พ่อแม่เลี้ยงลูก

ในทุกช่วงชีวิตของลูกน้อย เหล่าคุณพ่อคุณแม่จำเป็นที่จะต้องรู้วิธีดูแลและสนับสนุนสุขภาพโดยรวมของลูกน้อย เพื่อให้ความเป็นอยู่ของลูกน้อยดีขึ้น เพราะฉะนั้นใน พ่อแม่เลี้ยงลูก คุณจะได้พบกับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ รวมถึงเคล็ดลับในการดูแลลูกให้แข็งแรง มีความสุข และสามารถปรับตัวได้ในทุกสถานการณ์

เรื่องเด่นประจำหมวด

พ่อแม่เลี้ยงลูก

สาเหตุอะไรที่ทำให้ วัยรุ่นสูบบุหรี่ พิษร้ายทำลายสุขภาพในระยะยาว

วัยรุ่นสูบบุหรี่ เป็นเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่และผู้ปกครองไม่ควรละเลย เพราะบุหรี่เป็นสิ่งอันตรายที่สามารถส่งผลเสียระยะยาวต่อร่างกายของวัยรุ่นได้ ในปัจจุบัน มีวัยรุ่นจำนวนไม่น้อยที่สูบบุหรี่และมีแนวโน้มว่าจำนวนของวัยรุ่นที่สูบบุหรี่จะเพิ่มสูงขึ้นด้วย สาเหตุหนึ่งเพราะเรื่องนี้ถูกมองว่าเป็นเรื่องปกติ หรือบางก็คนใช้เป็นเครื่องมือระบายความเครียด เพื่อจัดการกับปัญหาวัยรุ่นสูบหรี่ บทความนี้อาจช่วยให้คุณเข้าใจสาเหตุ และอันตรายของบุหรี่มากขึ้น เราไปหาคำตอบเรื่องนี้กันเลย สาเหตุที่ทำให้ วัยรุ่นสูบบุหรี่ สาเหตุที่ทำให้วัยรุ่นสูบบุหรี่มีด้วยกันหลายสาเหตุทั้งปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก มาดูกันว่ามีอะไรกันบ้าง สภาพแวดล้อมทางสังคมและทางกายภาพ การโฆษณาจากสื่อโทรทัศน์อาจทำให้วัยรุ่นหนุ่มสาวรู้สึกอยากลองสูบบุหรี่ แนวโน้มการสูบบุหรี่จะเพิ่มขึ้น หากพวกเขาเห็นเพื่อนในวัยเดียวกันสูบบุหรี่ หากคนในครอบครัวสูบบุหรี่ ก็มีแนวโน้มว่าบุตรหลานอาจรู้สึกอยากลองสูบบุหรี่ตามไปด้วย ปัจจัยทางชีวภาพและพันธุกรรม วัยรุ่นบางคนอาจมีความรู้สึกไวต่อสารนิโคติน จึงทำให้รู้สึกอยากนิโคตินได้เร็วกว่าผู้ใหญ่ ปัจจัยทางพันธุกรรมบางอย่างอาจทำให้การเลิกบุหรี่ในวัยรุ่นยากขึ้น คุณแม่ตั้งครรภ์สูบบุหรี่อาจส่งผลต่อลูก และอาจส่งผลให้เด็กสูบบุหรี่เป็นประจำในอนาคต สุขภาพจิต ปัญหาสุขภาพจิตในวัยรุ่น เช่น ภาวะซึมเศร้า ความวิตกกังวล และความเครียด อาจทำให้วัยรุ่นต้องการสูบบุหรี่ ความรู้สึกส่วนตัว วัยรุ่นบางคนเริ่มสูบบุหรี่เพราะต้องการระบายความเครียดที่เกิดขึ้นในขณะนั้น เนื่องจากพวกเขารู้สึกว่าบุหรี่เป็นเพียงทางออกเดียวในการกำจัดความเครียด อิทธิพลอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อวันรุ่น ความเครียดจากเศรษฐกิจตกต่ำ หรือรายได้ลดลง ไม่รู้ว่าจะเลิกบุหรี่อย่างไร ครอบครัวไม่สนับสนุนหรือมีส่วนร่วมในการเลิกบุหรี่ วัยรุ่นยังสามารถเข้าถึงการซื้อบุหรี่ได้ อาจมีพฤติกรรมเกเร ไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง มองว่าตัวเองต่ำต้อย เห็นจากโฆษณาผลิตภัณฑ์บุหรี่ในร้านค้า โทรทัศน์ อินเทอร์เน็ต ภาพยนตร์ นิตยสาร หรือหนังสือพิมพ์ วัยรุ่นสูบบุหรี่ ส่งผลเสียต่อสุขภาพ ในบุหรี่มีสารเคมีหลายชนิดที่เป็นสารพิษและส่งผลเสียต่อร่างกาย เช่น นิโคติน ไซยาไนด์ ผู้ที่เริ่มสูบบุหรี่ครั้งแรกมักมีอาการเจ็บหรือแสบร้อนในลำคอและปอด บางคนถึงกับอาเจียนได้ และเมื่อสูบบุหรี่เป็นระยะเวลานานอาจทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ตามมา […]

