ปัญหาระหว่างการตั้งครรภ์

ปัญหาระหว่างการตั้งครรภ์ ไม่ว่าจะเป็นภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ หรือปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ก็ล้วนอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของคุณแม่และทารกในครรภ์ได้ทั้งสิ้น Hello คุณหมอ จึงได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ ปัญหาระหว่างการตั้งครรภ์ รวมไปถึงการรักษาและป้องกัน เพื่อการดูแลสุขภาพของคุณแม่ตั้งครรภ์ที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

เรื่องเด่นประจำหมวด

ปัญหาระหว่างการตั้งครรภ์

ลักษณะถุงตั้งครรภ์หลุด และการดูแลตัวเองหลังแท้งบุตร

ถุงตั้งครรภ์หลุดมักเกิดจากการแท้งบุตร และร่างกายจะขับถุงตั้งครรภ์ออกมาเองตามธรรมชาติ ซึ่งไม่มีอาการที่เป็นสัญญาณอันตราย โดย ลักษณะถุงตั้งครรภ์หลุด อาจทำให้พบชิ้นเนื้อลักษณะคล้ายพุงปลา สีแดงหรือสีน้ำตาลหลุดออกมาจากช่องคลอด จึงควรเข้าพบคุณหมอเพื่อตรวจการตั้งครรภ์ทันที เพราะอาจเป็นสัญญาของความผิดปกติขณะตั้งครรภ์หรือการแท้งบุตรได้ [embed-health-tool-ovulation] ถุงตั้งครรภ์หลุด คืออะไร ถุงตั้งครรภ์ (Gestational Sac) คือ เป็นโครงสร้างที่เต็มไปด้วยของเหลวล้อมรอบตัวอ่อนในช่วง 2-3 สัปดาห์แรกของการพัฒนาของตัวอ่อน ซึ่งเป็นสัญญาณแรกของการตั้งครรภ์ โดยสามารถตรวจพบได้จากการอัลตราซาวน์ เมื่ออายุครรภ์ประมาณ 3-5 สัปดาห์ อาจสามารถวัดขนาดค่าเฉลี่ยเส้นผ่าศูนย์กลางของถุงตั้งครรภ์ได้ประมาณ 2-3 มิลลิเมตร โดยคุณหมอจะใช้ถุงตั้งครรภ์ในการวินิจฉัยความผิดปกติขณะตั้งครรภ์ เช่น การตั้งครรภ์ในมดลูก การตั้งครรภ์โดยไม่ทราบตำแหน่ง การตั้งครรภ์นอกมดลูก ตลอดจนประเมินความสามารถในการตั้งครรภ์ สาเหตุของถุงตั้งครรภ์หลุด ถุงตั้งครรภ์หลุดอาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ โดยสาเหตุที่พบบ่อย มีดังนี้ การแท้งบุตร เป็นสาเหตุที่พบบ่อย เนื่องจากไม่พบการมีชีวิตอยู่ของทารกในครรภ์ ฮอร์โมนเอชซีจี (HCG)ก็จะลดลง จากนั้นถุงตั้งครรภ์จะหลุดเองตามธรรมชาติ ภาวะท้องลม (Blighted Ovum) เป็นการตั้งครรภ์ที่เกิดขึ้นจริง แต่ตัวอ่อนไม่แข็งแรงจนเกิดภาวะไข่ฝ่อ ทำให้ไม่มีทารกอยู่ในครรภ์อีกต่อไป เหลือเพียงถุงตั้งครรภ์ที่ว่างเปล่าและถุงตั้งครรภ์จะหลุดออกมาเองตามธรรมชาติ นอกจากนี้ ยังมีบางกรณีที่คุณหมอตรวจไม่พบถุงตั้งครรภ์ ซึ่งอาจเกิดจากสาเหตุ ดังนี้ อัลตราซาวน์เร็วเกินไป การคำนวณอายุครรภ์ผิดอาจทำให้ไม่สามารถตรวจเจอถุงตั้งครรภ์ได้ จึงต้องกลับมาตรวจซ้ำอีกครั้ง การตั้งครรภ์นอกมดลูก หากฮอร์โมนเอชซีจีอยู่ในระดับปกติ แต่อัลตราซาวน์แล้วไม่พบถุงตั้งครรภ์อาจเป็นไปได้ว่ามีการตั้งครรภ์นอกมดลูก ลักษณะถุงตั้งครรภ์หลุด เป็นอย่างไร เมื่อถุงตั้งครรภ์หลุดอาจไม่มีอาการแสดงที่ชัดเจน และไม่มีอาการแทรกซ้อนที่เป็นอันตราย […]

