พ่อแม่เลี้ยงลูก

ในทุกช่วงชีวิตของลูกน้อย เหล่าคุณพ่อคุณแม่จำเป็นที่จะต้องรู้วิธีดูแลและสนับสนุนสุขภาพโดยรวมของลูกน้อย เพื่อให้ความเป็นอยู่ของลูกน้อยดีขึ้น เพราะฉะนั้นใน พ่อแม่เลี้ยงลูก คุณจะได้พบกับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ รวมถึงเคล็ดลับในการดูแลลูกให้แข็งแรง มีความสุข และสามารถปรับตัวได้ในทุกสถานการณ์

เรื่องเด่นประจำหมวด

พ่อแม่เลี้ยงลูก

โปลิโอ เป็นแล้วรักษาไม่หาย แต่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน

โปลิโอ หรือที่รู้จักกันในชื่อ ไข้ไขสันหลังอักเสบ เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากไวรัสโปลิโอ (Poliovirus) ซึ่งเคยส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพของมนุษย์ในอดีต โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กเล็ก แม้ว่าในปัจจุบันโรคนี้จะลดลงอย่างมากเนื่องจากการพัฒนาวัคซีน แต่ความตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคและการป้องกันยังคงมีความสำคัญ [embed-health-tool-vaccination-tool] โปลิโอ คืออะไร โรคโปลิโอเกิดจากเชื้อไวรัสในตระกูล Picornavirus โดยไวรัสนี้แบ่งเป็น 3 สายพันธุ์หลัก ได้แก่ PV1, PV2 และ PV3 ซึ่งไวรัสสามารถเข้าสู่ร่างกายผ่านการบริโภคน้ำหรืออาหารที่ปนเปื้อน รวมถึงการสัมผัสกับผู้ติดเชื้อโดยตรง เมื่อไวรัสเข้าสู่ร่างกาย มันจะแพร่กระจายในลำไส้และระบบประสาทส่วนกลาง ทำลายเซลล์ประสาทที่ควบคุมการเคลื่อนไหว ส่งผลให้เกิดภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรงหรืออัมพาต การแพร่กระจายของโรค โรคโปลิโอแพร่กระจายได้ง่ายในพื้นที่ที่มีการสุขาภิบาลไม่ดี โดยเชื้อไวรัสจะถูกขับออกจากร่างกายผู้ติดเชื้อผ่านทางอุจจาระ แล้วปนเปื้อนในน้ำหรืออาหาร นอกจากนี้ การสัมผัสใกล้ชิด เช่น การสัมผัสมือหรือของใช้ส่วนตัวที่มีเชื้อไวรัสอยู่ ก็เป็นอีกเส้นทางที่โรคสามารถแพร่กระจายได้ กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงคือเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี และผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนครบถ้วน อาการของโรคโปลิโอ โรคโปลิโอมีลักษณะอาการหลากหลาย ตั้งแต่ไม่มีอาการไปจนถึงอัมพาตรุนแรง ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ (70-90%) ไม่มีอาการ แต่สามารถแพร่เชื้อได้ อาการเบื้องต้น รวมถึงไข้ต่ำ อ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อ และคลื่นไส้ อาการรุนแรง ได้แก่ อัมพาตของแขนขา หรือในบางกรณีเชื้อไวรัสอาจทำลายระบบประสาทที่ควบคุมการหายใจ ส่งผลให้เสียชีวิต สำหรับบางคนที่เคยติดเชื้อ อาจเกิดภาวะ กลุ่มอาการหลังโปลิโอ (Post-Polio Syndrome) ในระยะเวลาหลายปีหลังจากการติดเชื้อ ซึ่งทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงและปวดกล้ามเนื้อ การป้องกันด้วยวัคซีน ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาโรคโปลิโอเฉพาะเจาะจง การป้องกันที่ดีที่สุดคือการรับวัคซีน […]