หมวดหมู่ พ่อแม่เลี้ยงลูก เพิ่มเติม

สำรวจ พ่อแม่เลี้ยงลูก

เลี้ยงลูกด้วยนมแม่

ประโยชน์ของการให้นมลูก มีอะไรบ้าง

น้ำนมแม่ ได้ชื่อว่าเป็นอาหารที่เหมาะสมกับทารกแรกเกิดมากที่สุด เพราะมีสารอาหารสำคัญหลายชนิดที่ดีต่อพัฒนาของทารก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พัฒนาการของระบบภูมิคุ้มกัน แต่ ประโยชน์ของการให้นมลูก อาจมีมากกว่าประโยชน์ต่อสุขภาพของลูกน้อย เพราะการให้นมลูกอาจส่งผลดีต่อสุขภาพของคุณแม่ด้วยเช่นกัน 10 ประโยชน์ของการให้นมลูก ที่คุณแม่จะได้รับ 1. ลดความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจ สถาบันกุมารเวชศาสตร์แห่งอเมริกาให้ข้อมูลว่า คุณแม่ที่ให้นมลูกนานกว่า 1 ปี จะลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ 10%  เนื่องจากการให้นมลูกจะช่วยทำให้ความดันโลหิตลดลง และช่วยลดคอเลสเตอรอลด้วย ซึ่งทั้งความดันและคลอเรสเตอรอลต่างก็เป็นสาเหตุของโรคหัวใจ ส่วนสาเหตุที่ทำให้การให้นมลูกมีผลต่อโรคหัวใจ ก็เป็นเพราะเวลาที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ คุณแม่จะกินอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกาย และหลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ช่วยป้องกันการเป็นโรคหัวใจ 2. ภาวะเลือดออกหลังคลอด ร่างกายของผู้หญิงจะมีการสร้างเลือดมากขึ้นในช่วงตั้งครรภ์ เพื่อการเลี้ยงดูทารกในครรภ์ และหลังจากให้กำเนิดทารกแล้ว เลือดนี้จะถูกขับออกมาจากร่างกายเหมือนกับประจำเดือน และมันจะค่อยๆ น้อยลงหลังจากผ่านไปราวหนึ่งสัปดาห์หรือราวๆ นั้น แต่ก็อาจจะใช้เวลาหลายสัปดาห์ก็ได้กว่าจะหยุดโดยสิ้นเชิง (เราเรียกเลือดนี้กันว่า “น้ำคาวปลา”) ถึงแม้เรื่องนี้จะเป็นเรื่องปกติ แต่เราก็สามารถช่วยร่างกายในการกำจัดเลือดนี้ให้หมดไปไวขึ้นได้ และการให้นมลูกก็เป็นวิธีหนึ่งที่ได้ผลดีในการทำให้น้ำคาวปลาหมดไวขึ้น และเมื่อคุณแม่มีเลือดออกลดลง ผลดีอีกอย่างที่ได้ก็คือ จะทำให้ระดับพลังงานของคุณแม่เพิ่มขึ้น เนื่องจากการเสียเลือดมักทำให้เรารู้สึกอ่อนเพลีย และความอ่อนเพลียก็เป็นเรื่องไม่ดีต่อคุณแม่ เพราะอาจทำให้เกิดอาการซึมเศร้าหลังคลอดลูกได้ การให้นมลูกที่ช่วยลดปริมาณและระยะเวลาของการมีเลือดออก (ในน้ำคาวปลา) จึงถือว่าช่วยให้คุณแม่ไม่อ่อนเพลีย และมีความเสี่ยงต่อปัญหาอื่นๆ ต่ำลงด้วย 3. เบาใจเรื่องโรคเบาหวาน ประโยชน์ของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวาน เมื่อลูกโตขึ้น นอกจากนี้ยังทำให้คุณแม่ ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 1 […]


โรคเด็กและอาการทั่วไป

กรดไหลย้อนในเด็ก (Infant Reflux)

กรดไหลย้อนในเด็ก (Infant Reflux) เป็นภาวะที่อาหารไหลย้อนกลับออกมาจากกระเพาะอาหาร ส่งผลให้เด็กอาเจียน หรือที่มักเรียกกันว่า “แหวะนม” มักเกิดกับเด็กทารก เป็นอาการที่มักไม่ส่งผลกระทบรุนแรง และส่วนใหญ่จะหายไปเมื่อเด็กมีอายุเกิน 18 เดือน คำจำกัดความกรดไหลย้อนในเด็ก (Infant Reflux) คืออะไร กรดไหลย้อนในเด็ก (Infant Reflux) เกิดขึ้นเมื่ออาหารไหลย้อนกลับออกมาจากกระเพาะอาหารของเด็ก จนทำให้เด็กอาเจียน หรือแหวะนม เป็นอาการที่มักไม่ส่งผลกระทบรุนแรง กรดไหลย้อน นี้มักหายไปเมื่อเด็กโตขึ้น แต่หากเด็กอายุ 18 เดือนแล้วอาการยังไม่หายไป หรือมีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้น เด็กอาจเป็นโรคกรดไหลย้อน (Gastroesophageal Reflux Disease หรือ GERD) เด็กบางคนอาจเกิดภาวะกรดไหลย้อนวันละหลายครั้ง แต่หากเด็กสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงดี เติบโตและมีพัฒนาการตามปกติ กรดไหลย้อนในเด็กนี้ไม่ใช่อาการที่น่าเป็นห่วงมากนัก ในกรณีหายาก กรดไหลย้อนในเด็กอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพ เช่น โรคภูมิแพ้ ระบบทางเดินอาหารถูกรบกวน หรือโรคกรดไหลย้อน  พบได้บ่อยแค่ไหน กรดไหลย้อนในเด็กนั้นพบได้ทั่วไปในเด็กแรกเกิดไปจนถึงเด็กทารก โดยในช่วงสามเดือนแรก เด็กมักอาเจียน หรือแหวะนมวันละหลายครั้ง และอาการนี้มักหายไปในช่วงอายุ 12-14 เดือน สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมโปรดปรึกษาแพทย์ อาการอาการของ กรดไหลย้อนในเด็ก โดยทั่วไปแล้วกรดไหลย้อนในเด็กไม่ใช่ปัญหาที่น่ากังวล และไม่ใช่เรื่องง่ายที่ในกระเพาะอาหารจะมีกรดมากพอจนทำให้ลำคอหรือหลอดอาหารเกิดการระคายเคือง หรือทำให้มีสัญญาณหรืออาการแทรกซ้อนใด ๆ อย่างไรก็ตาม อาจมีอาการอื่นนอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้น หากมีข้อสงสัยใดๆ […]


