สุขภาพผิว

ผิวหนัง คืออวัยวะภายนอกที่มีขนาดใหญ่มากที่สุดในร่างกาย ผิวหนังนั้นมีหน้าที่สำคัญต่อร่างกาย ทั้งเป็นเกราะป้องกันจากสิ่งสกปรกต่าง ๆ หรือช่วยควบคุมอุณภูมิของร่างกายให้เป็นปกติ เป็นต้น เรียนรู้เกี่ยวกับการมี สุขภาพผิว ที่ดี และเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับโรคผิวหนังที่พบได้บ่อย เพื่อการปกป้องดูแลผิวของคุณให้ดียิ่งขึ้น ได้ที่นี่

สนับสนุนโดย:

เรื่องเด่นประจำหมวด

สุขภาพผิว

ล้างหน้าด้วยน้ำเปล่า ดีต่อผิวหน้าจริงหรือไม่?

หลายคนเชื่อว่าการ ล้างหน้าด้วยน้ำเปล่า เป็นวิธีที่เหมาะสมสำหรับผิวหน้าที่สุด เพราะน้ำเปล่าเป็นสารธรรมชาติ ปราศจากสารเคมีเจือปน มีความอ่อนโยน เหมาะกับผิวบอบบางแพ้ง่าย และผิวผู้ที่เป็นสิว หลายคนจึงเชื่อว่าการล้างหน้าด้วยน้ำเปล่าเพียงอย่างเดียวเหมาะสมที่สุดสำหรับผิวหน้า แต่ความเชื่อนี้จะจริงหรือเท็จประการใด บทความนี้ Hello คุณหมอ มีคำตอบให้คุณค่ะ ล้างหน้าด้วยน้ำเปล่า ดีต่อผิวหน้าจริงหรือไม่? การล้างหน้าด้วยน้ำเปล่า อาจไม่ได้เหมาะสมสำหรับผิวหน้าเสมอไป เพราะตลอดทั้งวันเราเจอทั้งมลภาวะต่าง ๆ และฝุ่นละออง ยิ่งคุณผู้หญิงที่แต่งหน้าด้วยล่ะก็ การใช้น้ำเปล่าทำความสะอาดผิวหน้าเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถดูดสิ่งสกปรกหรือเครื่องสำอางค์บนผิวหน้าออกได้อย่างสะอาดหมดจรด และอาจเสี่ยงต่อการเกิดการอุดตันบริเวณรูขุมขนอีกด้วย ดังนั้นอาจต้องใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าควบคู่ด้วย แต่ควรเลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าที่มีมาตรฐาน ปลอดภัยต่อผิวหน้า และเหมาะสมกับลักษณะของผิวหน้าคุณ อย่างไรก็ตาม ผิวหน้าของแต่ละคนมีปัญหาแตกต่างกัน การทำความสะอาดผิวหน้าด้วยน้ำเปล่าเพียงอย่างเดียวอาจเหมาะสำหรับบางคน ทั้งนี้ทั้งนั้นให้คุณลองสังเกตใบหน้าของตนเองว่าหากทำความสะอาดผิวหน้าด้วยน้ำเปล่าเพียงอย่างเดียว เหมาะกับผิวหน้าของคุณหรือไม่ หากไม่เหมาะสมให้ปรับเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าเพื่อความสมดุลของผิว 5 คุณประโยชน์จากการล้างหน้าด้วยน้ำเปล่า น้ำเปล่า มีประโยชน์ที่ดีต่อผิวหน้ามากกว่าที่คุณคิด โดย 5 คุณประโยชน์จากการล้างหน้าด้วยน้ำเปล่า มีดังต่อไปนี้ สะดวกและง่ายต่อการทำความสะอาดผิวหน้า  ลดการเสียดสีกับผิวหน้า ช่วยลดการระคายเคืองกับบริเวณผิวหนัง ปลอดภัยต่อผิวหน้า เพราะมีน้ำมีความอ่อนโยนปราศจากสารเคมี เกิดการระคายเคืองน้อยกว่าเมื่อเทียบกับใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้า  ลดความเสี่ยงในการลอกคราบน้ำมันตามธรรมชาติของผิว ช่วยปกป้องเกราะป้องกันผิว ไม่ต้องใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้า ลดต้นทุนและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ขั้นตอนง่าย ๆ ในการล้างหน้าด้วยน้ำเปล่าเพียงอย่างเดียว ในตอนเช้าให้ล้างหน้าด้วยน้ำเปล่าสะอาด และซับหน้าด้วยผ้าไมโครไฟเบอร์ซับเบา ๆ ให้แห้งที่ผิวหน้า จะช่วยลดการเสียดสีและลดการระคายเคืองต่อผิวหนัง  ในช่วงตอนกลางคืน […]

