พ่อแม่เลี้ยงลูก

ในทุกช่วงชีวิตของลูกน้อย เหล่าคุณพ่อคุณแม่จำเป็นที่จะต้องรู้วิธีดูแลและสนับสนุนสุขภาพโดยรวมของลูกน้อย เพื่อให้ความเป็นอยู่ของลูกน้อยดีขึ้น เพราะฉะนั้นใน พ่อแม่เลี้ยงลูก คุณจะได้พบกับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ รวมถึงเคล็ดลับในการดูแลลูกให้แข็งแรง มีความสุข และสามารถปรับตัวได้ในทุกสถานการณ์

เรื่องเด่นประจำหมวด

พ่อแม่เลี้ยงลูก

สาเหตุอะไรที่ทำให้ วัยรุ่นสูบบุหรี่ พิษร้ายทำลายสุขภาพในระยะยาว

วัยรุ่นสูบบุหรี่ เป็นเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่และผู้ปกครองไม่ควรละเลย เพราะบุหรี่เป็นสิ่งอันตรายที่สามารถส่งผลเสียระยะยาวต่อร่างกายของวัยรุ่นได้ ในปัจจุบัน มีวัยรุ่นจำนวนไม่น้อยที่สูบบุหรี่และมีแนวโน้มว่าจำนวนของวัยรุ่นที่สูบบุหรี่จะเพิ่มสูงขึ้นด้วย สาเหตุหนึ่งเพราะเรื่องนี้ถูกมองว่าเป็นเรื่องปกติ หรือบางก็คนใช้เป็นเครื่องมือระบายความเครียด เพื่อจัดการกับปัญหาวัยรุ่นสูบหรี่ บทความนี้อาจช่วยให้คุณเข้าใจสาเหตุ และอันตรายของบุหรี่มากขึ้น เราไปหาคำตอบเรื่องนี้กันเลย สาเหตุที่ทำให้ วัยรุ่นสูบบุหรี่ สาเหตุที่ทำให้วัยรุ่นสูบบุหรี่มีด้วยกันหลายสาเหตุทั้งปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก มาดูกันว่ามีอะไรกันบ้าง สภาพแวดล้อมทางสังคมและทางกายภาพ การโฆษณาจากสื่อโทรทัศน์อาจทำให้วัยรุ่นหนุ่มสาวรู้สึกอยากลองสูบบุหรี่ แนวโน้มการสูบบุหรี่จะเพิ่มขึ้น หากพวกเขาเห็นเพื่อนในวัยเดียวกันสูบบุหรี่ หากคนในครอบครัวสูบบุหรี่ ก็มีแนวโน้มว่าบุตรหลานอาจรู้สึกอยากลองสูบบุหรี่ตามไปด้วย ปัจจัยทางชีวภาพและพันธุกรรม วัยรุ่นบางคนอาจมีความรู้สึกไวต่อสารนิโคติน จึงทำให้รู้สึกอยากนิโคตินได้เร็วกว่าผู้ใหญ่ ปัจจัยทางพันธุกรรมบางอย่างอาจทำให้การเลิกบุหรี่ในวัยรุ่นยากขึ้น คุณแม่ตั้งครรภ์สูบบุหรี่อาจส่งผลต่อลูก และอาจส่งผลให้เด็กสูบบุหรี่เป็นประจำในอนาคต สุขภาพจิต ปัญหาสุขภาพจิตในวัยรุ่น เช่น ภาวะซึมเศร้า ความวิตกกังวล และความเครียด อาจทำให้วัยรุ่นต้องการสูบบุหรี่ ความรู้สึกส่วนตัว วัยรุ่นบางคนเริ่มสูบบุหรี่เพราะต้องการระบายความเครียดที่เกิดขึ้นในขณะนั้น เนื่องจากพวกเขารู้สึกว่าบุหรี่เป็นเพียงทางออกเดียวในการกำจัดความเครียด อิทธิพลอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อวันรุ่น ความเครียดจากเศรษฐกิจตกต่ำ หรือรายได้ลดลง ไม่รู้ว่าจะเลิกบุหรี่อย่างไร ครอบครัวไม่สนับสนุนหรือมีส่วนร่วมในการเลิกบุหรี่ วัยรุ่นยังสามารถเข้าถึงการซื้อบุหรี่ได้ อาจมีพฤติกรรมเกเร ไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง มองว่าตัวเองต่ำต้อย เห็นจากโฆษณาผลิตภัณฑ์บุหรี่ในร้านค้า โทรทัศน์ อินเทอร์เน็ต ภาพยนตร์ นิตยสาร หรือหนังสือพิมพ์ วัยรุ่นสูบบุหรี่ ส่งผลเสียต่อสุขภาพ ในบุหรี่มีสารเคมีหลายชนิดที่เป็นสารพิษและส่งผลเสียต่อร่างกาย เช่น นิโคติน ไซยาไนด์ ผู้ที่เริ่มสูบบุหรี่ครั้งแรกมักมีอาการเจ็บหรือแสบร้อนในลำคอและปอด บางคนถึงกับอาเจียนได้ และเมื่อสูบบุหรี่เป็นระยะเวลานานอาจทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ตามมา […]