เด็กทารก

สีอุจจาระทารก ที่แตกต่างกันสะท้อนสุขภาพลูกน้อยอย่างไรบ้าง

สีอุจจาระทารก นั้นมีความสำคัญมากกว่าที่คุณพ่อ และคุณแม่คิด เพราะสีและลักษณะเนื้ออุจจาระอาจช่วยบ่งบอกถึงสุขภาพของลูกน้อยในขณะนั้นได้ การสังเกตสีและลักษณะของอุจจาระทารกจึงถือว่าเป็นเรื่องสำคัญที่คนในครอบครัวไม่ควรละเลย หากเกิดความผิดปกติกับลูกน้อย จะได้รักษาทันท่วงที   สีอุจจาระทารก บ่งบอกโรคอะไรได้บ้าง สีที่แตกต่างกันของอุจจาระทารกนั้นสะท้อนสุขภาพของทารกแตกต่างกันไปด้วย โดยสีอุจจาทารกนั้น อาจมีสีต่างๆ ได้ดังนี้ สีดำอมเขียว หากลูกน้อยอยู่ในช่วงอายุ 2-4 วัน โดยส่วนใหญ่แล้วอุจจาระมักมีสีดำอมเขียว มีลักษณะข้นๆ เหนียวๆ คล้ายน้ำมันรถ เป็นผลมาจากการย่อยสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น นม อาหาร น้ำคร่ำ น้ำมูก เซลล์ผิวหนัง ในช่วงที่ทารกยังอยู่ในครรภ์ตลอดระยะเวลา 9 เดือน สิ่งเหล่านี้จะถูกคัดกรองออกมาในรูปแบบของอุจจาระจึงทำให้เกิดเป็นสีดำอมเขียวขึ้น ถึงแม้อุจจาระสีนี้จะดูน่าเกลียดน่ากลัว แต่มักไม่มีกลิ่นเหม็น  หลังจากถ่ายอุจจาระออกมาเป็นสีนี้สองสามครั้ง อุจจาระของลูกน้อยก็จะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีอ่อนขึ้น โดยเริ่มจากสีเขียวเข้มเรื่อยไปจนถึงสีเหลืองมัสตาร์ด ซึ่งแสดงให้เห็นว่าทารกเริ่มย่อยนมแม่และนมผงได้แล้ว ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดี สีเหลืองมัสตาร์ด ลูกน้อยจะเปลี่ยนจากการถ่ายอุจจาระสีดำอมเขียวมาเป็นสีเหลืองมัสตาร์ด หรือสีส้ม หากให้ลูกน้อยกินนมแม่เพียงอย่างเดียว ซึ่งอุจจาระสีเหลืองนี้ถือเป็นเรื่องปกติ นอกจากนี้ อุจจาระยังมีลักษณะเหลวๆ เช่นเดียวกับมัสตาร์ดจริงๆ และยังไม่ส่งกลิ่นเหม็น  สีเหลืองเข้ม ถ้าลูกน้อยกินนมผงมากกว่านมแม่ อุจจาระมักเป็นสีเหลืองเข้ม นอกจากนี้ ยังมีเนื้ออุจจาระที่ค่อนข้างหนากว่า และอาจส่งกลิ่นเหม็นเล็กน้อย  แต่ก็ยังถือว่าเป็นอุจจาระที่อยู่ในระดับปกติ เนื่องจากกระเพาะของลูกน้อยนั้นสามารถย่อยนมแม่ และนมผงได้แตกต่างกัน สีเขียวสด อุจจาระสีนี้มักจะพบได้กับเด็กทารกที่กินนมแม่ สาเหตุที่พบได้โดยทั่วไปก็เกิดจากการที่ทารกได้รับนมส่วนหน้า (ที่มีไขมันต่ำ) เกินปริมาณที่เหมาะสม ในขณะที่ได้รับนมส่วนหลัง (ที่มีแคลอรี่มากกว่า) ซึ่งน้ำนมที่ลูกน้อยดูดกินในช่วงแรกๆ […]