หมวดหมู่ สุขภาพผิว เพิ่มเติม

สำรวจ สุขภาพผิว

การดูแลและทำความสะอาดผิว

ขี้ไคล เกิดจากอะไร ควรดูแลอย่างไรให้ผิวสะอาด

ขี้ไคล เป็นเซลล์ผิวหนังชั้นนอกสุดที่ตายแล้วและหลุดลอกออกตามวงจรการผลัดเซลล์ผิวตามธรรมชาติของร่างกาย แต่ในบางครั้งขี้ไคลอาจหลุดออกช้าจนเป็นแหล่งหมักหมมของสิ่งสกปรกและอาจก่อให้เกิดกลิ่นตัวได้ จึงอาจต้องเร่งกระบวนการขจัดขี้ไคลด้วยการขัดผิว เพื่อให้ผิวกระจ่างใสและช่วยให้ผิวสะอาดมากขึ้น [embed-health-tool-bmr] ขี้ไคล เกิดจากอะไร ขี้ไคล คือ เซลล์ผิวหนังชั้นนอกหรือชั้นหนังกำพร้าที่ลอกหลุดออกตามกาลเวลาเมื่อเซลล์ผิวหนังตายแล้ว โดยผิวหนังชั้นนอกมีหน้าที่เป็นเกราะป้องกันผิวหนังจากการทำร้ายของสภาพแวดล้อม เช่น แสงแดด มลภาวะ เชื้อโรคต่าง ๆ และยังช่วยรักษาอุณภูมิในร่างกาย รักษาความชุ่มชื้น ป้องกันไม่ให้น้ำในร่างกายออกมาด้านนอกของผิวหนัง วงจรการผลัดเซลล์ผิวหนังให้กลายเป็นขี้ไคลจะเกิดขึ้นเป็นลำดับขั้นอย่างต่อเนื่อง โดยผิวเก่าชั้นบนสุดจะหลุดลอกออกและถูกแทนที่ด้วยเซลล์ผิวใหม่ ในคนวัยหนุ่มสาว วงจรการผลัดเซลล์ผิวนี้จะใช้เวลาประมาณ 28 วัน  แต่เมื่ออายุมากขึ้นกระบวนการผลัดเซลล์ผิวจะช้าลง อาจใช้เวลาประมาณ 45 วัน จึงจะผลัดเซลล์ผิวเสร็จสมบูรณ์ วิธีขจัดขี้ไคลให้เหมาะกับสภาพผิว ขี้ไคล นอกจากจะหลุดออกตามกระบวนการตามธรรมชาติของร่างกายแล้ว ยังมีอีกหลายปัจจัยที่สามารถช่วยกระตุ้นให้ขี้ไคลหลุดออกได้ง่ายขึ้น ซึ่งการขจัดขี้ไคลส่งผลดีต่อสุขภาพผิว อาจช่วยให้ผิวแลดูกระจ่างใสและอาจช่วยขจัดสิ่งสกปรกที่ตกค้างบนผิวหนังได้ อย่างไรก็ตาม อาจต้องเลือกวิธีการขจัดขี้ไคลให้เหมาะสมกับสภาพผิวของแต่ละคน ดังนี้ ผิวแห้งและผิวแพ้ง่าย ผิวแห้งและผิวแพ้ง่ายเป็นสภาพผิวที่บอบบาง จึงควรขัดผิวอย่างระมัดระวัง เพราะอาจทำให้ผิวระคายเคือง แห้ง แดงและอักเสบได้ง่าย ดังนั้น ควรขัดขี้ไคลด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีกรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) และกรดไกลโคลิก (Glycolic Acid) ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยกระตุ้นกระบวนการผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว หลังจากขัดผิวแล้วควรทาครีมกันแดดที่มี SPF 50 เพื่อปกป้องผิวจากการทำร้ายของแสงแดด และทามอยส์เจอไรเซอร์เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว เนื่องจากกรดไกลโคลิกอาจทำให้ผิวบางลงและไวต่อแสงแดดมากขึ้น ผิวมัน ผิวมันเป็นสภาพผิวที่มีการขับน้ำมันออกมามากกว่าปกติ ซึ่งอาจทำให้มีสิ่งตกค้าง เช่น สิ่งสกปรก […]


