอื่นมากกว่า เพื่อที่จะได้รับความรักและสนใจจากผู้อื่น และเพราะพวกเขายังชอบเปรียบเทียบตัวเองกับลูกคนโต จึงต้องการที่จะทำให้ได้ดีกว่าอีกด้วย โดยสรุปแล้ว อาจเป็นวิธีที่พ่อแม่เลี้ยงดูและสั่งสอนลูกนั่นเอง ที่หล่อหลอมให้เกิดตัวตนของเด็กแต่ละคน ไม่ใช่เพียงแต่ลำดับการเกิดเพียงอย่างเดียว อย่างไรก็ดี เด็กจำนวนมากที่มีลำดับการเกิดเดียวกัน มักจะมีลักษณะนิสัยแบบเดียวกัน ลูกคนแรก: ผู้ประสบความสำเร็จ ลูกที่อายุมากที่สุด มักมีลักษณะร่วมที่คล้ายคลึงกับผู้ที่เป็นลูกคนโตคนอื่นๆ มากกว่าจะเหมือนกับพี่น้องของตนเอง เนื่องจากได้รับความเอาใจใส่มากกว่า และก็ถูกควบคุมมากกว่าด้วย เมื่อเปรียบเทียบกับลูกคนอื่นๆในครอบครัว จึงมีความรับผิดชอบ(ที่บางทีก็มากเกินไป)มีความประพฤติดีและไว้วางใจได้มากกว่า แม้กระทั่งบางคนอาจกล่าวว่าพวกเขาเป็นเหมือนพ่อแม่ของพวกเขาที่อยู่ในเวอร์ชั่นเด็กนั่นเอง ลูกคนกลาง: ผู้ไกล่เกลี่ย หากคุณเป็นลูกคนกลาง คุณมักเป็นคนที่เห็นอกเห็นใจและมีความยืดหยุ่น ด้วยลักษณะเช่นนี้ทำให้คุณเข้ากับผู้อื่นได้ดีกว่า แต่คุณก็เป็นคนที่ชอบแข่งขัน […]


เลี้ยงลูกด้วยนมแม่

หน้าอก เสียทรงเพราะให้นมลูกจริงหรือ

การตั้งครรภ์และการให้นมลูกอาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ หน้าอก เปลี่ยนรูปร่างไป นอกจากนี้ อาจมีสาเหตุมาจากปัจจัยอื่น ๆ เช่น อายุ ขนาดของเต้านมก่อนตั้งครรภ์ จำนวนครั้งของการตั้งครรภ์ ซึ่งถือเป็นเรื่องธรรมชาติที่อาจเกิดขึ้นได้กับผู้หญิงทุกคน อย่างไรก็ตาม ไม่ควรกังวลจนเกินไปถึงรูปร่างหน้าอกที่เปลี่ยนแปลงไป แต่ควรดูแลรักษาสุขภาพหน้าอกและเต้านมให้ปลอดภัยจากโรคต่าง ๆ [embed-health-tool-ovulation] หน้าอก เสียทรงเพราะให้นมลูกจริงหรือ โดยปกติแล้ว ในเต้านมไม่มีกล้ามเนื้อแต่จะยึดติดอยู่กับหน้าอกได้ด้วยเส้นเอ็นบาง ๆ ที่เรียกว่า เส้นคูเปอร์ (Cooper’s Ligament) ขณะตั้งครรภ์เส้นเอ็นบาง ๆ เหล่านี้จะยืดออก และเลือดจะถูกปั๊มเข้าเต้านม ทำให้หน้าอกมีน้ำหนักและอวบอิ่ม การสร้างน้ำนมอาจทำให้เนื้อเยื่อในเต้านมหนาขึ้น และอาจทำให้เต้านมของดูเหมือนหย่อนยานลง เนื้อเยื่อไขมันและเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ก็อาจจะค่อย ๆ มีการเปลี่ยนแปลงไป หลังจากการให้นมลูก อย่างไรก็ตาม แม้ไม่ได้ให้นมลูก แต่การตั้งครรภ์อาจส่งผลทำให้รูปร่างเต้านมของผู้หญิงแต่ละคนแตกต่างกันไป นอกจากนั้น ยังอาจขึ้นอยู่กับหลาย ๆ ปัจจัย ได้แก่ ดัชนีมวลกาย พันธุกรรม จำนวนครั้งของการตั้งครรภ์ ขนาดของเต้านมก่อนตั้งครรภ์ อายุ ประวัติการสูบบุหรี่ พฤติกรรมการรับประทานอาหารและการออกกำลังกาย การเปลี่ยนแปลงของเต้านม การเปลี่ยนรูปร่างของเต้านมอาจพบได้มากเมื่อเต้านมเต็มไปด้วยน้ำนม โดยเต้านมแต่ละข้างจะเป็นอิสระต่อกัน ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับเต้านมข้างหนึ่ง อาจไม่เกิดขึ้นกับเต้านมอีกข้างก็ได้ ในขณะตั้งครรภ์ เส้นเอ็นที่ยึดติดเต้านมกับหน้าอกจะยืดออกและจะหดตัวลงหลังการให้นมลูก ซึ่งอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของรูปร่างของเส้นรอบอก […]