หมวดหมู่ พ่อแม่เลี้ยงลูก เพิ่มเติม

สำรวจ พ่อแม่เลี้ยงลูก

โภชนาการเด็กวัยเรียน

ลูกกินกาแฟ ส่งผลอย่างไรต่อสุขภาพ

กาแฟ คือ เครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในผู้ใหญ่วัยทำงาน เนื่องจากมีสารคาเฟอีนที่ช่วยทำให้ร่างกายตื่นตัว อย่างไรก็ตาม คาเฟอีนอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพของลูกได้ ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่จึงควรศึกษาผลกระทบต่อสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นหากให้ ลูกกินกาแฟ เพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพของลูกที่อาจเกิดขึ้นในภายหลัง [embed-health-tool-vaccination-tool] ลูกกินกาแฟ ส่งผลอย่างไรต่อสุขภาพ นอนไม่หลับ  เด็กที่มีอายุตั้งแต่ 5 ถึง 12 ปี จำเป็นต้องนอนหลับอย่างน้อย 11 ชั่วโมง ส่วนในช่วงวัยรุ่น ควรนอนหลับอย่างน้อย 10 ชั่วโมงต่อวัน แต่เด็กส่วนน้อยในปัจจุบันสามารถนอนหลับได้อย่างเพียงพอ เนื่องจาตารางเวลาที่แน่นไปด้วยกิจกรรมต่างๆ ที่ได้รับการจัดการโดยคุณพ่อคุณแม่  ทำให้เด็กส่วนใหญ่ในปัจจุบันเกิดภาวะนอนหลับไม่เพียงพอ และทำให้เกิดเด็กหันไปดื่มกาแฟเพื่อเพิ่มพลังงานจากการนอนไม่พอ ด้วยวงจรการนอนหลับที่ไม่เพียงพอและการต้องพึ่งพาการดื่มกาแฟนี่เอง ที่เป็นตัวการสำคัญในการทำลายนาฬิกาชีวิตและทำให้เด็กนอนหลับได้ยากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีหลักฐานที่ระบุด้วยว่าหากเด็กที่มีอาการวิตกกังวล ผลจากคาเฟอีนจะทำให้อาการรุนแรงขึ้นด้วย ปัสสาวะบ่อย กาแฟออกฤทธิ์คล้ายเป็นยาขับปัสสาวะ กระตุ้นการผลิตปัสสาวะ นอกจากนี้ ยังพบรายงานจากงานวิจัยบางแห่งที่ระบุถึงการสูญเสีย แคลเซียม จากร่างกายออกทางปัสสาวะหลังการดื่มกาแฟอีกด้วย โดยปริมาณคาเฟอีน 100 มิลลิกรัมที่ได้รับเข้าสู่ร่างกาย จะทำให้แคลเซียมถูกขับออก 6 มิลลิกรัม ซึ่งสำหรับเด็กนั้น แคลเซียมจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของกระดูก หากได้รับไม่เพียงพอก็อาจมีผลกระทบต่อความแข็งแรงของกระดูกได้ สมาธิสั้น กาแฟ ส่งผลให้เด็กตื่นตัวตลอดเวลา มากกว่าอาการตื่นตัวกาแฟยังทำให้เด็กมีสมาธิสั้น ในขณะที่ผู้ใหญ่ได้ประโยชน์จากสารกระตุ้นในกาแฟที่เพิ่มพลังงานและการตื่นตัว หรือที่เราเรียกกันว่า คาเฟอีน แต่สำหรับเด็นนั้นการได้รับ คาเฟอีน อาจมากเกินไปยาวนานหลายชั่วโมง […]