สุขภาพผิว

เห็บลม คืออะไร ป้องกันเห็บลมกัดได้อย่างไร

เห็บลม หรือแมงแดง เป็นเห็บขนาดเล็กที่มีขนาดตัวเท่าปลายเข็มและอาจปลิวไปตามลมได้ เห็บชนิดนี้ปรสิตที่อาศัยอยู่ตามพื้นที่ป่า เช่น เขตอุทยานแห่งชาติ ผู้ที่นิยมท่องเที่ยวในป่าจึงอาจถูกเห็บลมกัดได้บ่อยครั้ง เมื่อถูกเห็บลมกัดจะทำให้เกิดตุ่มแดงขึ้นเป็นหย่อม ๆ บนผิวหนัง ผู้ที่นิยมเดินป่าสามารถป้องกันเห็บลมกัดได้ด้วยการสวมเสื้อผ้าที่มิดชิดเมื่อเข้าป่า หากถูกเห็บลมกัดแล้วเกิดการติดเชื้อหรืออาการไม่ดีขึ้นภายใน 1-2 สัปดาห์ ควรไปพบคุณหมอโดยเร็ว [embed-health-tool-bmi] เห็บลม มีลักษณะอย่างไร เห็บลม (Chigger) เป็นปรสิตสีแดงขนาดเล็ก อยู่ในตระกูลเดียวกับแมงมุมและเห็บ (Tick) มีขนาดตัวเท่าปลายเข็มซึ่งเล็กกว่าเห็บทั่วไป เมื่อถูกเห็บลมกัดมักไม่ก่อให้เกิดอาการเจ็บจนอาจไม่ทันได้สังเกตว่าถูกกัด แต่มักจะมีอาการคันและระคายเคืองผิวหลังถูกกัดประมาณ 2-3 ชั่วโมง เห็บลมมักเกาะอยู่ตามหญ้าแห้งหรือขอนไม้ในป่าและตามลำธาร หากมีเหยื่อเดินผ่าน เห็บลมจะใช้กรงเล็บขนาดเล็กยึดเกาะผิวหนังของเหยื่อ จากนั้นจึงเจาะผิวหนังและพ่นน้ำลายที่มีน้ำย่อยเพื่อละลายเซลล์ผิว และกัดกินเซลล์ผิวหนังซึ่งให้โปรตีนที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตต่อไป เห็บลมจะเกาะบนผิวหนังของเหยื่อเป็นเวลาหลายวัน ก่อนจะหลุดออกจากผิวของผู้ที่ถูกกัด และทิ้งรอยแดงเอาไว้ เห็บลมกัด มีอาการอย่างไร รอยกัดของเห็บลมมักพบที่บริเวณเอว ข้อเท้า และตามข้อพับที่มีอุณหภูมิอุ่นและชื้น เมื่อเห็บลมกัดจะทิ้งตุ่มแดงที่คล้ายกับสิว แผลพุพอง และผื่นเล็ก ๆ เอาไว้ หลังถูกกัด 2-3 ชั่วโมงผู้ที่ถูกกัดจะเริ่มรู้สึกคันและระคายเคืองผิว และเมื่อเวลาผ่านไปหลายวันแผลบริเวณรอยกัดอาจขยายใหญ่และขึ้นรวมเป็นกลุ่ม ๆ และมีอาการคันรุนแรงขึ้น โดยทั่วไปรอยแดงจะหายไปภายใน 1-2 สัปดาห์ หากเห็บลมกัดที่องคชาตของผู้ชายอาจทำให้เกิดอาการบวม คัน และเจ็บบริเวณปัสสาวะได้ วิธีบรรเทาอาการเมื่อโดน เห็บลม กัด วิธีบรรเทาอาการเมื่อโดนเห็บลมกัด อาจทำได้ดังนี้ […]