โรคติดเชื้อในเด็ก

โรคมือเท้าปาก สามารถลดความเสี่ยงในการเกิดได้อย่างไร

โรคมือเท้าปาก (Hand, foot and mouth disease หรือ HFMD) เป็นโรคติดเชื้อไม่รุนแรง ที่เกิดจากไวรัสค็อกแซ็กกี้ (Coxsackie virus) และเอนเทอโรไวรัส (Enterovirus) โรคนี้พบมากในทารกและเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี และยังไม่มียารักษาเฉพาะ อย่างไรก็ตาม คุณพ่อคุณแม่สามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมือเท้าปาก และรับมือกับโรคมือเท้าปากอย่างถูกวิธีได้ [embed-health-tool-vaccination-tool] วิธีลดความเสี่ยงในการเกิด โรคมือเท้าปาก สำหรับวิธีการลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมือเท้าปากอาจทำได้ ดังนี้ ลดการแพร่กระจาย โรคมือเท้าปากแพร่กระจายจากคนสู่คนได้ผ่านการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ เช่น น้ำมูก น้ำลาย และไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคมือเท้าปากอาจยังคงอยู่ในทางเดินหายใจ หรือลำไส้ของผู้ป่วยได้หลายสัปดาห์หลังจากอาการทั้งหมดหายไป ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้ที่เชื้อโรคจะแพร่กระจายจากผู้ที่ไม่มีอาการหรือสิ่งบ่งชี้ไปยังผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น ทารก เด็ก โรคนี้ยังไม่มีวัคซีนหรือยารักษาเฉพาะ คุณพ่อคุณแม่จึงควรลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายและการรับเชื้อของลูกด้วยการดูแลรักษาสุขอนามัยให้ดี อย่าให้ลูกเข้าใกล้ผู้ที่มีอาการป่วยหรือติดเชื้อ ไม่ให้ลูกใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เป็นต้น และหากลูกป่วยหรือติดเชื้อ ก็ควรให้ลูกพักรักษาตัวอยู่ในพื้นที่ที่เหมาะสม เพื่อลดความเสี่ยงที่ลูกจะแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น ป้องกันโรคให้ดี การป้องกันโรคมือเท้าปากที่ดีที่สุด คือ การปฏิบัติตนให้มีสุขอนามัยที่ดี การสอนเด็กเกี่ยวกับวิธีการล้างมือโดยใช้น้ำอุ่นและสบู่ สามารถลดความเสี่ยงในการติดเชื้อได้เป็นอย่างมาก เด็กยังควรได้รับการสอนให้ล้างมือหลังจากหยิบสิ่งของ ใช้ห้องน้ำ และก่อนรับประทานอาหาร หรือทันทีที่เด็กสัมผัสกับสิ่งสกปรก นอกจากนี้ คุณพ่อคุณแม่ควรสอนลูกไม่ให้เอามือเข้าปากหรือสัมผัสใบหน้า หรือหยิบจับสิ่งของต่าง ๆ เข้าปากโดยเด็ดขาด ที่สำคัญ คุณพ่อคุณแม่จำเป็นต้องรักษาความสะอาดของสิ่งแวดล้อมโดยรอบลูก […]