หมวดหมู่ พ่อแม่เลี้ยงลูก เพิ่มเติม

สำรวจ พ่อแม่เลี้ยงลูก

ปัญหาสุขภาพเด็กแบบอื่น

อันตรายจากปัญหา ลูกไม่นอน และวิธีการแก้ไข

ลูกไม่นอน เป็นปัญหาหนึ่งที่คุณพ่อคุณแม่หลายคนอาจต้องพบเจอ ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพต่าง ๆ โดยเฉพาะด้านพัฒนาการและการเจริญเติบโต ทั้งยังมีแนวโน้มที่จะมีปัญหาทางอารมณ์และการเข้าสังคมอีกด้วย คุณพ่อคุณแม่จึงควรให้เด็กพักผ่อนอย่างเพียงพอ เพื่อพัฒนาการทางด้านต่างๆของร่างกายและจิตใจ จะได้มีความพร้อมสมบูรณ์ [embed-health-tool-vaccination-tool] ลูกควรนอนวันละเท่าไหร่ ทารกวัยแรกเกิด (อายุต่ำกว่า 6 เดือน) นาฬิกาชีวิตของทารกวัยแรกเกิดยังพัฒนาได้ไม่เต็มที่ ทารกที่อายุต่ำกว่า 6 เดือน จะนอนเป็นเวลา 18 ชั่วโมงต่อวัน โดยแบ่งเป็นตอนกลางคืนและตอนกลางวันเท่ากัน ในช่วงสองสามสัปดาห์แรก ทารกแรกเกิดควรตื่นทุกๆ 3-4 ชั่วโมงจนกระทั่งพวกเขามีน้ำหนักตัวปกติ หลังจากนั้นทารกวัยแรกเกิดจะสามารถนอนติดต่อกันเป็นเวลานานขึ้นได้ และสำหรับทารกวัย 3 เดือน โดยเฉลี่ยจะนอนหลับ 14 ชั่วโมง ซึ่งใช้เวลานอน 8-9 ชั่วโมงต่อวัน และจะงีบหลับระหว่างวัน 2-3 ครั้ง ทารกวัย 6-12 เดือน ทารกวัยนี้ต้องการนอนโดยเฉลี่ย 14 ชั่วโมงต่อวัน และงีบหลับระหว่างวัน 2-3 ครั้งๆ ละ 30 นาทีถึง 2 ชั่วโมง เด็กในวัยนี้ส่วนใหญ่จะเริ่มไม่ตื่นมากินนมกลางคืน หรือหากตื่นขึ้นมากลางดึก ก็ไม่จำเป็นต้องป้อนนมแล้ว วัยเตาะแตะ ในวัย 1-3 ปี เด็กส่วนใหญ่จะนอนหลับประมาณ 12-14 ชั่วโมง […]


โรคติดเชื้อในเด็ก

อีสุกอีใส ใน เด็ก มีวิธีการดูแลอย่างไรบ้าง

โรคอีสุกอีใส (Chickenpox) เป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากไวรัสวาริเซลลาซอสเตอร์ (varicella-zoster virus) ซึ่งเป็นไวรัสงูสวัด (herpes virus) ประเภทหนึ่ง คนทุกเพศทุกวัยสามารถเป็นอีสุกอีใสได้ แต่โดยปกติมักจะพบ อีสุกอีใส ใน เด็ก โดยเฉพาะสำหรับเด็กอายุไม่เกิน 10 ปี อย่างไรก็ตาม เมื่อติดเชื้ออีสุกอีใส ระบบภูมิคุ้มกันจะสร้างโปรตีนที่เรียกว่าแอนติบอดี ซึ่งทำหน้าที่ต้านไวรัสขึ้นมา ดังนั้น เมื่อผู้ใหญ่หรือ เด็กเป็นอีสุกอีใส หากมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง มักไม่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาที่สถานพยาบาล แค่พักรักษาตัวที่บ้านก็เพียงพอแล้ว [embed-health-tool-vaccination-tool] วิธีดูแลและการรักษาอีสุกอีใสในเด็ก ลดอาการคัน เมื่อเด็กเป็นอีสุกอีใสจะมีอาการคัน แต่ไม่ควรปล่อยให้ลูกเกา เพราะอาจทำให้ผิวหนังติดเชื้อหรือเกิดแผลเป็นหลังจากตกสะเก็ด ควรบรรเทาอาการคันให้ลูกด้วยวิธีอื่น เช่น อาบน้ำที่มีส่วนผสมของข้าวโอ๊ตบดหยาบ ประคบเย็น ใช้ยาแก้แพ้ แต่พ่อแม่ควรปรึกษาคุณหมอก่อนให้ยาลูก ลดอุณหภูมิร่างกาย อาการไข้เป็นเพียงการตอบสนองตามปกติของร่างกายที่มีต่อการติดเชื้อ ซึ่งเป็นการกำจัดแบคทีเรียและไวรัสที่ทำให้เกิดโรค เมื่อเกิดอาการไม่สบาย ผู้ป่วยควรใช้เพียงยาที่ซื้อได้เองจากร้าน เพื่อลดอุณหภูมิของร่างกาย และควรปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างระมัดระวัง ก่อนให้ยาใดๆ แก่เด็ก พ่อแม่ควรปรึกษาแพทย์ก่อน ไม่ควรให้เด็กที่อายุต่ำกว่า 16 ปีใช้ยาแอสไพริน เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อการเกิดกลุ่มอาการเรย์ (Reye’s syndrome) ซึ่งเป็นอาการรุนแรงที่มักพบในเด็กที่ใช้ยาแอสไพริน ป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ อีสุกอีใสเป็นโรคที่สามารถติดต่อได้ผ่านการสัมผัส ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะติดเชื้อหลังจากสัมผัสกับผู้ที่ติดเชื้อ หากพบ อีสุกอีใส ใน เด็ก อย่าให้ลูกไปโรงเรียน […]