สุขภาพเด็ก

ตาขี้เกียจ โรคพบบ่อยในเด็ก กับสาเหตุและอาการที่ควรรู้

ตาขี้เกียจ (Amblyopia) เป็นโรคทางจักษุที่เกิดขึ้นเมื่อดวงตาลดการทำงานในการมองเห็นอย่างรุนแรง ในช่วงวัยทารกและวัยเด็ก แว่นตาหรือคอนเทคเลนส์อาจไม่สามารถแก้ไขอาการดังกล่าวได้ ในบางรายผู้ป่วยอาจได้รับผลกระทบทางสายตาเพียงข้างเดียว หรือการมองเห็นลดลงอาจเกิดขึ้นกับดวงตาทั้ง 2 ข้าง หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ทำการรักษา อาการตาขี้เกียจอาจก่อให้เกิดอาการตาบอดได้ [embed-health-tool-vaccination-tool] สัญญาณโรค ตาขี้เกียจ เป็นอย่างไร โรคตาขี้เกียจเป็นปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในทารกและเด็กวัยเจริญเติบโต ซึ่งกำลังมีพัฒนาการด้านการมองเห็น โดยอาการของโรคยากที่จะสังเกตเห็น เด็กที่มีอาการของโรคตาขี้เกียจอาจไม่รู้สึกว่ามีปัญหาการมองเห็น เพราะเคยชินกับการใช้งานสายตาในข้างที่ดีกว่า โดยไม่รู้สึกถึงว่าสายตาอีกข้างที่อ่อนแอกว่านั้นเป็นปัญหา คุณพ่อคุณแม่อาจสังเกตเห็นปัญหา หากพบว่าเด็กหรี่ตาหรือเอียงคอ เพื่อทำให้มองเห็นได้ชัดเจนขึ้นอยู่บ่อยครั้ง หรือในเด็กหลายคนอาจมีปัญหาในการมองเห็นภาพสามมิติ ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่อาจลองทำการทดสอบง่าย ๆ ด้วยการปิดตาข้างหนึ่งและเปิดตาข้างหนึ่งของเด็กทีละข้าง และลองถามเด็กว่า ดวงตาแต่ละข้างสามารถมองเห็นได้ชัดเจนดีหรือไม่ เพื่อดูว่าเด็กไม่มีปัญหาเมื่อปิดตาข้างใดข้างหนึ่ง หากพบว่าเด็กรู้สึกมองเห็นได้ไม่สะดวกด้วยตาข้างใดข้างหนึ่ง นั่นหมายความว่า ดวงตาข้างที่ไม่ได้ปิดตานั้นมีอาการของโรคตาขี้เกียจ อย่างไรก็ตาม นี่เป็นทดสอบอาการขั้นพื้นฐาน ไม่อาจทดแทนการตรวจสอบสายตาจากผู้เชี่ยวชาญได้ ในกรณีที่เด็กมีอาการ คุณพ่อคุณแม่ควรนัดหมายเพื่อเข้ารับการตรวจสายตาอย่างละเอียดจากผู้เชี่ยวชาญทันที สาเหตุของโรคตาขี้เกียจ โรคตาขี้เกียจอาจเกิดขึ้นเมื่อดวงตาข้างหนึ่งสามารถมองเห็นได้ชัดเจนกว่าดวงตาอีกข้างหนึ่ง ซึ่งสาเหตุอาจแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท ดังนี้  เกิดจากตาเหล่ (Strabismic Amblyopia) อาจพบได้บ่อยและเป็นสาเหตุหลักของโรคตาขี้เกียจ โดยดวงตาไม่สามารถทำงานสอดประสานกันได้ดี ทำให้มองเห็นภาพซ้อนและอาจทำให้สมองละเลยภาพจากดวงตาข้างมีปัญหา สายตาข้างใดข้างหนึ่งมีปัญหา (Refractive Amblyopia) บางครั้งดวงตาของผู้ที่มีอาการตาขี้เกียจนั้นก็ปกติดี แต่ในบางกรณี อาการตาขี้เกียจอาจเกิดจากการที่สายตามีความผิดปกติในดวงตาทั้ง 2 ข้าง สมองจะเลือกใช้ตาข้างที่มีความผิดปกติทางสายตาที่น้อยกว่า และละเลยภาพที่ไม่ชัดเจนจากสายตาอีกข้างหนึ่ง […]


การเติบโตและพัฒนาการ

5 เทคนิคสอนลูกให้เข้าใจและรับมือกับ ความผิดหวัง

เมื่อลูกเติบโตขึ้น พวกเขาต้องประสบกับ ความผิดหวัง ต่างๆ ในชีวิต ผู้เป็นพ่อแม่อาจรู้สึกทุกข์เมื่อเห็นลูกประสบกับความผิดหวัง อย่างไรก็ตาม การปล่อยให้ลูกรับมือกับความผิดหวังด้วยตนเองเป็นวิธีการที่ดี เพื่อให้เขาได้เรียนรู้วิธีการกลับมายืนหยัดอีกครั้ง หน้าที่ของคุณพ่อคุณแม่ก็เพียงแค่คอยดูแล และคอยประคับประคอง เมื่อพวกเขาต้องการคำแนะนำ หรือต้องการความช่วยเหลือในการแก้ปัญหา วิธีสอนลูกให้เข้าใจและยอมรับ ความผิดหวัง ต้องทำอย่างไร 1. สอนลูกถึงวิธีเลือกที่จะมีความสุข ในบางครั้ง สิ่งต่างๆ ก็ไม่ได้เป็นไปตามที่ลูกต้องการเสมอไป  ในฐานะพ่อแม่ ควรสอนให้ลูกรู้จักรับมือกับความผิดหวังที่เกิดขึ้น พ่อแม่ควรสอนลูกถึงทักษะใหม่ๆ เมื่อลูกไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ วิธีนี้ทำให้ลูกรู้จักรับผิดชอบกับความรู้สึกของตนเองและช่วยให้เขาเลือกที่จะมีความสุข ตัวอย่างเช่น เมื่อลูกไปงานวันเกิดของเพื่อนและเขาดูเศร้าเมื่อกลับมาถึงบ้าน คุณอาจถามลูกถึงงานเลี้ยงว่าลูกชอบส่วนใดมากที่สุด แทนการถามถึงสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกไม่ดี สิ่งนี้จะทำให้เขามองด้านดีของสิ่งต่างๆ แทน 2. แสดงความเห็นใจกับความผิดหวังของลูก เมื่อลูกรู้สึกเสียใจ สิ่งสำคัญคือคุณควรนั่งลงเพื่อพูดคุยกับลูก อาจเริ่มจากการแสดงความเห็นใจต่อลูก เพื่อให้ลูกทราบว่าคุณห่วงใยความรู้สึกของเขามาก คุณอาจยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความผิดหวังที่คล้ายคลึงกับสิ่งที่ลูกกำลังประสบอยู่ เพื่อให้เขารู้ว่าเขาไม่ได้เผชิญกับเหตุการณ์ตามลำพัง และมองว่าความผิดหวังเป็นเรื่องปกติของชีวิต นอกจากนี้ ควรสอนลูกถึงวิธีการตอบสนองต่อความผิดพลาด และสิ่งที่ควรเรียนรู้จากประสบการณ์ครั้งนั้นด้วย 3. สอนเทคนิคการควบคุมอารมณ์ด้วยตนเองแก่ลูก คุณอาจสอนลูกถึงวิธีการจัดการกับอารมณ์ด้วยตนเองดังต่อไปนี้ วิธีการเกี่ยวกับร่างกาย เช่น การหายใจเข้าลึก การวิ่ง การกระโดด สามารถช่วยให้เด็กปลดปล่อยพลังงานเมื่อเขารู้สึกผิดหวัง วิธีการเกี่ยวกับการรับฟังและคำพูด เช่น การฟังเพลง หรือพูดคุยกับใครสักคนจะช่วยให้เขาสงบลง และหวนกลับมาคิดอย่างถี่ถ้วน เมื่อพวกเขาต้องการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น วิธีการทางการมองเห็น เช่น การออกไปข้างนอก […]