โรคเด็กและอาการทั่วไป

ทารกแหวะนม อย่าตกใจ ลองหาสาเหตุเพื่อแก้ไขอาการน่าห่วงของลูกน้อย

ทารกแหวะนม สามารถเกิดขึ้นได้เป็นครั้งคราว โดยเฉพาะในช่วงขวบปีแรก เนื่องจากเด็กกำลังปรับตัวเข้ากับการกินอาหาร และร่างกายกำลังค่อยๆ พัฒนาขึ้น ส่วนใหญ่มักจะหายไปภายใน 6-24 ชั่วโมง โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเป็นพิเศษ นอกจากดูให้แน่ใจว่า ลูกไม่ขาดน้ำเท่านั้น แต่ต้องตรวจสอบให้มั่นใจว่า ลูกแหวะนม ไม่ใช่การอาเจียนอย่างต่อเนื่อง เพราะนั่นอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงได้  ทารกแหวะนมหรืออาเจียน ก่อนอื่นคุณพ่อคุณแม่ต้องรู้จักความแตกต่างระหว่างการอาเจียนจริงๆ กับการแหวะอาหารของเด็ก การอาเจียนเป็นการที่อาหารที่อยู่ในกระเพาะพุ่งออกมาโดยไม่สามารถบังคับได้ ขณะที่การแหวะ (ที่พบบ่อยให้เด็กวัยต่ำกว่าหนึ่งขวบ) เป็นการที่เด็กขย้อนเอาอาหารออกมาทางปาก ปกติแล้วมักจะมาพร้อมกับอาการเรอ การอาเจียนเกิดขึ้นเมื่อกล้ามเนื้อหน้าท้องและกระบังลมเกร็งอย่างรุนแรง ในขณะที่กล้ามเนื้อกระเพาะอาหารหย่อนตัว ปฏิกิริยาสะท้อนนี้ถูกกระตุ้นจาก “ศูนย์ควบคุมการอ้วก” ในสมอง หลังจากที่มันถูกกระตุ้นโดยเส้นประสาทจากกระเพาะอาหารและลำไส้ ที่อาจเกิดจากสาเหตุเหล่านี้ ระบบย่อยอาหารระคายเคืองหรือบวมขึ้น เนื่องจากอาการติดเชื้อหรือเกิดการอุดตัน สารเคมีในเลือด (อย่างเช่นจากยา) การถูกกระตุ้นทางประสาทสัมผัส เช่น ภาพหรือกลิ่น การกระตุ้นจากประสาทหูส่วนกลาง (อย่างเช่น การอาเจียนที่เกิดจากการวิงเวียน) สาเหตุของทารกแหวะนม สาเหตุที่พบได้บ่อยของการแหวะหรืออาเจียนในเด็ก แตกต่างกันไปตามช่วงอายุ เช่น ในช่วงสองสามเดือนแรก ทารกส่วนใหญ่จะแหวะนมเล็กน้อยออกมา ปกติแล้วจะเป็นในช่วงชั่วโมงแรกหลังป้อนนม ปกติจะเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว อาการนี้จะลดน้อยลงเมื่อเด็กโตขึ้น แต่อาจยังปรากฏอยู่บ้างเล็กน้อยจนอายุ 10-12 เดือน ซึ่งถ้าไม่มีอาการอื่น และไม่ทำให้เด็กน้ำหนักลดลง ก็ถือว่าไม่ผิดปกติ แต่หากเด็กมีอาการอาเจียนต่อเนื่อง อาจมีสาเหตุต่างๆ ดังนี้ โรคลำไส้อุดตัน ในช่วงอายุสองสัปดาห์จนถึงสี่เดือน การอาเจียนอย่างต่อเนื่องอาจมีสาเหตุมาจาก การที่กล้ามเนื้อบริเวณทางออกของกระเพาะอาหารหนาตัวขึ้น ทำให้เกิดการอุดตัน จนอาหารไม่สามารถผ่านเข้าไปสู่ลำไส้ได้ นี่เป็นอาการร้ายแรงที่ต้องรักษาอย่างทันท่วงทีด้วยการผ่าตัด […]