สุขภาพเด็ก

ลูกเป็นตาแดง คุณพ่อคุณแม่ควรรับมืออย่างไรดี

ลูกเป็นตาแดง เป็นโรคติดต่อชนิดหนึ่ง มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อไวรัส ส่งผลให้เกิดอาการระคายเคืองตา ตาขาวเป็นสีแดง ขอบตาล่างของเปลือกตาทั้ง 2 ข้างเป็นสีแดง เมื่อลูกมีอาการตาแดง คุณพ่อคุณแม่ควรพาลูกไปพบคุณหมอ เพื่อเข้ารับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง [embed-health-tool-vaccination-tool] ลูกเป็นตาแดง มีอาการอย่างไร โรคตาแดง (Pink eye or Conjunctivitis) เป็นโรคติดต่อที่อาจพบได้บ่อยในเด็ก โดยมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อไวรัส นอกจากนี้ โรคตาแดงยังอาจเกิดจากอาการภูมิแพ้ หากลูกเริ่มมีอาการเคืองตา ตาขาวเป็นสีแดง และขอบตาล่างของเปลือกตาทั้ง 2 ข้างเป็นสีแดง อาจหมายถึงอาการของโรคตาแดง นอกจากนี้ เมื่อร่างกายต้องต่อสู้กับการติดเชื้ออาจทำให้มีน้ำตาหรือมีขี้ตามากกว่าปกติ รวมถึงอาจมีอาการเจ็บตา ตาบวม หรือตาไวต่อแสง ในกรณีที่ลูกตาแดงจากภูมิแพ้อาจทำให้มีอาการคันตาและน้ำตาไหลร่วมด้วย สาเหตุของโรคตาแดง การติดเชื้อแบคทีเรียและไวรัสอาจเป็นสาเหตุที่พบบ่อยของโรคตาแดง นอกจากนี้ โรคตาแดงยังอาจเกิดจากการเป็นภูมิแพ้ได้ด้วย แต่ในกรณีนี้จะไม่ถือว่าเป็นโรคติดต่อ สำหรับสาเหตุของโรคตาแดงอาจมีดังนี้ โรคตาแดงที่เกิดจากเชื้อไวรัส อาจเกิดร่วมกับการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน ทำให้เป็นไข้ หรือมีอาการเจ็บคอ โดยมักจะมีอาการตาแดงทั้ง 2 ข้าง แต่ไม่มีหนอง อาการตาแดงที่เกิดจากเชื้อไวรัสอาจไม่สามารถรักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะ ถ้าอาการไม่ดีขึ้นจึงควรปรึกษาคุณหมอ โรคตาแดงที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย เด็กส่วนใหญ่อาจเป็นโรคตาแดงเนื่องจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งคุณหมอจะให้ยาหยอดตาปฏิชีวนะเพื่อรักษาอาการ ถ้าภายใน 24 ชั่วโมงอาการไม่ดีขึ้นหลังใช้ยาหยอดตา ควรเข้าพบคุณหมออีกครั้ง โรคตาแดงเนื่องจากภูมิแพ้ เด็กอาจมีอาการตาแดงเนื่องจากภูมิแพ้ […]