สุขภาพผิว

โรคหัด สาเหตุ อาการ วิธีรักษาและวิธีป้องกัน

โรคหัด เป็นโรคติดเชื้อไวรัสในระบบทางเดินหายใจชนิดหนึ่งที่ทำให้มีอาการไข้ออกผื่น สามารถติดต่อได้ง่ายผ่านการไอจาม พบได้ในคนทุกช่วงวัย แต่จะพบมากในเด็กเล็ก โรคหัดในระยะเริ่มต้นจะทำให้มีไข้สูง อ่อนเพลีย ไอ ตาแดง น้ำตาไหล ตาแพ้แสง หลังจากนั้นจะเริ่มมีผื่นแดงขึ้นบริเวณศีรษะ ลำคอ แล้วลามไปทั่วร่างกาย โดยจะมีผื่นอยู่ประมาณ 1 สัปดาห์ ทั้งนี้ โรคหัดยังไม่มียารักษาเฉพาะ จึงจำเป็นต้องรักษาตามอาการจนกว่าอาการจะทุเลาและเชื้อหมดไปในที่สุด อย่างไรก็ตาม การฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัดอาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคได้ โรคหัด คืออะไร โรคหัดเป็นโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจที่ทำให้มีอาการไข้ออกผื่น ติดต่อได้ผ่านการหายใจรับเชื้อเข้าไป โดยเชื้ออาจแพร่กระจายอยู่ในอากาศจากการที่ผู้ติดเชื้อไอหรือจาม หากผู้ที่ไม่มีภูมิคุ้มกันหรือไม่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัดสัมผัสเชื้อจะมีโอกาสติดเชื้อสูงถึงร้อยละ 90 โดยทั่วไป ระยะการติดเชื้อจะอยู่ที่ประมาณ 14-21 วัน (2-3 สัปดาห์) ในช่วง 10-14 วันแรกหลังได้รับเชื้อจะเป็นระยะฟักตัวที่เชื้อยังไม่แสดงอาการ เมื่อหมดระยะฟักตัว ผู้ป่วยจะเริ่มมีไข้สูงประมาณ 4-7 วัน และเริ่มเกิดผื่นแดงตามมา ผู้ที่มีความเสี่ยงในการเกิดโรคหัด ได้แก่ ผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีนป้องกันโรคหัด ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องเนื่องจากภาวะสุขภาพหรือจากการรักษาโรค ผู้ที่ขาดวิตามินเอ ผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้รับวัคซีนป้องกันโรคหัด สาเหตุของโรคหัด โรคหัดเกิดจากการติดเชื้อไวรัสในกลุ่มมอร์บิลลิไวรัส (Morbillivirus) ที่เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วจะอาศัยอยู่ในเมือกบริเวณจมูกและลำคอ เชื้อไวรัสกลุ่มนี้สามารถอยู่ในอากาศได้นานถึง 2 ชั่วโมง และติดต่อไปยังบุคคลอื่นได้ง่ายมาก ผู้ป่วยโรคหัดสามารถแพร่เชื้อไปยังบุคคลอื่นได้ก่อนผื่นจะขึ้นเป็นเวลา 4 วัน […]


การดูแลเล็บ

เล็บขบเกิดจากอะไร และรักษาได้อย่างไรบ้าง

เล็บขบ เป็นภาวะที่เล็บมือหรือเล็บเท้างอกไปเบียดเนื้อข้างเล็บ มักเกิดที่เล็บเท้าบ่อยกว่าเล็บมือ โดยเฉพาะนิ้วหัวแม่เท้า หลายคนอาจมีข้อสงสัยว่า เล็บขบเกิดจากอะไร เล็บขบอาจเกิดจากเล็บได้รับบาดเจ็บเนื่องจากนิ้วไปกระแทกขอบโต๊ะ มีของหล่นใส่นิ้ว สวมถุงเท้าหรือรองเท้าที่บีบรัดนิ้วเท้ามากเกินไป ตัดเล็บผิดวิธี เป็นต้น อุบัติเหตุหรือพฤติกรรมเหล่านี้อาจทำให้เนื้อเยื่อรอบเล็บ โดยเฉพาะที่มุมเล็บอักเสบ บวมแดง เกิดเป็นแผล และอาจเป็นหนองหรือติดเชื้อ หากเล็บที่ขบติดเชื้อรุนแรงอาจทำให้เชื้อลุกลามไปที่กระดูก เป็นแผลที่เท้า เกิดเนื้อตาย หรือต้องตัดนิ้วทิ้งได้ จึงควรหมั่นดูแลสุขอนามัยของเล็บมือและเล็บเท้าอยู่เสมอ ตัดเล็บอย่างถูกวิธี และระวังอุบัติเหตุที่อาจส่งผลกระทบต่อเล็บหรือนิ้ว เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเล็บขบ และปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ที่อาจตามมา [embed-health-tool-bmi] เล็บขบเกิดจากอะไร สาเหตุที่ทำให้เล็บขบอาจมีดังต่อไปนี้ ตัดเล็บมือหรือเล็บเท้าสั้นเกินไป ตัดเล็บเท้าเป็นแนวโค้งแทนที่จะตัดเป็นแนวตรง จึงอาจทำให้เล็บงอกเข้าไปในผิวหนังได้ สวมถุงเท้าหรือรองเท้าที่คับแน่นเกินไป หรือสวมรองเท้าที่บีบรัดนิ้ว เช่น รองเท้าส้นสูง บริเวณนิ้วมือหรือนิ้วเท้าได้รับบาดเจ็บจนเกิดแรงกดทับที่เล็บ หรือเล็บได้รับแรงเสียดสีบ่อย ๆ จากอุบัติเหตุหรือกิจกรรม เช่น วิ่ง เตะต่อย นิ้วกระแทกขอบโต๊ะ ไม่ค่อยดูแลรักษาสุขอนามัยนิ้วมือและนิ้วเท้า ทำให้เล็บติดเชื้อรา นอกจากนี้ ปัจจัยบางประการก็อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะเล็บขบได้ เช่น คนในครอบครัวมีประวัติเป็นเล็บขบ มีภาวะสุขภาพอย่างโรคเบาหวานที่ทำให้เลือดไหลเวียนได้ไม่ดี อาการเมื่อเกิดเล็บขบ อาการเมื่อเกิดเล็บขบ อาจมีดังนี้ รู้สึกปวดบริเวณนิ้วที่เป็นเล็บขบ ผิวหนังรอบเล็บอักเสบ หากติดเชื้อ อาจทำให้เกิดอาการบวมแดง มีเลือดหรือหนองไหลออกมาจากผิวหนังบริเวณเล็บ วิธีรักษาเล็บขบ วิธีรักษาและบรรเทาอาการเมื่อเป็นเล็บขบ […]