เด็กทารก

ภาษากาย ของลูกรัก ท่าทางแบบไหน มีความหมายว่าอย่างไร

ภาษากาย ของเด็กทารกโดยเฉพาะในช่วงอายุขวบปีแรกนั้นสำคัญต่อคุณพ่อคุณแม่เป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นช่วงที่ลูกน้อยยังไม่สามารถสื่อสารได้ด้วยการพูด การตีความหมายจากภาษากายได้อย่างถูกต้องจะทำให้คุณพ่อคุณแม่ทราบถึงอารมณ์ ความต้องการ และความรู้สึกของลูกน้อย เพื่อที่จะตอบสนองได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม [embed-health-tool-vaccination-tool] ความสำคัญของ ภาษากาย ในเด็ก การทำความเข้าใจกับภาษากายของเด็กเป็นเรื่องสำคัญมาก เนื่องจากเสียงเด็กทารกร้องไห้ ท่าทางต่าง ๆ ล้วนแต่เป็นวิธีการสื่อสารถึงความต้องการของเด็ก ๆ ที่คุณพ่อคุณแม่ควรตีความหมายให้ใกล้เคียงสิ่งที่เด็กต้องการ และทำความเข้าใจ เพื่อตอบสนองความต้องการของเด็กได้อย่างเหมาะสม เด็กน้อยจะได้มีความสุขจากการดูแลเอาใจใส่ของคุณพ่อและคุณแม่ ภาษากาย ของเด็ก ๆ ที่พบได้บ่อย เตะขา ถ้าเด็กเตะขาพร้อมกับยิ้มและดูมีความสุข อาจเป็นสัญญาณว่า เด็กกำลังอยากเล่น แต่ถ้าเตะขาไปร้องไห้ไปด้วยอาการหงุดหงิดก็สื่อว่า กำลังมีอะไรรบกวนเด็กอยู่ อาจจะเป็นผ้าอ้อมเปียกแฉะหรืออาการท้องอืด หรือแน่นท้องต้องการเรอ ซึ่งพ่อแม่ควรรีบตรวจดูว่า มีอะไรที่ทำให้เด็กหงุดหงิดอยู่ และรีบจัดการให้ตรงกับความต้องการเพื่อที่เด็กจะน้อยอารมณ์ดีมีความสุข จับหูหรือดึงหู อาจเป็นเพียงการแสดงออกของเด็ก ๆ ที่เพิ่งสำรวจเจอว่าตัวเองมีหู ซึ่งเป็นอวัยวะใหม่ที่เด็ก ๆ อาจจะไม่เคยสำรวจหรือสัมผัสโดนมาก่อน ส่วนใหญ่แล้วมักไม่เกี่ยวข้องกับอาการติดเชื้อที่หูแต่อย่างใด เพราะหากมีการติดเชื้อที่หู มักมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น มีไข้ คัดจมูก ร้องไห้งอแง นอกจากนั้น เด็กมักจะชอบดึงหูตัวเอง เพื่อเป็นการปลอบตัวเองให้หายหงุดหงิดจากบางสิ่งบางอย่าง เช่น ต้องการของเล่น ต้องการดื่มนม ง่วงนอน กำหมัด ท่ากำหมัดเป็นท่าของเด็กส่วนใหญ่ที่กำลังผ่อนคลายและกำลังพักผ่อน เนื่องจากทารกแรกเกิดยังไม่สามารถทำอะไรกับมือตัวเองได้มากนัก เนื่องจากการเคลื่อนไหวนิ้วและมือ ต้องอาศัยพัฒนาการทางระบบประสาทและสมองที่มากพอ ปกติแล้วเด็กจะเริ่มแบมือตอนนอนหลับเมื่ออายุราว 8 สัปดาห์ และสามารถหยิบฉวยและไขว่คว้าสิ่งต่าง ๆ […]