สุขภาพเด็ก

เข้มงวด กับลูก มีผลดีผลเสียอย่างไร

การ เข้มงวดกับลูก เพื่อให้เขามีวินัย อาจเป็นการสร้างระบบการดำเนินชีวิตให้ลูกอยู่ในระเบียบ อย่างไรก็ตาม อะไรที่มากเกินไปย่อมไม่เป็นผลดีแก่พวกเขาแน่นอน คุณพ่อคุณแม่ควรเรียนรู้สัญญาณที่บ่งบอกว่ากำลังเข้มงวดกับลูกมากเกินไป และควรหาวิธีเลี้ยงลูกที่เหมาะสมยิ่งขึ้น เข้มงวดกับลูก มีผลดีอย่างไรได้บ้าง ประสิทธิภาพทางวิชาการ คุณพ่อคุณแม่ที่เข้มงวดมักจะผลักดันให้เด็กตั้งใจเรียน ทำให้ลูกๆ ประสบความสำเร็จทางด้านการเรียน ควบคุมตนเอง เด็กจะเรียนรู้ที่จะควบคุมตนเอง เพื่อปฏิบัติตามคำสั่งของคุณพ่อคุณแม่อย่างมีวินัย มีความมั่นใจ เมื่อคุณพ่อคุณแม่ผลักดันให้ลูกปรับปรุงตัวเอง และตั้งใจทำสิ่งต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เด็กจะเรียนรู้ที่จะผ่านสถานการณ์ที่ยากลำบากไปได้ด้วยตนเอง ซึ่งจะทำให้ลูกมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น เข้มงวดกับลูก เกินไป อาจส่งผลเสียอย่างไร ไม่กล้าทดลองทำสิ่งใหม่ๆ หากเด็กกลัวความล้มเหลว หรือกลัวการทำผิดพลาด พวกเขาจะทำสิ่งต่างๆ ด้วยความระมัดระวัง จนบางครั้งกลายเป็นการไม่กล้าลงมือทำอะไรใหม่ๆ เลย ซึ่งอาจปิดกั้นโอกาสในชีวิตของพวกเขา ทำให้ความนับถือตนเองต่ำ (Low Self-Esteem) พ่อแม่ที่เข้มงวดเกินไปมักจะไม่ค่อยยอมรับความคิดเห็นของลูก ซึ่งจะทำให้เด็กสงสัยในการตัดสินใจของตนเอง และอาจส่งผลให้มีความนับถือตนเองต่ำ ไม่สามารถคิดหรือตัดสินใจได้ด้วยตนเอง เด็กที่ได้รับการเลี้ยงดูโดยพ่อแม่ที่เข้มงวดมากเกินไป จะได้รับคำแนะนำและแนวทางต่างๆ ทำให้ไม่สามารถคิดหรือตัดสินใจเรื่องต่างๆ ด้วยตัวเอง จึงอาจส่งผลทำให้พวกเขาไม่สามารถควบคุมชีวิตตัวเองได้เมื่อโตขึ้น เกิดความเครียด การเข้มงวดมากเกินไป อาจทำให้ลูกรู้สึกเครียดได้ สัญญาณที่บ่งบอกว่าคุณกำลัง เข้มงวดกับลูก เกินไป 1. ลูกของคุณโกหกบ่อย บางครั้งเด็กๆ ก็ไม่ได้พูดความจริงทั้งหมด แต่จากการศึกษาพบว่าการมีกฎระเบียบที่เข้มงวดมากเกินไป จะทำให้เด็กกลายเป็นคนชอบโกหกได้ เนื่องจากต้องการหลีกเลี่ยงการถูกลงโทษ ดังนั้นถ้าลูกๆ […]


การเติบโตและพัฒนาการ

การเลี้ยงลูกสองภาษา กับความเข้าใจผิดที่อาจเกิดขึ้น

การเลี้ยงลูกสองภาษา อาจเป็นวิธีที่คุณพ่อคุณแม่เลี้ยงลูก เพื่อให้พวกเขาได้เรียนรู้ทั้งภาษาไทยและภาษาที่ 2 อย่างภาษาอังกฤษ หรือแม้แต่การเรียนรู้ภาษาที่ 3 ไปพร้อมกัน แต่คุณพ่อคุณแม่บางคนอาจยังมีความกังวลและอาจเข้าใจผิดในบางเรื่องเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกสองภาษา ไม่ว่าจะเป็นกลัวลูกสับสน อาจทำให้ลูกพูดช้า เป็นต้น ดังนั้น การเข้าใจถึงการเลี้ยงลูกสองภาษาที่ถูกต้องจึงเป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรรู้ ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกสองภาษา ความเข้าใจผิดที่ 1 : อาจทำให้เกิดความสับสน คุณพ่อคุณแม่บางคนคิดว่าถ้าเลี้ยงลูกสองภาษาในเวลาเดียวกัน อาจทำให้ลูกสับสนและไม่สามารถแยกความแตกต่างระหว่างภาษาทั้ง 2 ได้ อย่างไรก็ตาม ลูกอาจแยกแยะความแตกต่างระหว่างภาษาต่างกันอย่างชัดเจนได้ตั้งแต่ยังเป็นทารก แต่สำหรับภาษาที่คล้ายกัน เช่น ภาษาอังกฤษกับภาษาดัตช์ อาจทำให้มีปัญหาในการบอกความแตกต่างระหว่าง 2 ภาษา เนื่องจากเป็นภาษาที่คล้ายกัน แต่เมื่อลูกอายุครบ 6 เดือนอาจจะแยกความแตกต่างของภาษาที่คล้ายกันได้ ความเข้าใจผิดที่ 2 : อาจทำให้ลูกพูดได้ช้า การเลี้ยงลูกสองภาษาอาจใช้เวลานานกว่านิดหน่อยก่อนจะเริ่มพูด เมื่อเทียบกับการเลี้ยงดูด้วยภาษาเดียว อย่างไรก็ตาม ความล่าช้าในการพูดนั้นเป็นเรื่องชั่วคราว เนื่องจาก การเลี้ยงลูกสองภาษาไม่ได้เป็นสาเหตุให้ลูกพูดหรือรู้ภาษาได้ล่าช้ากว่าการเลี้ยงลูกด้วยภาษาเดียว ความเข้าใจผิดที่ 3 : อาจทำให้ลูกใช้ภาษาปนกัน การเลี้ยงลูกสองภาษาอาจทำให้ใช้ภาษาปนกัน เนื่องจากการรู้คำศัพท์ในภาษาที่ 2 น้อยกว่าภาษาแรก อาจทำให้เด็กนำคำศัพท์จากภาษาที่ตนเองถนัดกว่ามาปนกับภาษาที่ 2 อย่างไรก็ตาม การใช้ภาษาปนกันเป็นเรื่องชั่วคราว เมื่อลูกรู้คำศัพท์ทั้ง 2 ภาษามากขึ้นก็จะไม่พูดปนกัน นอกจากนี้ ผู้ที่เรียนสองภาษาไม่ว่าจะวัยไหนก็อาจมีการใช้ภาษาปนกัน […]