การดูแลเส้นผมและหนังศีรษะ

คันหัว สาเหตุ การรักษาและการดูแลตัวเอง

คันหัว เป็นอาการคันที่เกิดขึ้นตามปกติโดยอาจไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่ก็อาจเกิดขึ้นได้จากสาเหตุต่าง ๆ เหล่านี้ เช่น การไม่รักษาความสะอาด รังแค รูขุมขนอักเสบ เกลื้อน เหา รวมถึงโรคผิวหนังต่าง ๆ หากเกามาก ๆ อาจทำให้หนังศีรษะเกิดรอยขีดข่วนและบาดแผลขนาดเล็กทั่วหนังศีรษะ และอาจทำให้เกิดการติดเชื้อตามมาได้ จึงควรได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมเพื่อบรรเทาและป้องกันอาการคันหัวที่เกิดขึ้น คันหัว เกิดจากอะไร คันหัว เป็นอาการที่อาจเกิดขึ้นตามปกติเมื่อมีความระคายเคืองบนหนังศีรษะ หรืออาจเกิดจากปัจจัยอื่น ๆ  ดังนี้ การไม่รักษาความสะอาด การไม่รักษาความสะอาดผิวหนังเป็นประจำอาจทำให้เชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย สิ่งสกปรกหรือสิ่งปนเปื้อนต่าง ๆ ตกค้างอยู่บนผิวหนัง โดยเฉพาะบริเวณหนังศีรษะที่มีความอับชื้นได้ง่าย ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการคันตามมา หรือในบางคนที่สระผมแล้วไม่เช็ดหรือเป่าผมให้แห้ง หรือล้างทำความสะอาดแชมพูไม่หมด อาจทำให้มีแชมพูสะสมจนทำให้หนังศีรษะเป็นสะเก็ดและคันหัวได้ รังแค รังแคเป็นสภาวะของผิวหนังที่เกิดขึ้นเมื่อเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วลอกตัวออกกลายเป็นสะเก็ดบนหนังศีรษะ ซึ่งอาจเกิดจากหนังศีรษะแห้ง การไม่รักษาความสะอาด เชื้อรา หรือต่อมไขมันอักเสบ จนทำให้หนังศีรษะมีรังแคเป็นสะเก็ดสีขาวและอาจมีอาการคันหัวได้ รุมขนอักเสบ รูขุมขนอักเสบอาจมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อรา จนทำให้รูขุมขนอักเสบและระคายเคือง ซึ่งอาการอาจแพร่กระจายไปยังรูขุมขนข้างเคียงได้ อาจทำให้มีตุ่มใสคล้ายสิว เจ็บปวด ผิวแดงและคันหัว เหา เหามีลักษณะเป็นแมลงขนาดเล็กที่อาศัยอยู่ตามเส้นขนหรือเส้นผมของมนุษย์ สามารถเจริญเติบโตและแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว ทำให้มีอาการระคายเคืองและคันหัว ซึ่งการเกาหัวอาจทำให้หนังศีรษะเกิดบาดแผลและติดเชื้อได้ โรคผิวหนัง โรคผิวหนังเป็นสภาวะความผิดปกติของผิวหนังที่อาจทำให้เกิดการอักเสบ ความระคายเคือง ผื่นแดง คันหัว แผลพุพอง ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ทั่วร่างกายโดยเฉพาะในบริเวณที่อับชื้นมาก เช่น หนังศีรษะ ข้อพับ เท้า โดยชนิดของโรคผิวหนังที่อาจทำให้เกิดอาการคันหัวอาจมีดังนี้ […]