สุขภาพเด็ก

หูฟัง เป็นอันตรายต่อเด็กและวัยรุ่นได้อย่างไร

หูฟัง เป็นอุปกรณ์ที่เด็ก ๆ และวัยรุ่นในปัจจุบันใช้กันเป็นจำนวนมาก ทั้งเพียงเพื่อฟังเพลงที่ชอบ ใช้สำหรับการเรียนหนังสือออนไลน์ คุยโทรศัพท์ ดูภาพยนตร์ออนไลน์ เล่นเกมในมือถือ ซึ่งอาจทำให้ใช้หูฟังนานหลายชั่วโมงโดยไม่รู้ตัว นอกจากนั้น การใส่หูฟังและเปิดเสียงดังเป็นเวลานนาน ยังอาจส่งผลเสียต่อการได้ยินของหูข้างใดข้างหนึ่ง หรือทั้ง 2 ข้าง ผู้ปกครองควรใส่ใจสุขภาพหูของเด็ก ๆ และคอยสังเกตพฤติกรรมการใช้หูฟังเพื่อป้องกันปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพหู [embed-health-tool-bmr] การใช้ หูฟัง ของเด็กและวัยรุ่น การฟังเสียงดังเป็นเวลานานอาจนำไปสู่การสูญเสียการได้ยิน จากงานวิจัยของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐอเมริกา พ.ศ. 2554-2555 ทดสอบเกี่ยวกับการได้ยินและการสัมภาษณ์ พบว่า ผู้ใหญ่มากถึง 40 ล้านคนในสหรัฐอมเริกาที่อายุต่ำกว่า 70 ปี สูญเสียการได้ยินของหูข้างหนึ่งหรือทั้ง 2 ข้างจากการได้ยินเสียงดังเป็นเวลานาน นอกจากนี้ยังมีความเชื่อมโยงโดยตรงระหว่างการใช้หูฟังกับการสูญเสียการได้ยินในเด็กวัย 9-11 ปี พบว่า 40% ของผู้ที่ใช้เครื่องเล่นเพลงแบบพกพา มีความสามารถต่ำมากในการได้ยินเสียงที่มีความถี่สูง เนื่องจากมีภาวะประสาทหูเสื่อมจากเสียง (Noise-Induced Hearing Loss) เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้ใช้เครื่องเล่นแบบพกพา ภาวะสูญเสียการได้ยิน คืออะไร การได้ยินเสียงเกิดจากการทำงานของอวัยวะ 3 ส่วนภายในหู ได้แก่ หูชั้นนอก หูชั้นกลาง หูชั้นใน โดยส่วนหนึ่งของหูชั้นในเรียกว่า คอเคลีย […]


เลี้ยงลูกด้วยนมแม่

ตั้งท้องขณะให้นมลูก มีโอกาสเป็นไปได้หากไม่คุมกำเนิดจริงหรือ?