เด็กทารก

ประโยชน์ของการฝึกให้ทารกว่ายน้ำ

การฝึกให้ทารกว่ายน้ำ อาจมีผลดีต่อพัฒนาการทางด้านความคิดความเข้าใจ การทรงตัว เสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง และอาจช่วยสร้างความมั่นใจให้ทารกได้ นอกจากนี้ ยังอาจสามารถช่วยลดความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุจากการจมน้ำได้ อย่างไรก็ตาม การฝึกสอนทารกว่ายน้ำควรทำอย่างถูกต้องและเหมาะสม ไม่ควรปล่อยให้เด็กฝึกเองตามลำพัง เนื่องจากอาจเป็นอันตรายได้ [embed-health-tool-bmr] ทารกว่ายน้ำมีประโยชน์อย่างไร ประโยชน์ที่ทารกอาจได้รับจากการว่ายน้ำ มีดังนี้ ช่วยพัฒนาความคิดความเข้าใจ (Cognitive functioning) การเคลื่อนไหวร่างกายซ้ายขวาพร้อมกันทั้งสองซีกทำให้สมองของทารกเจริญเติบโตขึ้น ทั้งยังช่วยสร้างเซลล์ประสาทสั่งการในสมองทุกส่วน โดยเฉพาะส่วนคอร์ปัส แคลโลซัม (Corpus Callosum) ที่ทำหน้าที่กระตุ้นการสื่อสาร การตอบสนอง และการสับเปลี่ยนหน้าที่ระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา จึงช่วยพัฒนาทักษะการอ่าน พัฒนาการด้านภาษา ทักษะการเรียน ทักษะด้านการรับรู้มิติสัมพันธ์ (spatial awareness) ช่วยเสริมสร้างความมั่นใจในตัวเอง โดยปกติแล้ว คลาสสอนว่ายน้ำสำหรับทารกส่วนใหญ่จะผสมผสานกิจกรรมร้อง เล่น และกิจกรรมที่ช่วยเสริมสร้างปฏิสัมพันธ์กับคุณพ่อคุณแม่หรือผู้ดูแล ทำให้ทารกได้เรียนรู้การอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่ม รวมไปถึงทักษะใหม่ๆ ที่อาจช่วยให้ทารกเริ่มเกิดความภาคภูมิใจในตัวเอง หรือเห็นคุณค่าในตัวเองได้ โดยงานวิจัยในปี 2010 ชิ้นหนึ่งพบว่า เด็กอายุ 4 ปีที่เคยเรียนว่ายน้ำ ตั้งแต่อายุ 2 เดือนถึง 4 ปี มีความมั่นใจในตัวเอง รู้จักพึ่งพาตนเอง และปรับตัวเข้ากับสถานการณ์หรือสภาพแวดล้อมใหม่ ได้ดีกว่าเด็กที่ไม่เคยเรียนว่ายน้ำ ทารกว่ายน้ำ ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรง การฝึกว่ายน้ำและลอยตัวในน้ำเป็นการออกกำลังกายที่ช่วยพัฒนาระบบกล้ามเนื้อสำคัญของทารก เนื่องจากทารกต้องควบคุมศีรษะไม่ให้จมน้ำ ต้องเคลื่อนไหวแขนขา และควบคุมกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวให้ประสานกับอวัยวะส่วนที่เหลือ ทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรงและพัฒนาการควบคุมกล้ามเนื้อได้ดีขึ้น […]