สำรวจ ปัญหาระหว่างการตั้งครรภ์

ปัญหาระหว่างการตั้งครรภ์

Ectopic Pregnancy คือ อะไร อาการและการป้องกัน

Ectopic Pregnancy คือ การตั้งครรภ์นอกมดลูก เป็นภาวะร้ายแรงที่เกิดขึ้นในขณะตั้งครรภ์ โดยเกิดขึ้นเมื่อไข่ปฏิสนธิและฝังตัวบริเวณอื่นนอกมดลูก เช่น ท่อนำไข่ รังไข่ ช่องท้อง ซึ่งภาวะนี้อาจทำให้คุณแม่มีเลือดออกมาก และยังเป็นภาวะที่สามารถคุกคามชีวิตได้ จึงจำเป็นต้องได้รับการรักษาในกรณีฉุกเฉินอย่างเร่งด่วน [embed-health-tool-due-date] Ectopic Pregnancy คือ อะไร Ectopic Pregnancy หรือ การตั้งครรภ์นอกมดลูก เป็นการตั้งครรภ์ที่เกิดขึ้นเมื่อไข่ที่ปฏิสนธิฝังตัวในตำแหน่งที่ไม่สามารถรองรับการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ได้ ส่วนใหญ่เกิดขึ้นบริเวณท่อนำไข่ และอาจเกิดขึ้นในบริเวณอื่น ๆ เช่น รังไข่ ช่องท้อง ส่งผลให้การตั้งครรภ์ไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ เนื่องจากในบริเวณดังกล่าวไม่ได้มีหน้าที่รองรับการเจริญเติบโตของทารกเหมือนกับมดลูก หากปล่อยไว้อาจทำให้ท่อนำไข่แตก มีเลือดออกรุนแรง ติดเชื้อ และเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ อาการของ Ectopic Pregnancy หากมีอาการต่อไปนี้ควรเข้าพบคุณหมอ เพราะอาจเป็นสัญญาณของการท้องนอกมดลูก เลือดออกทางช่องคลอด ปวดช่องท้องส่วนล่าง กระดูกเชิงกรานและหลังส่วนล่าง วิงเวียนศีรษะและอ่อนแรง เจ็บปวดท้องมากอย่างกะทันหัน และเลือดออกรุนแรงหากท่อนำไข่แตก ความดันโลหิตต่ำ เป็นลม ปวดไหล่ มีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้หรือมีความดันมากทางทวารหนัก ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิด Ectopic Pregnancy ปัจจัยที่อาจทำให้เกิดภาวะท้องนอกมดลูก มีดังนี้ เคยมีประวัติท้องนอกมดลูกมาก่อน อาจมีแนวโน้มที่การตั้งครรภ์ครั้งต่อไปจะท้องนอกมดลูกอีกครั้ง การอักเสบหรือการติดเชื้อ เช่น การติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ อาจทำให้เกิดการอักเสบในช่องคลอดหรืออวัยวะใกล้เคียง ที่อาจเพิ่มความเสี่ยงท้องนอกมดลูก […]