ตั้งท้องขณะให้นมลูก คือการให้นมลูกหลังคลอด แล้วตั้งครรภ์ซึ่งโอกาสเป็นไปได้ค่อนข้างน้อยเนื่องจากช่วงเวลาหลังคลอดประมาณ 3-8 เดือนหญิงให้นมลูกมักจะไม่มีประจำเดือน โอกาสที่ร่างกายของฝ่ายหญิงจะมีไข่ตกนั้นต่ำ อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีความเป็นไปได้ที่จะตั้งท้องขณะให้นมลูกหากมีเพศสัมพันธ์ในช่วงเวลาดังกล่าวและไม่คุมกำเนิด โอกาสตั้งท้องขณะให้นมลูกเป็นไปได้หรือไม่ ตั้งท้องขณะให้นมลูก เป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้หากมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน เพียงแต่โอกาสจะเกิดขึ้นได้น้อย เพราะภาวะเจริญพันธ์ุในช่วงเดือนที่ให้นมบุตรนั้นลดลง และการให้นมบุตรส่งผลกระทบต่อการตกไข่ เนื่องจากร่างกายของผู้หญิงจะสร้างฮอร์โมนโปรแลคติน (ฮอร์โมนน้ำนม) ขึ้นมาในปริมาณมาก ซึ่งฮอร์โมนชนิดนี้จะยับยั้งฮอร์โมนอื่นที่กระตุ้นการตกไข่ ดังนั้น ยิ่งให้นมทารกบ่อยและนานเท่าไหร่ โอกาสที่จะตั้งครรภ์อีกครั้งก็มักน้อยลงเท่านั้น หากเริ่มให้อาหารเสริมทดแทนน้ำนมแม่ และให้นมลูกลดลง ฮอร์โมนโปรแลคตินก็จะลดลงตามไปด้วย ทำให้ภาวะเจริญพันธุ์กลับคืนมา แต่โดยปกติแล้วมักจะใช้เวลา 3 ถึง 8 เดือน กว่าที่วงจรของไข่ตกจะกลับมาเป็นปกติ [embed-health-tool-ovulation] สัญญาณของการตกไข่ขณะให้นมลูก การตั้งท้องขณะให้นมลูก อาจเกิดขึ้นได้ยาก เพราะร่างกายมักไม่มีการตกไข่ และไม่มีประจำเดือน แต่เมื่อให้นมลูกน้อยลง วงจรของวันตกไข่ก็จะเริ่มกลับมา แต่ถึงอย่างนั้น จะทราบได้อย่างไรว่า ร่างกายเริ่มเข้าสู่ภาวะตกไข่เมื่อใด โดยปกติแล้ว ประจำเดือนมักขาดหลายเดือนหลังจากคลอด แต่การไม่มีประจำเดือนไม่ได้หมายความว่า ไม่อยู่ในภาวะเจริญพันธุ์ เพราะในความเป็นจริงแล้วร่างกายจะมีไข่ตกออกมาก่อนการมีประจำเดือนครั้งแรกหลังคลอด ดังนั้น ควรสังเกตสัญญาณล่วงหน้าของภาวะเจริญพันธุ์หรือการที่ร่างกายพร้อมมีลูกอีกครั้ง ดังนี้ การมีสารคัดหลั่งจากอวัยวะเพศเพิ่มขึ้น เป็นสัญญาณแรกของการตกไข่ หากสังเกตเห็นตกขาว ที่สับเปลี่ยนกันระหว่างของเหลวสีขาวข้น ไปเป็นของเหลวที่มีลักษณะใสและยืดหยุ่น อาจจะหมายความว่า ภาวะเจริญพันธุ์นั้นกลับมาเป็นปกติแล้ว อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น อาจเป็นตัวบ่งบอกของการตกไข่ หากสังเกตว่าอุณหภูมิของร่างกายเพิ่มขึ้น นั่นอาจหมายถึงร่างกายกำลังมีภาวะไข่ตก ประจำเดือนครั้งแรก […]


ขวบปีแรกของลูกน้อย

พัฒนาการเด็ก สัปดาห์ที่ 7 ของลูกน้อย

พัฒนาการเด็ก สัปดาห์ที่ 7 ที่สังเกตเห็นได้ชัดคือ ทารกอาจเริ่มมีรอยยิ้ม เริ่มกำและแบมือได้เอง โดยหากนำสิ่งของใส่มือจะสามารถกำไว้ได้นาน และเริ่มซึมซับเสียงและคำพูดของผู้ที่อยู่รอบตัว ช่วงสามเดือนแรกเป็นช่วงที่สมองของทารกกำลังพัฒนามากที่สุด ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ควรพูดกับลูกบ่อย ๆ สัมผัสลูกด้วยความรัก แม้ว่าทารกจะไม่สามารถสื่อสารออกมาเป็นคำพูดได้ก็ตาม [embed-health-tool-vaccination-tool] การเจริญเติบโต พฤติกรรมและ พัฒนาการเด็ก สัปดาห์ที่ 7 ลูกน้อยจะเติบโตและมี พัฒนาการเด็ก สัปดาห์ที่ 7 อย่างไร ใกล้ครบสองเดือนแล้ว ลูกน้อยสามารถจดจำเสียงของคุณพ่อคุณแม่ได้แล้ว ซึ่งการได้ยินเสียงที่คุ้นเคยจะช่วยทำให้ลูกน้อยปรับตัวเข้ากับโลกใหม่นอกครรภ์มารดาได้ง่ายขึ้น และทำให้รู้สึกว่าไม่ได้อยู่โดดเดี่ยว ฉะนั้น ยิ่งพูดคุยกับทารกมากเท่าไหรยิ่งดี แม้ลูกน้อยอาจไม่เข้าใจคำพูดแต่ทารกสามารถรับรู้ได้ถึงความรักและความรู้สึกต่าง ๆ ผ่านคำพูด โทนเสียง น้ำเสียง แววตา ท่าทาง ในสัปดาห์นี้ทารกจะมีพัฒนาการดังต่อไปนี้ เมื่อจับอยู่ในท่านอนคว่ำ ลูกน้อยจะสามารถชันคอขึ้นมาได้ประมาณ 45 องศา สามารถส่งเสียงอื่น ๆ ได้มากกว่าการร้องไห้ เช่น ส่งเสียงอ้อแอ้ในลำคอ สามารถยิ้มตอบได้ เมื่อมีใครยิ้มให้ ควรดูแลลูกน้อยอย่างไร ในช่วงสัปดาห์นี้ ทารกจะตื่นบ่อยขึ้นในช่วงระหว่างวัน ควรใช้ช่วงเวลานี้เพื่อช่วยพัฒนาประสาทสัมผัสโดยการเล่นดนตรีหรือร้องเพลงกล่อมเด็ก ถึงแม้ว่าลูกน้อยจะไม่เข้าใจ แต่อาจแสดงปฎิกิริยาตอบสนองต่อเพลงที่คุณร้องได้ ซึ่งไม่จำเป็นต้องร้องแต่เพลงเด็ก ๆ อาจใช้เพลงได้ตามใจชอบ ตั้งแต่เพลงป๊อปไปจนถึงเพลงคลาสสิค และสังเกตดูว่าลูกน้อยชอบเพลงแบบไหน หากชอบลูกน้อยจะแสดงออกด้วยการขยับปาก […]