โภชนาการเด็กวัยเรียน

อาหารบำรุงสมองสำหรับเด็ก มีอะไรบ้าง

อาหารบำรุงสมอง คืออาหารที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อการทำงานของประสาทและสมอง ซึ่งจะทำให้เด็ก ๆ ในวัยเรียนสามารถเรียนรู้ได้ดีขึ้น ความจำดีขึ้น แถมมีสมาธิดีขึ้นอีกด้วย คุณพ่อคุณแม่ควรเลือก อาหารบำรุงสมองสำหรับเด็ก ให้เหมาะสม เพื่อให้ส่งผลดีต่อโภชนาการและสุขภาพของเด็ก อาหารบำรุงสมองสำหรับเด็ก ที่ควรจัดให้ลูกอย่าได้ขาด 1. ไข่ ไข่เป็นแหล่งโปรตีนชั้นดี และในไข่แดงมีโคลีน (choline) ซึ่งเป็นสารอาหารที่จะช่วยพัฒนาความจำและการทำงานของสมอง นอกจากนี้สารอาหารในไข่ยังช่วยทำให้เด็กมีสมาธิด้วย 2. ปลา ปลามีวิตามินดีและกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่จะช่วยป้องกันสมองจากการสูญเสียความจำ และความจำที่ลดลงตามอายุ ปลาที่อุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาซาร์ดีน โดยปลาทูน่าถือเป็นแหล่งโปรตีนชั้นเยี่ยม แต่ในปลาทูน่าจะมีกรดไขมันโอเมก้า 3 น้อยกว่าในปลาแซลมอน เนื่องจากปลาแซลมอนอุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่มีทั้งกรดไขมันโอเมก้า 3 ชนิดดีเอชเอ (DHA) และอีพีเอ (EPA) ซึ่งกรดไขมันโอเมก้า 3 ทั้ง 2 ชนิดจำเป็นต่อการเจริญเติบโตและการทำงานของสมอง นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยที่ให้ข้อมูลว่า ผู้ที่ได้รับกรดไขมันโอเมก้า 3 มีสติปัญญาที่เฉียบแหลม และสามารถทำแบบทดสอบทักษะทางด้านจิตใจได้ดีขึ้น 3. ผักหลากสี ผักที่เต็มไปด้วยสีสัน เช่น มะเขือเทศ มันเทศ ฟักทอง แครอท ผักโขม […]