ปัญหาระบบย่อยอาหารในเด็ก

อาการกรดไหลย้อนในเด็ก และการรักษาที่คุณพ่อคุณแม่ควรรู้

อาการกรดไหลย้อนในเด็ก เกิดจากหูรูดของหลอดอาหารส่วนปลายทำงานผิดปกติ ทำให้น้ำย่อยภายในกระเพาะอาหารไหลย้อนกลับขึ้นมาทางหลอดอาหาร ส่งผลให้เด็กสะอึกหรืออาเจียนบ่อย ทั้งนี้ หากเกิดขึ้นในเด็กเล็ก อาการเหล่านี้มักหายไปได้เองหลังจากขวบปีแรก [embed-health-tool-bmi] สาเหตุ อาการกรดไหลย้อนในเด็ก สาเหตุ อาการกรดไหลย้อนในเด็ก เกิดจากระบบย่อยอาหารของเด็กเล็กยังทำงานได้ไม่เต็มที่ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องเป็นกังวลจนเกินไปนัก โดยปกติ อาการกรดไหลย้อนในเด็ก มักหายไปได้เองหลังจากขวบปีแรก สำหรับเด็กโต กรดไหลย้อนอาจเกิดขึ้นได้จากระบบกล้ามเนื้อปิดเปิดระหว่างกระเพาะและหลอดอาหารมีแรงดันมาจากด้านล่างของกล้ามเนื้อที่เปิดปิดบ่อยเกินไป ทำให้กรดในกระเพาะอาหารดันขึ้นมาในหลอดอาหาร ส่งผลให้ลูกอาเจียนหรือคลื่นไส้บ่อยครั้ง หากปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหารและการใช้ชีวิต อาจช่วยป้องกันอาการดังกล่าวได้  อาการกรดไหลย้อนในเด็ก  อาการกรดไหลย้อนในเด็ก อาจสังเกตได้จากลักษณะต่าง ๆ ดังนี้ สำลักอาหาร หายใจเสียงดังฮืด อาเจียนบ่อย ไอเรื้อรัง เรอ มีกลิ่นปาก เบื่ออาหารหรือมีปัญหาการรับประทาน ร้องไห้ระหว่างมื้ออาหารหรือหลังรับประทานอาหาร แสบร้อนบริเวณทรวงอก มีแก๊ส รู้สึกแน่นในท้อง หรือปวดเสียดท้อง การวินิจฉัย อาการกรดไหลย้อนในเด็ก คุณหมออาจวินิจฉัย อาการกรดไหลย้อนในเด็ก ด้วยวิธีต่าง ๆ ดังนี้ ตรวจทางเดินอาหาร ด้วยการเอกซเรย์และให้เด็กรับประทานของเหลว ซึ่งของเหลวที่ลงไปในกระเพาะทำให้คุณหมออาจทราบกระบวนการกลืนอาหาร ทางเดินอาหารว่าติดขัดส่วนใดหรือไม่ ทดสอบความเป็นกรดในกระเพาะอาหาร คุณหมออาจสอดท่อที่มีความยืดหยุ่นผ่านทางจมูกลงไปในกระเพาะอาหารจนถึงกล้ามเนื้อหูรูดของหลอดอาหารเป็นเวลา 24 ชั่วโมง ส่องกล้อง คุณหมออาจตรวจดูหลอดอาหารโดยใช้กล้องขนาดเล็กส่องลงไป หรืออาจเก็บตัวอย่างชิ้นเนื้อในเยื่อบุหลอดอาหารเพื่อนำมาวิเคราะห์หาสาเหตุ การรักษากรดไหลย้อนในเด็ก คุณพ่อคุณแม่อาจให้ลูกรับประทานยาลดกรดในกระเพา เช่น ไซเมทิโคน (Simethicone) […]