เด็กทารก

ทารกสะอึก คุณแม่มือใหม่ควรรับมืออย่างไรดี

ทารกสะอึก เกิดจากกล้ามเนื้อกระบังลมและฝาปิดกล่องเสียงของทารกหดตัวกะทันหัน จึงทำให้เกิดเสียงสะอึกขึ้นมา โดยทั่วไปการสะอึกไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการหายใจหรือภาวะสุขภาพของทารกแต่อย่างใด ทารกสามารถนอนหลับไปพร้อมกับสะอึกไปด้วยได้ อย่างไรก็ตาม คุณแม่ควรศึกษาวิธีแก้อาการสะอึกของทารกให้ดี เพราะหากแก้อาการสะอึกของทารกแบบผิดวิธีเพราะอาจทำให้เกิดอันตรายได้ [embed-health-tool-vaccination-tool] ทารกสะอึก ควรรับมืออย่างไร เมื่อ ทารกสะอึก อาจหาวิธีทำให้ทารกหยุดสะอึก ซึ่งสามารถทำได้ดังนี้ หยุดป้อนนมแล้วปล่อยให้เรอ หยุดป้อนนมแล้วปล่อยให้ทารกเรอ เพราะการเรอจะช่วยกำจัดแก๊สส่วนเกินออกไป ซึ่งแก๊สพวกนี้อาจเป็นสาเหตุของอาการสะอึกได้ โดยการจับให้ตัวทารกให้อยู่ในท่าตัวตั้งตรง สำหรับทารกที่กินนมแม่ ควรปล่อยให้ทารกเรอก่อนที่จะสลับเต้านมให้นมลูกดูดอีกข้าง ใช้จุกนมหลอก อาการสะอึกในทารกอาจไม่ได้เริ่มจากการป้อนนมเสมอไป ฉะนั้น เวลาที่ทารกเริ่มมีอาการสะอึกขึ้นมาเอง อาจปล่อยให้ดูดจุกนมหลอกดู เพราะอาจจะช่วยให้กระบังลมเกิดการผ่อนคลาย แล้วในที่สุดก็หยุดสะอึกได้ ปล่อยให้หยุดเอง โดยปกติแล้ว อาการสะอึกในเด็กทารกมักจะหยุดได้เอง ถ้าอาการสะอึกไม่ยอมหยุดเอง ควรปรึกษาคุณหมอ เพราะมีบางกรณีที่อาการสะอึกอาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพที่มีอาการรุนแรงได้ วิธีป้องกันทารกสะอึก การป้องกันการสะอึกนั้นทำได้ค่อนข้างยาก เนื่องจากเป็นภาวะปกติของร่างกาย แต่อาจลองปฏิบัติตามวิธีดังนี้ กล่อมให้ทารกอยู่ในอาการสงบขณะป้อนนม โดยอาจจะไม่ต้องรอให้ทารกหิวแล้วค่อยป้อน เพราะเมื่อทารกหิวมาก ๆ อาจจะร้องไห้ หรือมีอาการโยเยก่อนที่จะได้ป้อนนมทำให้เกิดอาการสะอึกได้  หลังจากป้อนนมเสร็จแล้ว ควรหลีกเลี่ยงการให้ทารกทำกิจกรรมอะไรหนัก ๆ อย่างเช่น การเขย่าตัว การจั๊กจี้ทารก การปล่อยให้คลานเร็ว ๆ  หลังป้อนนมเสร็จแล้ว ควรจับทารกให้อยู่ในท่าตัวตั้งตรง เป็นเวลา 20 ถึง 30 นาที สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรทำเมื่อทารกสะอึก ถึงแม้จะมีวิธีแก้อาการสะอึกที่ใช้กับผู้ใหญ่ได้ แต่ไม่ควรนำมาใช้กับเด็กทารก เพราะอาจก่อให้เกิดอันตรายได้ โดยเฉพาะวิธีเหล่านี้   แหย่ให้ทารกตกใจ อย่าพยายามแหย่ทารกให้สะดุ้ง เพราะเสียงดังอาจทำให้แก้วหูที่บอบบางของทารกเกิดความเสียหายได้ และอาการตกใจนั้น อาจทำให้ทารกร้องไห้ไม่หยุด ให้รับประทานผลไม้หรือขนมรสเปรี้ยว  ถึงแม้ขนมเปรี้ยวๆ […]