โรคเด็กและอาการทั่วไป

ไทรอยด์เป็นพิษในเด็ก อาการ สาเหตุ วิธีรักษา

ไทรอยด์เป็นพิษเป็นโรคที่พบได้บ่อยมาก สามารถเกิดได้กับคนทุกเพศทุกวัย รวมทั้งเด็กทารกและเด็กเล็ก อย่างไรก็ตาม หากเกิดโรค ไทรอยด์เป็นพิษในเด็ก (Hypothyroidism in Children) ขั้นรุนแรงอาจส่งผลต่อพัฒนาการของเด็กได้ คำจำกัดความไทรอยด์เป็นพิษในเด็ก คืออะไร ไทรอยด์เป็นพิษในเด็ก (Hypothyroidism in Children) เป็นโรคที่เกิดจากต่อมไทรอยด์ผลิตฮอร์โมนไทรอยด์มากผิดปกติ หากอยู่ในระดับรุนแรง อาจส่งผลให้เจริญเติบโตช้า มีพัฒนาการล่าช้า รวมถึงพัฒนาการด้านสติปัญญา อาการของโรคนี้มักไม่แสดงในช่วงแรกเกิด ช่วงอายุของเด็กในการแสดงอาการ และความรุนแรงของอาการ ขึ้นอยู่กับการทำงานของต่อมไทรอยด์ว่าสามารถทำงานได้ดีเพียงใด โรคไทรอยด์เป็นพิษเป็นโรคที่พบได้บ่อยมาก สามารถเกิดได้กับคนทุกวัย รวมทั้งเด็กและทารก อาการอาการ ภาวะไทรอยด์เป็นพิษในเด็ก ทารกแรกเกิด โรคไทรอยด์เป็นพิษเกิดขึ้นได้ทุกช่วงอายุ แต่อาการของโรคในเด็กอาจมีแตกต่างกันไป ในเด็กแรกเกิด อาการเกิดขึ้นในช่วง 2-3 สัปดาห์หรือเดือนแรก อาการอาจไม่ชัดเจน จนแพทย์หรือพ่อแม่ไม่สังเกตเห็น อาการอาจมีดังนี้ ตัวเหลือง และจุดขาวที่ตา ท้องผูก เบื่ออาหาร ตัวเย็น ร้องไห้น้อยลง หายใจดัง นอนหลับมากขึ้นหรือทำกิจกรรมต่าง ๆ น้อยลง จุดนิ่มบนศีรษะขยายใหญ่ขึ้น ลิ้นโต ทารกและเด็กเล็ก ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับภาวะไทรอยด์เป็นพิษที่เริ่มในวัยเด็กนั้น แตกต่างกันไปตามช่วงอายุ อาการของ ภาวะไทรอยด์เป็นพิษในเด็ก มีดังนี้ ส่วนสูงน้อยกว่าความสูงเฉลี่ย ขนาดตัวสั้นกว่าปกติ ฟันแท้ขึ้นช้ากว่าปกติ เข้าสู่ช่วงวัยเจริญพันธุ์ช้ากว่า พัฒนาการทางอารมณ์ช้า อัตราการเต้นของหัวใจช้ากว่าปกติ ผมขาดง่าย หน้าบวม อาการที่พบได้บ่อยในผู้ใหญ่ที่มีภาวะไทรอยด์ มีดังนี้ เหนื่อย ท้องผูก ผิวแห้ง วัยรุ่น ภาวะไทรอยด์เป็นพิษในเด็กวัยรุ่น มักเกิดในเด็กผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย และมักเกี่ยวข้องกับปัญหาระบบภูมิคุ้มกัน ได้แก่ โรคต่อมไทรอยด์อักเสบฮาชิโมโต (Hashimoto’s Thyroiditis) วัยรุ่นที่มีประวัติครอบครัวที่เป็นโรคเกี่ยวกับภูมิคุ้มกัน เช่น โรคต่อมไทรอยด์อักเสบฮาชิโมโต โรคเกรฟ หรือเบาหวานชนิดที่ 1 […]