พ่อแม่เลี้ยงลูก

เมื่อเกิด ความสูญเสีย ผู้ใหญ่ควรอธิบายให้เด็กฟังอย่างไร

เมื่อสมาชิกในครอบครัวหรือคนที่รักจากไป อาจเกิดความโศกเศร้าขึ้นในครอบครัว เด็ก ๆ อาจยังไม่เข้าใจถึงความสูญเสีย พ่อแม่หรือผู้ปกครองควรอธิบายและพูดคุยให้เด็ก ๆ รับทราบว่าเกิดอะไรขึ้น และที่สำคัญไม่ควรปิดบังความรู้สึกและความเสียใจ เพราะถือเป็นเรื่องสำคัญที่จะสอนให้เด็กๆ รู้จักเปิดเผยความรู้สึกทั้งในแง่บวกและแง่ลบ รวมทั้งวิธีจัดการความรู้สึกต่าง ๆ ด้วย [embed-health-tool-vaccination-tool] ผู้ใหญ่ควรอธิบายเกี่ยวกับความสูญเสียอย่างไรดี เมื่อเกิดความสูญเสียขึ้นในครอบครัว หรือคนใกล้ชิด เด็ก ๆ ย่อมรับรู้ได้ถึงความรู้สึกเจ็บปวดเสียใจที่พ่อแม่หรือผู้ปกครองต้องเผชิญ แต่พวกเขาอาจยังไม่เข้าใจถึงสาเหตุ ผู้ใหญ่ควรปฏิบัติตัวดังนี้ พูดความจริง หากผู้ใหญ่พยายามระงับความเสียใจด้วยการปลอบคนในครอบครัวเมื่อต้องเผชิญกับความสูญเสียว่า “อย่าเศร้าไปเลย อย่าร้องไห้เลย” คำพูดเช่นนี้จะทำให้เด็ก ๆ รู้สึกว่าการแสดงออกทางอารมณ์นั้นเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม และเด็ก ๆ อาจกลัวที่จะแสดงอารมณ์ความรู้สึก จนต้องปกปิดความรู้สึกนั้นไว้ภายในใจ ความรู้สึกเช่นนี้จะติดเป็นปมด้อยในใจจนเมื่อพวกเขาโตขึ้นก็เป็นได้ เแม้ว่าผู้ใหญ่มักพยายามทำตัวเข้มแข็งและซ่อนความรู้สึกไว้ แต่เด็กเล็ก ๆ ก็ยังรู้สึกได้ถึงความรู้สึกที่แท้จริง อันที่จริง ไม่ได้เป็นเรื่องเสียหายอะไรที่เด็ก ๆ จะเห็นผู้ใหญ่ร้องไห้ แม้ว่าอาจทำให้เด็ก ๆ รู้สึกกลัวหรือตกใจก็ตาม เมื่อถึงเวลานั้น ควรอธิบายให้เด็ก ๆ เข้าใจว่า สาเหตุที่ร้องไห้เพราะสูญเสียคนที่รักไป เดี๋ยวความรู้สึกต่าง ๆ นี้จะค่อย ๆ หายไป แต่ถ้าเด็ก ๆ ไม่ได้รู้สึกเศร้าตามไปด้วย ไม่ได้หมายความว่าเด็ก ๆ ไม่รู้สึกกับการสูญเสียสมาชิกในครอบครัวไป […]


การเติบโตและพัฒนาการ

วิธีสังเกต เด็กใช้ยาสีฟันมากเกินไป หรือเปล่า

การที่เด็กๆ ใช้ ยาสีฟัน มากเกินไป อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพฟันเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ การที่ เด็กใช้ยาสีฟันมากเกินไป ส่งผลต่อสุขภาพปากและฟันของเด็กอย่างไรบ้าง และคุณพ่อคุณแม่ควรดูแลเรื่องการแปรงฟันของเด็ก ๆ อย่างไรดี [embed-health-tool-child-growth-chart] เด็กใช้ยาสีฟันมากเกินไป จากผลการสำรวจพ่อแม่มากกว่า 5,000 คน ที่มีลูกวัย 3-15 ปี พบว่า 40% ของเด็กที่อายุ 3-6 ปี ใช้แปรงสีฟันที่มียาสีฟันเต็มแปรง หรือครึ่งแปรง แทนที่จะใช้ยาสีฟันตามคำแนะนำคือขนาดเท่าเมล็ดถั่ว และปัญหาของการใช้ยาสีฟันมากเกินไปคือ เด็กได้รับฟลูออไรด์ (Fluoride)ในยาสีฟันมากเกินจนอาจทำให้ผิวเคลือบฟันผิดปกติ หรือที่มักเรียกว่า ฟันลาย ฟันเหลือง หรือฟันตกกระ (Dental Fluorosis) เด็กทารกและวัยเตาะแตะ กับการใช้ยาสีฟัน การรักษาสุขภาพช่องปากเป็นเรื่องสำคัญตั้งแต่ตอนเริ่มต้น โดยก่อนที่เด็ก ๆ จะฟันขึ้น คุณพ่อคุณแม่สามารถกำจัดแบคทีเรียในช่องปากของลูก ด้วยการเช็ดปากด้วยผ้านุ่ม เมื่อเด็กฟันขึ้น สมาคม the American Academy of Pediatrics แนะนำว่าควรเปลี่ยนเป็นแปรงสีฟัน และใช้ยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์เมื่อเด็กอายุครบ 2 ปี แต่ต้องใช้แปรงสีฟันสำหรับเด็กเล็ก และยาสีฟันไม่ควรมีขนาดใหญ่กว่าขนาดของเมล็ดข้าว 1 เมล็ด ถ้าเด็กทารกหรือวัยเตาะแตะกลืนยาสีฟันเข้าไป ถือว่าไม่ได้เป็นอันตราย ตราบใดที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ได้ใช้ยาสีฟันมากเกินไป […]