การดูแลและทำความสะอาดผิว

ฉีดฟิลเลอร์ ประโยชน์และข้อควรระวัง

ฉีดฟิลเลอร์ เป็นการเสริมความงามประเภทหนึ่ง โดยคุณหมอจะฉีดสารบางชนิดเข้าสู่ใต้ชั้นผิวหนัง เพื่อช่วยเติมเต็มร่องลึก ริ้วรอย ช่วยเติมเต็มตามจุดต่าง ๆ เช่น ใต้ตา คาง ริมฝีปาก เพื่อให้ดูอวบอิ่มรับกับใบหน้า หรืออาจช่วยเติมให้ใบหน้าดูสมมาตรมากขึ้น ซึ่งอาจช่วยทำให้ใบหน้าแลดูอ่อนเยาว์ ฉีดฟิลเลอร์ คืออะไร ฉีดฟิลเลอร์ คือ การเสริมความงามที่มีการใช้สารบางชนิดฉีดเข้าไปใต้ผิวหนัง เช่น กรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) แคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทต์ (Calcium Hydroxyapatite) โพลีอัลคิลลิไมด์ (Polyalkylimide) กรดโพลิแลกติก (Polylactic Acid) โพลีเมทิลเมทาคริเลต ไมโครสเฟียร์ (Polymethyl Methacrylate Microspheres หรือ PMMA) เพื่อเติมเต็มร่องลึก ร่องริ้วรอยและฟื้นฟูใบหน้าให้ดูอิ่มเอิบมากขึ้น ประโยชน์ของการฉีดฟิลเลอร์ เมื่ออายุมากขึ้นไขมันใต้ผิวหนังจะเริ่มสูญเสียไปตามธรรมชาติ ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณใบหน้าทำงานใกล้กับผิวมากขึ้น ส่งผลให้เกิดร่องลึก รอยตีนกาหรือรอยเหี่ยวย่นที่มองเห็นได้ชัดเจนขึ้น การฉีดฟิลเลอร์จึงอาจมีประโยชน์มากกับผู้ที่ต้องการลดเลือนริ้วรอย เติมเต็มร่องลึกบนใบหน้าและต้องการฟื้นฟูใบหน้าให้ดูอิ่มฟูมากขึ้น ซึ่งอาจช่วยทำให้ใบหน้าแลดูอ่อนเยาว์สามารถใช้ฉีดผิวหนังบริเวณต่าง ๆ ได้ เช่น ริมฝีปาก เพื่อช่วยให้ริมฝีปากดูอวบอิ่มมากขึ้น ใต้ตา เพื่อช่วยให้ร่องใต้ตาที่ลึกดูตื้นขึ้น คาง เพื่อช่วยเสริมให้คางที่สั้นดูยาวขึ้น แผลเป็น เพื่อช่วยปรับปรุงลักษณะของแผลเป็นให้ดูตื้นขึ้น […]


สุขภาพผิว

ไข้ออกตุ่ม สาเหตุ อาการ วิธีรักษาและวิธีป้องกัน

ไข้ออกตุ่ม หรือไข้ออกผื่น เป็นอาการที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส ส่งผลให้มีอาการผิดปกติทางผิวหนัง กล่าวคือ ผู้ป่วยจะมีไข้พร้อมกับมีตุ่มหรือผดผื่นขึ้นตามร่างกาย อาจเกิดจากการสัมผัสเชื้อไวรัสโดยตรงหรือการสัมผัสกับผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสมาก่อนแล้ว ไข้ออกตุ่มอาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น หนาวสั่น อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามตัว โดยทั่วไปอาการจะไม่รุนแรงมาก และมักรักษาตามอาการจนกว่าเชื้อไวรัสจะหมด อย่างไรก็ตาม หากรักษาด้วยตัวเองในเบื้องต้นแล้วอาการไม่ดีขึ้นภายใน 1-2 สัปดาห์ ควรไปพบคุณหมอเพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม [embed-health-tool-heart-rate] ไข้ออกตุ่ม คืออะไร ไข้ออกตุ่ม (Viral Exanthem) เป็นอาการมีไข้หรือตัวร้อนพร้อมกับมีตุ่มหรือผดผื่นขึ้นที่ผิวหนังตามร่างกาย อาจเกิดได้จากการติดเชื้อไวรัสหลายชนิด ผดผื่นและตุ่มบนผิวหนังอาจเกิดจากการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันต่อไวรัส หรือเกิดจากเซลล์ผิวหนังถูกไวรัสทำลาย เมื่อเชื้อไวรัสลุกลามเข้าสู่ร่างกายอาจส่งผลให้เกิดแผลพุพอง อักเสบ หรือมีอาการคัน และมีอาการ เช่น มีไข้ เจ็บคอ ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ท้องเสีย ร่วมด้วย การติดเชื้อไวรัสส่วนใหญ่จะมีระยะเวลาในการติดเชื้อเพียงไม่กี่วันหรือไม่กี่สัปดาห์ สามารถหายได้เอง และมักไม่ส่งผลเสียในระยะยาว อย่างไรก็ตาม เชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของไข้ออกตุ่มบางชนิดสามารถติดต่อจากคนสู่คนได้ง่าย หากติดเชื้อไวรัสจึงควรดูแลสุขภาพให้ดี กักตัว ไม่ใช้ของร่วมกับผู้อื่น และรักษาจนกว่าอาการไข้ออกตุ่มจะหายไป ไข้ออกตุ่ม เกิดจากอะไร ตุ่มบนผิวหนังอาจเกิดจากสาเหตุต่อไปนี้ ปฏิกิริยาตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ไวรัสทำให้เซลล์ผิวหนังเสียหาย ร่างกายตอบสนองต่อสารพิษที่ไวรัสสร้างขึ้น โรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดอาการไข้ออกตุ่มได้ อาจมีดังต่อไปนี้ โรคอีสุกอีใส เกิดจากไวรัสวาริเซลลา ซอสเตอร์ (Varicella […]