การดูแลทารก

สายสะดือ มีหน้าที่อะไร และวิธีดูแลสายสะดือที่ถูกต้อง

สายสะดือ ทำหน้าที่ลำเลียงสารอาหารและออกซิเจน เพื่อช่วยให้ลูกน้อยได้มีพัฒนาการในการเจริญเติบโตตอนที่ยังอยู่ในครรภ์ แต่หลังจากที่ทารกคลอดออกมา สายสะดือก็ไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป สายสะดือจึงถูกตัดและรัดเอาไว้จนกลายเป็นตอสั้น ๆ ซึ่งถ้าดูแลไม่ดี ก็อาจก่อให้เกิดการติดเชื้อจนทำให้เลือดไหลออกมา มีไข้ มีหนองไหลอกมาได้ [embed-health-tool-vaccination-tool] สายสะดือ คืออะไร สายสะดือ เป็นสายที่ต่อมาจากช่องท้องของทารก แล้วเชื่อมต่อกับรก ทำหน้าที่ในการลำเลียงสารอาหารและออกซิเจนผ่านทางรกที่ติดอยู่กับผนังมดลูกด้านในของคุณแม่ หลังจากที่ทารกคลอดออกมาแล้ว สายสะดือจะถูกรัดและตัดให้ชิดอยู่กลางลำตัวของร่างกายเด็ก ทำให้เกิดเป็นตอสะดือ ซึ่งขั้นตอนนี้ไม่ทำให้ทารกรู้สึกเจ็บปวด สายสะดือจะแห้งและหลุดออกภายใน 7-21 วัน เหลือไว้แต่แผลเล็ก ๆ ที่อาจหายได้เองภายใน 2-3 วัน วิธีดูแลสายสะดือ สายสะดือจะแห้งและหลุดออกไปในที่สุด ซึ่งโดยปกติจะหลุดออกภายใน 1-3 สัปดาห์หลังคลอด ซึ่งในระหว่างนี้คุณพ่อคุณแม่ก็ควรดูแลสายสะดือให้เด็กทารก ด้วยวิธีการต่อไปนี้ รักษาความสะอาดและทำให้สายสะดือแห้งอยู่เสมอ พับผ้าอ้อมไม่ให้ไปกดทับในบริเวณสายสะดือ (หรือซื้อผ้าอ้อมสำหรับเด็กแรกเกิดที่ทำรอยเว้าเอาไว้สำหรับสายสะดือ) วิธีนี้อาจช่วยให้สายสะดือโดนลม และช่วยป้องกันไม่ได้โดนปัสสาวะของเด็กด้วย อาบน้ำให้ลูกน้อยด้วยการใช้ฟองน้ำ ชุบน้ำเช็ดตามเนื้อตัวให้ลูกน้อย แทนการจับลูกน้อยลงไปนอนแช่ในอ่างน้ำ เลือกเสื้อผ้าที่โปร่งสบายให้ลูกน้อย ถ้าสภาพอากาศอบอุ่นสบาย ก็ให้ลูกน้อยใส่แค่ผ้าอ้อมและเสื้อยืดหลวม ๆ เพื่อช่วยให้เกิดอากาศถ่ายเท ซึ่งจะทำให้แผลแห้งได้เร็วขึ้น อย่าสวมเสื้อผ้ารัดแน่นให้ลูกน้อย หลีกเลี่ยงการสวมกางเกงหรือบอดี้สูทให้ลูกน้อย อย่าพยายามแกะแผลสายสะดือ ผลการศึกษาวิจัยพบว่า การไม่ไปแตะต้องกับแผลบริเวณสะดือเลย จะช่วยให้แผลแห้งได้เร็วกว่า และไม่ต้องเสี่ยงที่จะเกิดการติดเชื้อ  สัญญาณที่บ่งบอกว่าสายสะดือเกิดการติดเชื้อ ถึงแม้แผลสายสะดือจะเกิดอาการติดเชื้อได้ยาก แต่ถ้าลูกน้อยมีอาการต่อไปนี้ ก็ควรรีบปรึกษาคุณหมอทันที […]


เด็กทารก

เพิ่มพลังสมองลูก วัยทารก ทำได้อย่างไรบ้าง

เด็กวัยทารก ถือเป็นวัยที่มีพัฒนาการทางด้านร่างกายและสมองเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว การส่งเสริมพัฒนาการ และ เพิ่มพลังสมองลูก ในวัยนี้ ด้วยวิธีที่เหมาะสม ถือเป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรให้ความสำคัญ นอกจากนี้ คุณพ่อคุณแม่ควรหมั่นสังเกตพัฒนาการทางสมอง สติปัญญา อารมณ์ ร่างกาย และจิตใจของทารกอยู่เสมอ หากพบความผิดปกติทางด้านพัฒนาการใด ๆ ควรรีบพาลูกไปพบคุณหมอ เพื่อหาสาเหตุและวิธีรักษาที่เหมาะสมที่สุด 9 วิธีช่วย เพิ่มพลังสมองลูก 1. อ่านหนังสือให้ลูกฟัง เลือกหนังสือที่มีรูปภาพขนาดใหญ่ ที่มีสีสันและรูปร่างสวยสดงดงาม แล้วร่วมแบ่งปันความสุขกับลูกน้อย ด้วยการชี้ไปที่รูป พร้อมกับทำเสียงที่ฟังดูน่าสนใจ อย่างเช่น ทำเสียงสัตว์เวลาที่เปิดไปเจอรูปสัตว์ที่อยู่ในฟาร์ม ปรับโทนเสียงให้ฟังดูน่าตื่นเต้น พร้อมกับเล่าเรื่องราวให้ฟังง่ายๆ หรือใส่รายละเอียดที่น่าสนใจ ภาษาที่เขาได้ยินรวมทั้งสิ่งทีคุณพูดกับเขาทุกวันนั้น มีส่วนอย่างมากในการส่งเสริมพัฒนาการทางด้านภาษาของลูกน้อย 2. เล่นสนุกกับลูกน้อย การเล่นกับลูกน้อย เช่น การจั๊กจี้ หรือการนวดตัวทารก มีผลการศึกษาวิจัยชิ้นหนึ่งแสดงให้เห็นว่า ทารกที่ได้รับการเอาใจใส่จากแม่ด้วยวิธีการเหล่านี้ จะมีสมองส่วนหน้าที่เกี่ยวข้องกับความจำที่หนากว่าเด็กที่ไม่ได้รับการเอาใจใส่ ซึ่งก็หมายความว่า ลูกน้อยจะมีพัฒนาการทางด้านความจำ การเพ่งความสนใจ และมีความสามารถในการเรียนรู้ที่ดีขึ้น 3. ทำหน้าตลกๆ การทำหน้าตลกๆ ให้ลูกน้อยดู เด็กแรกเกิดที่มีอายุตั้งแต่สองวันขึ้นไป สามารถเลียนแบบการเคลื่อนไหวบนใบหน้าที่เขาเห็นได้แล้ว ซึ่งนี่เป็นสัญญาณของการแก้ปัญหาช่วงเริ่มต้นชีวิตของเขา 4. ร้องเพลงง่ายๆ ที่มีจังหวะและวลีซ้ำๆ เพลงเด็กๆ อย่างเช่น ‘แมงมุมลายตัวนั้น‘ และ ‘เป็ดอาบน้ำในคลอง‘ […]