ความผิดปกติทางพัฒนาการและพฤติกรรม

สีผสมอาหาร อาจส่งผลต่อสุขภาพของเด็กๆ

สีผสมอาหาร ทำให้อาหารมีสีสันสดใส โดยเฉพาะในขนมหวาน หรือในลูกชิ้นทอดที่เด็กๆ หลายคนชอบกิน อย่างไรก็ตาม มีงานวิจัยที่ชี้ว่าสีผสมอาหารอาจสัมพันธ์กับอาการของโรคสมาธิสั้นในเด็ก แล้วแบบนี้สีผสมอาหารจะส่งผลต่อสุขภาพของเด็กๆ หรือเปล่า สีผสมอาหารคืออะไร สีผสมอาหารประกอบด้วยสารเคมี ที่ใช้เพื่อเพิ่มสีสันให้อาหาร โดยสีผสมอาหารมักจะพบในอาหารแปรรูป เครื่องดื่ม และเครื่องปรุงรส ซึ่งผู้ผลิตมักจะใส่สีผสมอาหาร ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ เพื่อเพิ่มหรือลดสีของอาหาร เพื่อรักษาสีของอาหารให้คงอยู่ เพื่อให้อาหารมีสีที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน ปัจจุบันถือว่ายังไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะสรุปได้ว่า สารปรุงแต่งอาหาร เช่น สารกันบูด สารให้ความหวานแทนน้ำตาล และสีผสมอาหาร เป็นเหตุให้เกิดโรคสมาธิสั้น และเรื่องผลกระทบจากการกินสารปรุงแต่งอาหาร ยังคงเป็นที่กรณีโต้แย้ง สีผสมอาหาร อาจส่งผลต่อสุขภาพของเด็กๆ เนื่องจากมีงานวิจัยชี้ว่า สีผสมอาหารบางชนิดและสารกันบูด อาจทำให้เด็กแสดงพฤติกรรมของโรคสมาธิสั้นมากขึ้น ในขณะที่องค์กรอาหารและยาของสหรัฐฯ ชี้ว่างานวิจัยไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า มีความเชื่อมโยงระหว่างอาหารที่ใส่สีผสมอาหาร กับอาการซน และไม่อยู่นิ่งของเด็ก (Hyperactivity) นอกจากนี้มีงานวิจัยที่พบว่า การกำจัดสีผสมอาหารออกจากอาหาร รวมถึงสารกันบูดที่เรียกว่า โซเดียมเบนโซเอต (Sodium Benzoate) ผลการวิจัยพบว่าสามารถลดอาการซนและอยู่ไม่สุขของเด็กได้ มากไปกว่านั้นยังมีงานวิจัยที่พบว่า 73% ของเด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้นมีอาการลดลง เมื่อจำกัดการบริโภคสีผสมอาหารและสารกันบูด และยังมีงานวิจัยที่ให้ข้อมูลว่า สีผสมอาหารและโซเดียมเบนโซเอต ทำให้อาการซนและอยู่ไม่นิ่งของเด็กเพิ่มขึ้น ทั้งในเด็กที่อายุ 3 ปีและกลุ่มเด็กอายุ 8-9 ปี อย่างไรก็ตาม เนื่องจากกลุ่มตัวอย่างได้รับทั้งสีผสมอาหารและโซเดียมเบนโซเอตผสมกัน จึงยากที่จะระบุว่าอะไรเป็นสาเหตุของอาการซนและอยู่ไม่นิ่งของเด็ก สรุปแล้วสีผสมอาหารเป็นอันตรายหรือไม่ ทั้งนี้อาจสรุปได้ว่า งานวิจัยได้แนะนำว่ามีความเชื่อมโยงระหว่างสีผสมอาหารกับอาการซน และอยู่ไม่นิ่งของเด็กอย่างมีนัยสำคัญ นอกเหนือจากนี้ยังมีงานวิจัยที่ชี้ว่า […]


เลี้ยงลูกด้วยนมแม่

ลดน้ำหนักหลังคลอด ด้วยการให้นมลูก ทำได้จริงหรือไม่

ในช่วงตั้งครรภ์ คุณแม่จะมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น และอาจยังมีน้ำหนักเกินอยู่หลังจากคลอดลูกแล้ว โดยทั่วไป ในช่วง 6 เดือนแรกหลังจากคลอดลูก น้ำหนักคุณแม่อาจลดลงประมาณ 0.45-0.9 กิโลกรัมต่อเดือน ทั้งนี้ คุณแม่บางคนที่ให้ลูกกินนมแม่ อาจ ลดน้ำหนักหลังคลอด ได้ เนื่องจากการร่างกายเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้นเฉลี่ยวันละ 500 กิโลแคลอรี่ อย่างไรก็ตาม คุณแม่ที่ให้ลูกกินนมไม่ควรงดอาหารหรือกินอาหารน้อยเกินไป เพื่อให้มีสารอาหารเพียงพอในการใช้ชีวิตประจำวัน และช่วยให้ลูกได้รับสารอาหารจากน้ำนมแม่ตามปริมาณที่ร่างกายต้องการ [embed-health-tool-due-date] ลดน้ำหนักหลังคลอด ด้วยการให้นมลูก ทำได้อย่างไร น้ำหนักของคุณแม่อาจลดลงประมาณ 0.45-0.9 กิโลกรัมต่อเดือน ในช่วง 6 เดือนแรกหลังคลอด จากนั้นน้ำหนักจะลดลงได้ช้ากว่าเดิม ซึ่งการลดน้ำหนักหลังคลอดอาจใช้เวลาประมาณ 6-9 เดือนกว่าน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นมาในช่วงตั้งครรภ์จะลดลงไปใกล้เคียงกับช่วงก่อนตั้งครรภ์ ทั้งนี้ การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อาจมีส่วนช่วยในการลดน้ำหนักหลังคลอดของคุณแม่ได้เนื่องจากการให้ลูกกินนมแม่อาจช่วยให้คุณแม่เผาผลาญพลังงานได้มากขึ้น โดยสมาคมสูตินรีแพทย์แห่งประเทศสหรัฐอเมริกา (The American College of Obstetricians and Gynecologists หรือ ACOG) ระบุว่า ร่างกายจะใช้พลังงานประมาณ 450-500 กิโลแคลอรี่ในการผลิตน้ำนมแม่ในแต่ละวัน ซึ่งอาจเทียบเท่ากับการออกกำลังกายในระดับปานกลางประมาณ 45-60 นาที นอกจากนี้ คุณแม่ให้นมลูกอาจระมัดระวังเรื่องอาหารมากกว่าเดิม เช่น ลดการกินอาหารแปรรูป […]