การดูแลและทำความสะอาดผิว

ยาแก้คันผิวหนัง มีอะไรบ้าง

ยาแก้คันผิวหนัง เป็นยาที่ออกฤทธิ์เพื่อช่วยบรรเทาหรือรักษาอาการคัน โดยลดการอักเสบ ลดการระคายเคือง รักษาการติดเชื้อ ให้ความชุ่มชื้นกับผิวหนัง ลดปัญหาผิวแห้งแตก ซึ่งการใช้ยาแต่ละชนิดอาจขึ้นอยู่กับสาเหตุหลักของอาการคันผิวหนัง ความรุนแรงและการพิจารณาของคุณหมอ อาการคันผิวหนัง เกิดจากอะไร อาการคันผิวหนัง เป็นความรู้สึกไม่สบายผิวและระคายเคืองผิวจนทำให้ผู้ป่วยรู้สึกคันและอยากเกาผิวหนัง ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ เช่น ผิวแห้งแตก การอักเสบ การติดเชื้อ ปัญหาสุขภาพ อาการแพ้ โดยอาการคันผิวหนังอาจมีลักษณะผิวแดง หยาบกร้าน เป็นตุ่ม แผลพุพอง อย่างไรก็ตาม อาการคันผิวหนังที่เกิดขึ้นอาจขึ้นอยู่กับสาเหตุหลักด้วยเช่นกัน และการเกาบริเวณที่มีอาการคันซ้ำ ๆ อาจทำให้ผิวหนังเกิดการอักเสบ ผิวลอก เกิดบาดแผล หนาขึ้น มีเลือดออกหรืออาจติดเชื้อได้ ยาแก้คันผิวหนัง มีอะไรบ้าง การรักษาอาการคันผิวหนังด้วยยาแก้คันผิวหนังอาจขึ้นอยู่กับสาเหตุหลักในการเกิดอาการคัน ระดับความรุนแรง และอาจขึ้นอยู่การพิจารณาของคุณหมอ ดังนี้ ครีม โลชั่นหรือขี้ผึ้งคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroid) ไตรแอมซิโนโลน (Triamcinolone) เบตาเมทาโซน ไดโพรพิโอเนต (Betamethasone Dipropionate) เบตาเมทาโซน วาเลเรต (Betamethasone Valerate) โคลเบตาซอล โพรพิโอเนต (Clobetasol Propionate) เดสออกซิเมทาโซน (Desoximetasone) ไฮโดรคอร์ติโซน อะซิเตท […]


สุขภาพผิว

หน้าหย่อนคล้อย เกิดจากอะไร มีวิธีรักษาอย่างไรบ้าง

หน้าหย่อนคล้อย เป็นปัญหาผิวหน้าที่เกิดขึ้นได้กับทุกคนเมื่ออายุมากขึ้น เนื่องจากร่างกายผลิตคอลลาเจน (Collagen) ที่ทำหน้าที่ยึดเกาะเนื้อเยื่อต่าง ๆ และเสริมสร้างความแข็งแรงให้ผิว และอิลาสติน (Elastin) ที่ทำหน้าที่รักษาความยืดหยุ่นของผิวได้น้อยลง นอกจากนั้น สาเหตุของหน้าหย่อนคล้อยยังเกิดจากปัจจัยภายนอกอื่น ๆ เช่น รังสีอัลตราไวโอเลต การสูบบุหรี่ รวมถึงภาวะวัยทองในเพศหญิง ทั้งนี้ หน้าหย่อนคล้อยอาจดูแลและรักษาให้เต่งตึงและกระชับขึ้นได้ชั่วคราว ด้วยวิธีการทางการแพทย์ต่าง ๆ เช่น ร้อยไหม ฉีดโบท็อก ฉายแสงเลเซอร์ [embed-health-tool-bmi] หน้าหย่อนคล้อยเกิดจากอะไร หน้าหย่อนคล้อย รวมถึงรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า เป็นปัญหาผิวหนังที่พบได้ทั่วไปเมื่ออายุมากขึ้น หรือตั้งแต่อายุ 35-40 ปีขึ้นไป สาเหตุของผิวหนังหย่อยคล้อย คือร่างกายผลิตโปรตีนคอลลาเจนและอิลาสตินได้น้อยลง โดยโปรตีนทั้ง 2 ชนิด มีคุณสมบัติช่วยให้ผิวหน้าและผิวหนังตามส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย มีความเต่งตึงและยืดหยุ่น นอกจากนี้ เมื่ออายุมากขึ้น ระดับของกรดไฮยาลูโรนิค (Hyaluronic Acid) ในร่างกายก็ลดลงเช่นกันโดยกรดไฮยาลูโรนิคนั้นมีหน้าที่ช่วยคงความชุ่มชื้นและรักษาให้ผิวหนังอิ่มน้ำ เมื่อกรดไฮยาลูโรนิคลดลง ผิวหนังจึงแห้งขึ้นและเห็นริ้วรอยได้ชัดเจนยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องหรือเป็นสาเหตุให้ผิวหน้าหย่อนคล้อยและเกิดริ้วรอยอื่น ๆ ได้แก่ แสงแดด รังสีอัลตราไวโอเลตในแสงแดด มีส่วนทำลายสารต้านอนุมูลอิสระรวมถึงคอลลาเจนและอีลาสตินในผิวหนัง เมื่อผิวหน้าต้องเผชิญกับแสงแดดบ่อยครั้ง […]