การเติบโตและพัฒนาการ

ฉี่รดที่นอน ในเด็ก สาเหตุและวิธีแก้ปัญหา

ฉี่รดที่นอน อาจเกิดขึ้นได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ การฉี่รดที่นอนในเด็กเป็นส่วนหนึ่งของการเจริญเติบโต แต่หากไม่เลิกฉี่รดที่นอนอาจทำให้คุณพ่อคุณแม่กังวลใจ สาเหตุฉี่รดที่นอนอาจเกิดจากกรรมพันธ์ุ และปัจจัยอื่นประกอบด้วย จำเป็นที่คุณพ่อคุณแม่ต้องทำความเข้าใจเพื่อรับมือกับปัญหานี้ ฉี่รดที่นอน เกิดจากอะไร โดยปกติแล้ว เด็กสามารถควบคุมกระเพาะปัสสาวะได้เองตามธรรมชาติเมื่อโตขึ้น ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยเรื่องอายุ กรรมพันธ์ สภาพแวดล้อม เด็กผู้ชายอาจฉี่รดที่นอนในบางคืนมากกว่าเด็กผู้หญิงถึง 2 เท่า แต่หลังจากอายุ 5 ขวบเป็นต้นไป ประมาณร้อยละ 15 ของเด็กยังคงฉี่รดที่นอน และเมื่ออายุ 10 ขวบ ประมาณร้อยละ 95 มักเลิกฉี่รดที่นอน ฉี่รดที่นอน มักสร้างปัญหาให้ทุกคนในครอบครัว ไม่เพียงแต่ต้องทำความสะอาดที่นอนบ่อย ๆ แต่ยังอาจสร้างความกังวลใจให้พ่อแม่และเด็กด้วย ทั้งที่จริงแล้ว การฉี่รดที่นอนเป็นส่วนหนึ่งของการเจริญเติบโต ควรทำความเข้าใจถึงสาเหตุของการฉี่รดที่นอน สาเหตุที่ทำให้เด็กฉี่รดที่นอน สาเหตุของการฉี่รดที่นอนอาจเกิดได้จากกรรมพันธ์ุ โดยเด็ก 3 ใน 4 คนมักมีคุณพ่อคุณแม่หรือญาติใกล้ชิดที่ฉี่รดที่นอนเหมือนกันในวัยเด็ก โดยนักวิทยาศาสตร์อธิบายว่า เกิดจากยีนบางตัวที่ทำให้ความสามารถในการควบคุมกระเพาะปัสสาวะล่าช้าออกไป นอกเหนือจากกรรมพันธุ์แล้ว อาจเกิดจากปัจจัยอื่น ๆ ร่วมด้วยที่ทำให้เด็กฉี่รดที่นอน ได้แก่ มีปัสสาวะมากกว่าที่กระเพาะปัสสาวะจะรับได้ กระเพาะปัสสาวะมีปัญหา บีบตัวไวเกินไป ทำให้ไม่สามารถกลั้นปัสสาวะได้ นอนหลับลึก เด็กจึงไม่รับรู้สัญญาณที่ร่างกายบอกว่า กระเพาะปัสสาวะเต็ม หรือถึงเวลาต้องไปปัสสาวะ […]


การเติบโตและพัฒนาการ

พ่อแม่เข้มงวด ส่งผลต่อลูกอย่างไรบ้าง

เด็กๆ มักจะบ่น หรือไม่พอใจเวลาที่ พ่อแม่เข้มงวด แต่ความจริงแล้ว การมีพ่อแม่เข้มงวด อาจนำมาสู่ข้อได้เปรียบหลายประการ เนื่องจากผู้ปกครองที่เข้มงวด มักจะกำหนดมาตรฐานในการเลี้ยงดูลูกเอาไว้สูง ผู้ปกครองกลุ่มนี้มักจะรู้ว่าจะผลักดันหรือช่วยให้เด็กสามารถพัฒนาตนเองได้อย่างเต็มประสิทธิภาพได้อย่างไรบ้าง เด็กๆ อาจจะมองว่าพ่อแม่เข้มงวดมากเกินไป แต่ทุกการกระทำล้วนมีผลตามมา ความเข้มงวดต่อเด็กในเรื่องต่างๆ จะสามารถช่วยพวกให้เด็กได้พัฒนาตัวเอง และส่งผลดีเมื่อพวกเขาโตขึ้น ผลดีจากการมี พ่อแม่เข้มงวด 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา หลายๆ คนมักจะพบว่า บ้านไหนที่พ่อแม่เข้มงวด ลูกบ้านนั้นมักจะเป็นแบบอย่างของการเป็นลูกที่ดี เพราะเด็กเหล่านี้มักจะเชื่อฟังผู้อื่น ทั้งพ่อแม่ที่บ้าน และคุณครูที่โรงเรียน แถมส่วนใหญ่ยังมีผลการเรียนที่ดี มักจะประสบความสำเร็จในเรื่องการเรียน เพราะรู้จักแสวงหาความรู้ในเรื่องอื่นๆ อยู่เสมอ โดยความคิดนี้เกิดขึ้นเพราะเด็กที่มีพ่อแม่เข้มงวดมักอยู่ในสภาพแวดล้อมที่คอยผลักดันให้ต้องทำเรื่องต่างๆ ได้สำเร็จตามมาตรฐานที่พ่อแม่ตั้งเอาไว้สูง นอกจากรู้จักแสวงหาความรู้แล้ว เด็กเหล่านี้ยังได้ฝึกวินัยในตัวเองตั้งแต่เด็ก และมักผลักดันตัวเองให้เรียนหนักขึ้น ตั้งใจเรียนมากขึ้น เพื่อให้ได้ผลการเรียนดีขึ้น นอกจากนี้ ยังมีผลการวิจัยเกี่ยวกับวิธีการเลี้ยงดูและผลการเรียนของเด็ก พบว่า เด็กที่มีผลการเรียนดี ส่วนใหญ่มักจะมีพ่อแม่เข้มงวด 2. พ่อแม่เข้มงวด ลูกก็มีความมั่นใจ การมีผู้ปกครองเข้มงวดหมายความว่า เด็กๆ จะต้องรับผิดชอบกับทุกการกระทำของตัวเอง พวกเขาโตมากับความเข้าใจว่า การทำงานหนักจะนำพาให้พวกเขาประสบความสำเร็จ ยิ่งพ่อแม่ตั้งความหวังเอาไว้สูง เด็กๆ ก็ยิ่งต้องพยายามหนักขึ้น จะได้ประสบความสำเร็จ เด็กเหล่านี้จะได้ฝึกความสามารถในการประเมินสถานการณ์ก่อนการตัดสินใจ พ่อแม่ที่เข้มงวดจะช่วยผลักดันให้ลูกๆ ของพวกเขาทำทุกอย่างให้ดีขึ้น เด็กๆ จึงรู้สึกว่าตัวเองมีความสามารถ และรู้สึกมั่นใจในตัวเองมากขึ้น เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน […]