โรคเด็กและอาการทั่วไป

ภาวะผิวลายในทารก สาเหตุ อาการ และการรักษา

ภาวะผิวลายในทารก (Cuties Marmorata) คืออาการทางผิวหนังชนิดหนึ่งที่ทำให้ผิวของทารกมีลายและมีสีแดงอมม่วงคล้ายตาข่าย เมื่อสัมผัสอากาศเย็นหรืออาบน้ำ มักไม่ก่อให้เกิดอันตรายใด ๆ และอาจหายไปได้เองเมื่อเจออากาศอุ่น อย่างไรก็ตาม หากมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ผื่นแดง ระคายเคือง ควรพาไปพบคุณหมอเพื่อทำการตรวจหาสาเหตุที่แท้จริงและทำการรักษาอย่างรวดเร็ว [embed-health-tool-vaccination-tool] ภาวะผิวลายในทารก คืออะไร ภาวะผิวลาย ในทารกแรกเกิด คือภาวะที่ผิวหนังของเด็กทารกมีลักษณะลายคล้ายร่างแหตาข่าย สีแดงอมม่วง เกิดขึ้นประมาณร้อยละ 50  สามารถพบได้ในเด็กทารกแรกเกิด เมื่อสัมผัสอากาศเย็นหรือตอนอาบน้ำ ส่วนมากพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง อย่างไรก็ตาม มีผลการศึกษาของชาวบราซิลในปี 2011 รายงานว่าในบรรดาทารกแรกเกิดจำนวน 203 คน พบทารกที่เกิดภาวะผิวลายต่ำมาก เพียงร้อยละ 5.91  ของทารกที่มีผิวสีอ่อน ภาวะผิวลายนี้สามารถเกิดในผู้ใหญ่ได้เหมือนกัน โดยเฉพาะในนักดำน้ำ หากดำน้ำซ้ำกันนาน ๆ หลายรอบ อาจเกิดภาวะผิวลายจากโรคจากการลดความกดอากาศ (Decompression Sickness) ได้ โรคจากการลดความกดอากาศหรือโรคลดความกด เป็นโรคที่เกิดจากฟองก๊าซก่อตัวขึ้นในระบบหลอดเลือดหรือในเนื้อเยื่อ มักเกิดจากการดำน้ำและลอยตัวขึ้นเร็ว ก๊าซไนโตรเจนอยู่ในภาวะเกินความอิ่มตัว เมื่อความดันอากาศลดลง กลายสภาพเป็นฟองอากาศ ซึ่งสามารถเกิดได้กับทุกส่วนของร่างกายทั้งส่วนที่เป็นของแข็งหรือของเหลว เช่น เกิดฟองอากาศที่กล้ามเนื้อข้อต่อจะมีอาการปวด ถ้าเข้าสู่กระแสเลือดไปอุดเส้นเลือดที่ไขสันหลังหรือสมอง จะทำให้สลบหรือเป็นอัมพาต สาเหตุของภาวะผิวลายในทารก เนื่องจากระบบประสาทและเส้นเลือดในทารกแรกคลอด ยังไม่มีการพัฒนาอย่างสมบูรณ์ เมื่อสัมผัสความเย็น […]


โรคผิวหนังในเด็ก

ุ6 ปัญหาผิวลูก ที่พบบ่อย มีอะไรบ้าง

ปัญหาผิวลูก ที่พบบ่อย 6 ประการ ได้แก่ ผื่นมิเลีย (Milia) ผดร้อน ภาวะต่อมไขมันอักเสบ สิว ผื่นแดงอีริทีมาท็อกซิกัม (Erythema Toxicum Neonatorum: ETN) ปาน ซึ่งอาจมีลักษณะและวิธีการรักษาที่แตกต่างกันออกไป การทำความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาผิวลูก อาจช่วยให้สามารถรับมือกับปัญหาผิวได้อย่างเหมาะสม และอาจช่วยป้องกันการเกิดภาวะที่อันตรายได้ 6 ปัญหาผิวลูก ที่คุณแม่ควรรู้ 1. ผื่นมิเลีย ผื่นชนิดนี้เป็นตุ่มเล็ก ๆ สีขาวหรือสีเหลืองที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเด็กทารกนั้น แท้จริงแล้วคือก้อนซีสต์ที่เต็มไปด้วยเคราติน (Keratin) และซีบัมหรือไขมัน ผื่นชนิดนี้ยังอาจเกิดขึ้นที่บริเวณเหงือกได้ อาการนี้อาจจะหายไปภายในไม่กี่วันหรือสัปดาห์ โดยไม่จำเป็นต้องรักษา ในขณะเดียวกัน การใช้น้ำมันหรือครีมทาอาจทำให้อาการนี้แย่ลงได้ 2. ผดร้อน เป็นลักษณะของตุ่มพุพองที่เต็มไปด้วยน้ำหนอง หรือตุ่มแดง ๆ ที่ปรากฏขึ้นที่หลัง หน้าอก หรือใต้วงแขนของเด็กทารก ผดร้อนเกิดจากการอุดตันของท่อเหงื่อที่ผิวหนัง จะพบมากในสภาพอากาศที่ร้อนและชื้น หรือการสวมเสื้อผ้าให้ทารกมากเกินไป 3. ภาวะต่อมไขมันอักเสบในเด็กทารก ภาวะต่อมไขมันอักเสบในเด็กทารก คือ สภาวะของผิวหนังที่ไขผิวหนังส่วนเกิน ยึดติดเซลล์ผิวหนังเข้าด้วยกัน ทำให้ไม่สามารถผลัดออกไปได้ตามปกติ ทำให้เกิดเป็นแผ่นสีเหลืองมันเยิ้ม ที่บริเวณหนังศีรษะของเด็กทารก 4. สิวในทารกแรกเกิด ประมาณ 30% ของทารกแรกเกิด จะมีสิวขึ้นภายใน 4 เดือนแรก […]