วัคซีน

วัคซีนไข้หวัดใหญ่ สำหรับเด็ก จำเป็นหรือไม่

วัคซีนไข้หวัดใหญ่ เป็นวัคซีนที่เด็กอายุ 6 เดือน ถึง 2 ปี ควรเข้ารับการฉีดเนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงในการเสียชีวิตจากโรคไข้หวัดใหญ่มากกว่าผู้ป่วยทั่วไปถึง 6 เท่า อย่างไรก็ตาม คุณพ่อคุณแม่ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้หากเด็กฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ เพื่อจะได้สังเกตอาการและสามารถรับมือได้อย่างถูกต้องและทันท่วงที [embed-health-tool-vaccination-tool] วัคซีนไข้หวัดใหญ่ เด็กต้องฉีดไหม ข้อมูลสถิติโรคไข้หวัดใหญ่ในประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม- 8 กันยายน พ.ศ. 2565 จากกรมควบคุมโรค เผยว่า มีผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ 22,922 ราย เสียชีวิต 1 ราย และผู้ป่วยกลุ่มที่พบมากที่สุดคือ เด็กแรกเกิดถึงอายุ 4 ปี รองลงมาคือ เด็กอายุ 5-14 ปี ดังนั้น เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรคไข้หวัดใหญ่ในเด็ก กรมควบคุมโรคและนำให้เด็กอายุตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป โดยเฉพาะเด็กที่อายุต่ำกว่า 2 ปี เข้ารับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ และควรดูแลตัวเองด้วยการสวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในที่ชุมชน ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยน้ำสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์ ไม่เอามือเข้าปาก ไม่ใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เช่น ผ้าเช็ดตัว แก้วน้ำ และหลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกับผู้ป่วย […]

ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา

กำลังมองหาเรื่องราวในการเลี้ยงดูบุตรใช่หรือไม่?

เข้าร่วมชุมชนการเลี้ยงดูบุตรและแลกเปลี่ยนข้อมูลกับคุณแม่และคุณพ่อคนอื่น ๆ เข้าร่วมชุมชนได้เลย!





ad iconโฆษณา

ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของเรา

ทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของ Hello คุณหมอ ประกอบไปด้วยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มาร่วมสร้างสรรค์บทความในเว็บไซต์ของเราตามความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญของเราจะช่วยรับรองว่าข้อมูลด้านสุขภาพของเราถูกต้อง เป็นปัจจุบัน และตรงตามหลักฐานจากงานวิจัยล่าสุด
ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรามุ่งมั่นเต็มที่ในการช่วยให้คุณได้รับข้อมูลและความรู้ด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือ เข้าใจง่าย และเป็นประโยชน์ และพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพกับคุณเสมอ เพื่อให้คุณได้รับทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น

ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ชุมชน