โรคติดเชื้อในเด็ก

ไข้เลือดออกในเด็ก อาการและวิธีรับมือที่ควรรู้

ยุงมักเป็นสาเหตุในการแพร่กระจายของโรคไข้เดงกี่ (Dengue fever) ที่คนไทยนิยมเรียกว่าไข้เลือดออก โดยปกติแล้ว ไข้เดงกี่หรือไข้เลือดออกจะไม่รุนแรง และสามารถหายได้เองในภายในระยะเวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์ แต่ผู้ป่วยส่วนหนึ่งก็อาจมีอาการรุนแรง จนกลายเป็น โรคไข้เลือดออกเดงกี่ (Dengue hemorrhagic fever) ที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ในปัจจุบัน สัญญาณของปัญหา ไข้เลือดออกในเด็ก หรือ ไข้เดงกี่ในเด็ก มีมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้ปกครองจึงควรรับทราบถึงอาการไข้ เพื่อหาทางจัดการได้อย่างทันท่วงที สัญญาณและอาการ ในอดีต ไข้เดงกี่มักถูกเรียกว่าไข้กระดูกแตก (Breakbone fever) เนื่องจากผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้มักมีอาการเจ็บกระดูก ข้อต่อ และกล้ามเนื้อ จนทำให้รู้สึกเหมือนกระดูกกำลังจะแตก ลูกของคุณอาจพบกับสัญญาณและอาการที่พบได้ทั่วไป ได้แก่ มีไข้สูง ซึ่งอาจสูงถึง 40° องศาเซลเซียส เลือดกำเดาไหล หรือเลือดออกตามไรฟัน ลูกของคุณอาจโวยวายจากอาการปวดศีรษะรุนแรง มีอาการเจ็บนัยน์ตาด้านหลัง ในข้อต่อ กล้ามเนื้อหรือกระดูก ลำตัวส่วนใหญ่ปกคลุมไปด้วยผื่น โดยทั่วไป ไข้เลือดออกในเด็ก โดยเฉพาะเด็กเล็ก และผู้ติดเชื้อไข้เดงกี่เป็นครั้งแรก จะมีอาการที่ไม่รุนแรง ในขณะที่ผู้สูงอายุ ผู้ใหญ่และผู้ที่เคยติดเชื้อไข้เดงกี่ อาจมีอาการของโรคปานกลางจนถึงรุนแรง การวินิจฉัยไข้เลือดออกในเด็ก ไวรัสเดงกี่สามารถตรวจพบได้จากการตรวจเลือด แต่คุณหมอที่มีประสบการณ์ส่วนมาก จะสามารถประเมินและวินิจฉัยโรคไข้เดงกี่ได้จากลักษณะภายนอกของลูกคุณ แต่กระนั้น การตรวจเลือดก็ยังเป็นวิธีที่แนะนำในการตรวจหาไวรัสเดงกี่ คุณหมออาจแนะนำให้คุณตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดแดง เพื่อดูว่าเชื้อไวรัสสร้างความเสียหายรุนแรงต่อลูกของคุณแค่ไหน เนื่องจากเชื้อไวรัสสามารถสร้างความเสียหายแก่เกล็ดเลือด หากคุณสงสัยว่า […]