เลี้ยงลูกด้วยนมแม่

หัวนมแตก จากการให้นมลูก คุณแม่ควรรับมืออย่างไรไม่ให้เจ็บปวด

หัวนมแตก หรือเจ็บหัวนม ระหว่างการให้นมเป็นอาการที่อาจเกิดขึ้นได้แต่มักจะหายไปภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง หรืออาจแก้ไขด้วยการจัดท่าทางการให้นมที่เหมาะสม แต่หากหัวนมแตก หรือเจ็บหัวนมมากผิดปกติ จำเป็นที่จะต้องปรึกษาคุณหมอ เพราะหากปล่อยไว้อาจก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพอย่างอื่นตามมา สาเหตุที่ทำให้ หัวนมแตก ในช่วงสัปดาห์แรกของการให้นมแม่นั้น ท่าทางการอมคาบหัวนมของเด็กทารก หรือการวางท่าทางการให้นมที่ไม่เหมาะสม มักเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้หัวนมแตก ในกรณีที่หัวนมแตกหรือเจ็บหัวนมไม่มากนัก ผู้เป็นแม่อาจลองจัดท่าทางในการให้นมใหม่ แต่หากลองเปลี่ยนท่าให้นมใหม่แล้ว อาการหัวนมแตก หรือเจ็บหัวนมยังไม่ดีขึ้นภายใน 48 ชั่วโมง ควรปรึกษาคุณหมอ เพื่อขอคำแนะนำวิธีการให้นมที่ถูกต้อง และหาสาเหตุของอาการที่เกิดขึ้น ผู้หญิงที่พ้นช่วงให้นมบุตรแล้ว แต่ยังมีอาการหัวนมแตก ควรเข้ารับการรักษาโดยเร็ว การรักษา อาการหัวนมแตก   หัวนมแตกอาจมีวิธีบรรเทาอาการในเบื้องต้นด้วยตนเอง ดังนี้ ระหว่างการให้นม ปรับเปลี่ยนท่าทาง ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ผู้เป็นแม่ อุ้มทารกเข้าเต้าข้างใดข้างหนึ่งโดยให้ปากของลูกอยู่ระดับเดียวกับหัวนม เหงือกล่างของทารกควรห่างจากฐานของหัวนมขณะที่เด็กอ้าปาก และเมื่อเด็กอ้าปากแล้ว ควรกอดกระชับให้แน่นเข้าอก เพื่อช่วยบังคับให้หัวนมอยู่ในปากของทารกอีกทางหนึ่ง หาท่าทางการให้นมในรูปแบบอื่น ๆ ลองเปลี่ยนท่าการให้นม เพื่อหาท่าที่คุณแม่และลูกรู้สึกสบายที่สุด หากอยู่ในท่าทางที่ดีแล้ว ลูกจะอมคาบหัวนมได้ง่าย และไม่ทำให้เจ็บหัวนม  หากเจ็บหัวนมข้างใดข้างหนึ่ง ให้เปลี่ยนไปให้นมอีกข้างที่เจ็บน้อยกว่า ทารกส่วนใหญ่จะดูดนมเต้าแรกแรงกว่า ในขณะที่เมื่อเปลี่ยนเต้าจะผ่อนอาการดูดเบาลง เนื่องจากรู้สึกหิวน้อยลง บรรเทาอาการเจ็บก่อนการให้นม หากเจ็บหัวนมมาก ควรประคบเย็น เพื่อทำให้รู้สึกชา เพราะการอมคาบนมครั้งแรก มักจะทำให้เจ็บที่สุด หลังการให้นม  รับประทานยา ในกรณีที่มีอาการหัวนมแตก และอาการเจ็บหัวนมไม่หายไป ควรรับประทานทานยารักษาอาการ […]

ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา

กำลังมองหาเรื่องราวในการเลี้ยงดูบุตรใช่หรือไม่?

เข้าร่วมชุมชนการเลี้ยงดูบุตรและแลกเปลี่ยนข้อมูลกับคุณแม่และคุณพ่อคนอื่น ๆ เข้าร่วมชุมชนได้เลย!





ad iconโฆษณา

ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของเรา

ทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของ Hello คุณหมอ ประกอบไปด้วยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มาร่วมสร้างสรรค์บทความในเว็บไซต์ของเราตามความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญของเราจะช่วยรับรองว่าข้อมูลด้านสุขภาพของเราถูกต้อง เป็นปัจจุบัน และตรงตามหลักฐานจากงานวิจัยล่าสุด
ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรามุ่งมั่นเต็มที่ในการช่วยให้คุณได้รับข้อมูลและความรู้ด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือ เข้าใจง่าย และเป็นประโยชน์ และพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพกับคุณเสมอ เพื่อให้คุณได้รับทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น

ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ชุมชน