การดูแลและทำความสะอาดผิว

เลเซอร์หน้าใส ประโยชน์ และผลข้างเคียง

เลเซอร์หน้าใส เป็นการแก้ปัญหาผิวหน้าอย่างสิว จุดด่างดำ แผลเป็น และริ้วรอยแห่งวัยต่าง ๆ ด้วยการฉายแสงเลเซอร์ลงบนใบหน้า เพื่อกำจัดสิว ผลัดเซลล์ผิว และกระตุ้นการสร้างผิวใหม่ให้ผิวหน้าเรียบเนียนยิ่งขึ้น ทั้งนี้ การทำเลเซอร์หน้าใสอาจมีผลข้างเคียง ได้แก่ ใบหน้าบวม สีผิวเข้มขึ้นหรือจางลงเฉพาะจุด หรือเกิดการติดเชื้อ แม้เลเซอร์หน้าใสจะเป็นที่นิยม แต่อาจไม่เหมาะกับทุกคน ผู้ที่ควรหลีกเลี่ยงการทำเลเซอร์หน้าใส ได้แก่ ผู้ที่มีผิวเข้ม หญิงตั้งครรภ์ หญิงในระยะให้นมบุตร และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ [embed-health-tool-bmi] เลเซอร์หน้าใส คืออะไร เลเซอร์หน้าใส เป็นการฉายเลเซอร์ลงบนใบหน้า เพื่อแก้ปัญหาผิวหน้า เช่น จุดด่างดำ รอยเหี่ยวย่น แผลเป็น สิว ทำให้ใบหน้าดูกระจ่างใสหรือลดเลือนริ้วรอยให้ใบหน้าแลดูอ่อนกว่าวัย ในกรณีของสิว การฉายแสงเลเซอร์จะช่วยลดการอักเสบหรือบวมแดงโดยทำให้สิวค่อย ๆ ยุบตัวลง นอกจากนี้ แสงเลเซอร์ยังมีคุณสมบัติกำจัดไขมันที่อุดตันในรูขุมขนรวมถึงฆ่าเชื้อแบคทีเรียพี แอคเน่  (P. Acne หรือ Propionibacterium Acne) ที่เป็นต้นเหตุของสิว อย่างไรก็ตาม การทำเลเซอร์หน้าใสอาจไม่เหมาะสำหรับทุกคน โดยผู้ที่ไม่ควรรักษาผิวหน้าด้วยเลเซอร์หน้าใส ได้แก่ ผู้ที่มีผิวสีเข้มมาก เนื่องจากมักพบการเปลี่ยนแปลงของสีผิวแบบถาวรหลังจากการฉายแสงเลเซอร์ โดยกรณีนี้ พบบ่อยกว่าผู้ที่มีผิวสีอ่อนกว่า ผู้ที่ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ผู้ที่เคยเป็นโรคเริม หรือมีแนวโน้มเป็นโรคเริมหลังจากการรักษา […]

ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา

ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของเรา

ทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของ Hello คุณหมอ ประกอบไปด้วยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มาร่วมสร้างสรรค์บทความในเว็บไซต์ของเราตามความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญของเราจะช่วยรับรองว่าข้อมูลด้านสุขภาพของเราถูกต้อง เป็นปัจจุบัน และตรงตามหลักฐานจากงานวิจัยล่าสุด
ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรามุ่งมั่นเต็มที่ในการช่วยให้คุณได้รับข้อมูลและความรู้ด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือ เข้าใจง่าย และเป็นประโยชน์ และพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพกับคุณเสมอ เพื่อให้คุณได้รับทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น

ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ชุมชน