ปัญหาระบบย่อยอาหารในเด็ก

ทารกท้องอืด แก๊สในกระเพาะอาหารเยอะ รับมือได้อย่างไรบ้าง

ทารกท้องอืด ที่มีสาเหตุจากแก๊สในกระเพาะอาหารเยอะ นับเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้บ่อยในเด็กแรกเกิด แต่เด็กบางคนอาจมีปัญหาในการระบายแก๊สออกมาทำให้เกิดอาการไม่สบายเนื้อไม่สบายตัวจนร้องไห้งอแงมากกว่าปกติ เมื่อลูกเกิดอาการท้องอืด คุณพ่อคุณแม่อาจช่วยลูกน้อยให้รู้สึกดีขึ้นได้เพียงแต่รู้วิธีรับมือทารกท้องอืดที่เหมาะสม แก๊สในกระเพาะอาหารเด็กทารกเกิดขึ้นได้อย่างไร อาการทารกท้องอืด อาจนับเป็นพัฒนาการอย่างหนึ่งของเด็กทารก เด็กทุกคนมักจะมีแก๊สในกระเพาะอาหารเยอะ เนื่องจากกินไม่หยุด และระบบการย่อยอาหารของเขายังพัฒนาไม่เต็มที่ ส่งผลให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหารขึ้นมา เพื่อช่วยให้ร่างกายสามารถย่อยนมแม่และนมผงได้ แต่หากอาการเหล่านี้ทำให้ทั้งคุณพ่อคุณแม่และลูกน้อยไม่ได้หลับไม่ได้นอน คุณพ่อคุณแม่ต้องหาทางแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน วิธีช่วยแก้ปัญหาทารกท้องอืด เมื่อลูกท้องอืด จากแก๊สในกระเพาะอาหาร คุณพ่อคุณแม่สามารถช่วยบรรเทาอาการที่เกิดขึ้นได้ด้วยวิธีเหล่านี้ ตรวจเช็กท่าป้อนนม และจุกนม ในช่วงที่ให้ลูกน้อยกินนมแม่หรือป้อนนมขวด ลองพยายามยกศีรษะลูกให้สูงกว่าท้อง เพราะจะช่วยให้น้ำนมไหลลงไปอยู่ตรงกระเพาะอาหารส่วนล่าง และไล่อากาศให้มาอยู่ด้านบน ซึ่งจะช่วยให้ลูกน้อยเรอออกมาได้ง่ายขึ้น วางขวดนมให้ตั้งขึ้นเล็กน้อย เพื่อจะได้ลดฟองอาการในจุกนมลง ถ้าคุณพ่อคุณแม่ป้อนนมขวดให้ลูกกิน อาจลองเปลี่ยนไปใช้จุกนมแบบที่ทำให้น้ำนมไหลออกมาช้าๆ ซึ่งจะช่วยลดการเกิดแก๊สในกระเพาะอาหารลงได้   ช่วยทำให้ลูกน้อยเรอออกมา  วิธีที่ง่ายที่สุดในการระบายแก๊สออกมา ก็คือ การทำให้ลูกน้อยเรอออกมาในช่วงระหว่างและหลังป้อนนม ถ้าลูกน้อยไม่ยอมเรอ อาจลูกนอนหงายซักสองสามนาที จากนั้นลองทำให้เรอใหม่อีกครั้ง ถ้าลูกน้อยเกิดอาการเคลิ้มหลับในระหว่างป้อนนม ควรพาออกไปเดินเล่นให้เรอออกมา เมื่อเด็กเรอออกมาแล้ว จะทำให้สบายตัว การเรอช่วยระบายแก๊สในกระเพาะอาหารทำให้เด็กนอนหลับได้ยาวขึ้น  ทารกท้องอืด นวดช่วยได้ การนวดเนื้อตัวให้ลูกเบา ๆ พร้อมกับจับขาหมุนวนเหมือนท่าถีบจักรยานอากาศ รวมถึงการลูบท้องลูกวนตามเข็มนาฬิกา จะช่วยแก้ปัญหาท้องอืดได้ นอกจากนี้การอาบน้ำอุ่นก็ช่วยไล่แก๊สในกระเพาะอาหาร และทำให้ลูกน้อยหลับสบายได้เช่นกัน ตรวจสอบอาหาร คุณพ่อคุณแม่ควรพูดคุยกับคุณหมอ เกี่ยวกับอาหารที่ทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหารได้มากเป็นพิเศษ พ่อแม่บางคนให้ลูกน้อยดื่มน้ำผลไม้ที่มีส่วนผสมของซอร์บิทอล (Sorbitol) ซึ่งเป็นน้ำตาลแอลกอฮอล์ชนิดหนึ่ง ที่ร่างกายของทารกไม่สามารถดูดซึมได้ จนทำให้ทารกท้องอืด  แน่นท้อง ดังนั้นเพื่อป้องกันอาการท้องอืดจากอาหารควรปรึกษาคุณหมอว่าควรให้ลูกกินอาหารชนิดใด และหลีกเลี่ยงอาหารชนิดใดบ้าง ระมัดระวังอาหารที่กิน ถ้าลูกกินนมแม่ อาจมีปัญหาในเรื่องการย่อยอาหารบางชนิดที่คุณแม่รับประทานเข้าไปซึ่งส่งผ่านให้ทางน้ำนม เช่น ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม คาเฟอีน […]

ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา

กำลังมองหาเรื่องราวในการเลี้ยงดูบุตรใช่หรือไม่?

เข้าร่วมชุมชนการเลี้ยงดูบุตรและแลกเปลี่ยนข้อมูลกับคุณแม่และคุณพ่อคนอื่น ๆ เข้าร่วมชุมชนได้เลย!





ad iconโฆษณา

ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของเรา

ทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของ Hello คุณหมอ ประกอบไปด้วยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มาร่วมสร้างสรรค์บทความในเว็บไซต์ของเราตามความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญของเราจะช่วยรับรองว่าข้อมูลด้านสุขภาพของเราถูกต้อง เป็นปัจจุบัน และตรงตามหลักฐานจากงานวิจัยล่าสุด
ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรามุ่งมั่นเต็มที่ในการช่วยให้คุณได้รับข้อมูลและความรู้ด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือ เข้าใจง่าย และเป็นประโยชน์ และพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพกับคุณเสมอ เพื่อให้คุณได้รับทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น

ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ชุมชน