โรคผิวหนังในเด็ก

เด็กเป็นสะเก็ดเงิน การรักษาและวิธีดูแลที่ควรรู้

เด็กเป็นสะเก็ดเงิน หรือโรคสะเก็ดเงินในเด็ก เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันกระตุ้นให้ผิวหนังของเด็กเจริญเติบโตผิดปกติ จนอาจมีอาการ เช่น ผิวหนังหนาเป็นปื้นแดง มีรอยแผลบนใบหน้า และอาจส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ได้ เช่น ปัญหาสุขภาพหัวใจ ความดันโลหิตสูง ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่จึงควรพาเด็กเข้าพบคุณหมอ เพื่อรับการรักษาที่ถูกต้อง และควรดูแลเด็กที่เป็นสะเก็ดเงินอย่างถูกวิธีด้วย เพื่อช่วยให้รับมือกับโรคนี้ได้ดีขึ้น เด็กเป็นสะเก็ดเงิน เพราะอะไร โรคสะเก็ดเงินในเด็ก (Psoriasis) เป็นโรคที่ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด แต่อาจเกิดจากระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องและกระตุ้นให้เซลล์ผิวหนังเจริญเติบโตไวกว่าปกติ จึงส่งผลให้ผิวหนังหนาตัวขึ้น และมีสะเก็ดผิวหนังสะสมอยู่เป็นจำนวนมาก โรคนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผิวหนัง หนังศีรษะ และเล็บ เมื่อเด็กเป็นสะเก็ดเงินจะทำให้ผิวหนังบริเวณใบหน้า หนังศีรษะ ลำตัว แขนและขา หนาตัวเป็นปื้นแดงยาว ผิวบริเวณรอยพับอักเสบ โรคสะเก็ดเงินมีอยู่หลายชนิด แต่ชนิดที่พบได้บ่อยที่สุดในเด็ก คือ โรคสะเก็ดเงินชนิดผื่นหนา (Plaque Psoriasis) ลักษณะเป็นผื่นแห้ง แดง ซึ่งอาจมีขุยหรือสะเก็ดสีเงินปกคลุมอยู่ด้วย พบมากบริเวณหัวเข่า ข้อศอก แผ่นหลัง และหนังศีรษะ บางครั้งอาจทำให้มีอาการคันหรือมีเลือดซึมจากผื่น อีกชนิด คือ โรคสะเก็ดเงินชนิดผื่นขนาดเล็ก (Guttate Psoriasis) ซึ่งมักจะปรากฏผื่นนูนแดงหรือจุดเล็ก ๆ ขนาดประมาณหยดน้ำหรือเหรียญกระจายอยู่ทั่วตัว หากมีประวัติครอบครัวเป็นโรคสะเก็ดเงิน ก็อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคสะเก็ดเงินในเด็ก […]

ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา

กำลังมองหาเรื่องราวในการเลี้ยงดูบุตรใช่หรือไม่?

เข้าร่วมชุมชนการเลี้ยงดูบุตรและแลกเปลี่ยนข้อมูลกับคุณแม่และคุณพ่อคนอื่น ๆ เข้าร่วมชุมชนได้เลย!





ad iconโฆษณา

ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของเรา

ทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของ Hello คุณหมอ ประกอบไปด้วยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มาร่วมสร้างสรรค์บทความในเว็บไซต์ของเราตามความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญของเราจะช่วยรับรองว่าข้อมูลด้านสุขภาพของเราถูกต้อง เป็นปัจจุบัน และตรงตามหลักฐานจากงานวิจัยล่าสุด
ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรามุ่งมั่นเต็มที่ในการช่วยให้คุณได้รับข้อมูลและความรู้ด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือ เข้าใจง่าย และเป็นประโยชน์ และพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพกับคุณเสมอ เพื่อให้คุณได้รับทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น

ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ชุมชน