ปัญหาระหว่างการตั้งครรภ์

เลือดออกช่องคลอด สีน้ำตาล ตั้งครรภ์ เกิดจากอะไรได้บ้าง

อาการเลือดออกระหว่างตั้งครรภ์ อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น เลือดล้างหน้าเด็ก การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน การตั้งครรภ์นอกมดลูก ภาวะรกเกาะต่ำ หรือแม้กระทั่งการแท้งบุตร หากคุณแม่พบว่ามี เลือดออกช่องคลอด สีน้ำตาล ตั้งครรภ์ หรือเลือดออกเป็นสีอื่น ๆ เช่น สีแดงเข้ม สีชมพู โดยเฉพาะหากเกิดขึ้นร่วมกับอาการปวดท้อง อาจเป็นสัญญาณของอาการผิดปกติที่ควรแจ้งคุณหมอที่ดูแลครรภ์ให้ทราบและหาสาเหตุที่แท้จริงตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อช่วยให้สามารถรักษาและป้องกันการเกิดปัญหาสุขภาพของคุณแม่และทารกในครรภ์ได้อย่างทันท่วงที [embed-health-tool-due-date] เลือดออกช่องคลอด สีน้ำตาล ตั้งครรภ์ เกิดจากอะไรได้บ้าง ปัจจัยที่ทำให้มีเลือดออกทางช่องคลอดในแต่ละไตรมาสขณะตั้งครรภ์ อาจมีดังนี้ อาการเลือดออกในการตั้งครรภ์ไตรมาสที่ 1 (เดือนที่ 1-3 ของการตั้งครรภ์) เลือดล้างหน้าเด็ก (Implantation bleeding) เป็นภาวะที่เกิดขึ้นในช่วงแรกของการตั้งครรภ์ (อายุครรภ์ 4-5 สัปดาห์) เกิดจากตัวอ่อนฝังตัวเข้ากับเยื่อบุโพรงมดลูกและอาจทำให้เส้นเลือดโดยรอบแตกออก ส่งผลให้มีจุดเลือดออกหรือเลือดไหลออกจากช่องคลอด โดยทั่วไปจะเป็นสีชมพูอ่อนไปจนถึงน้ำตาลเข้ม และมักมีจะมีอาการอยู่เพียงแค่2-3วัน และจากนั้นเลือดจะค่อยๆออกน้อยลง ภาวะปากมดลูกปลิ้น (Cervical ectropion or erosion) ในระยะแรกของการตั้งครรภ์ การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกายจะสูงกว่าปกติ และร่างกายอาจผลิตฮอร์โมนที่ทำให้ปากมดลูกขยายตัวหรือเคลื่อนออกจากตำแหน่งเดิม ส่งผลให้มีเลือดออกจากคอมดลูก โดยอาจมีเลือดออกเป็นสีชมพู สีแดง ลักษณะกะปริบกะปรอย หรือไหลพรั่งพรูออกมาจากช่องคลอด แต่มักไม่ส่งผลกระทบใด ๆ […]


ปัญหาระหว่างการตั้งครรภ์

DFIU คือ อะไร สาเหตุ อาการ และการรักษา

DFIU (Death Fetus In Utero) คือ การตายของทารกในครรภ์ที่มีอายุครรภ์ตั้งแต่ 20-28 สัปดาห์ขึ้นไป หรืออาจตายหลังจากคลอดออกมาทันที โดยอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ไม่ฝากครรภ์ ปัญหารกและสายสะดือ การติดเชื้อ ตั้งครรภ์เกินกำหนด ความผิดปกติของโครโมโซม เบาหวานขณะตั้งครรภ์ ซึ่งภาวะนี้ต้องได้รับการรักษาด้วยการยุติการตั้งครรภ์หรือเร่งคลอด และคุณแม่ที่สูญเสียลูกจำเป็นต้องได้รับการดูแลร่างกายและสภาพจิตใจอย่างใกล้ชิด รวมทั้งหาสาเหตุเพื่อป้องกันการเกิดซ้ำในการตั้งครรภ์ครั้งต่อไป [embed-health-tool-due-date] DFIU คือ อะไร DFIU คือ การตายของทารกในครรภ์ตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 หรือมีอายุครรภ์ตั้งแต่ 20-28 สัปดาห์ขึ้นไป หรือเด็กที่ตายหลังจากคลอดออกมาโดยมีน้ำหนักตั้งแต่ 1,000 กรัมขึ้นไป โดยการตายของทารกในครรภ์อาจแบ่งได้ 3 ประเภท ดังนี้ ทารกตายก่อนระยะคลอด (Early Stillbirth) เกิดขึ้นระหว่างอายุครรภ์ 20-27 สัปดาห์ ทารกตายในระยะคลอดล่าช้า (Late Stillbirth) เกิดขึ้นระหว่างอายุครรภ์ 28-36 สัปดาห์ ทารกตายในระยะคลอด (Term Stillbirth) เกิดขึ้นเมื่ออายุครรภ์ 37 สัปดาห์เป็นต้นไป สาเหตุของ DFIU การตายของทารกในครรภ์สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน […]


ปัญหาระหว่างการตั้งครรภ์

ลักษณะตกขาวของคนท้อง เป็นอย่างไร และวิธีดูแลตัวเอง

ลักษณะตกขาวของคนท้อง อาจเป็นสีขาวใสหรือขาวขุ่นเล็กน้อย ๆ ไม่มีกลิ่นและมีปริมาณมาก ซึ่งมีหน้าที่ในการช่วยปกป้องช่องคลอดจากการติดเชื้อ แต่หากพบว่าตกขาวมีสี มีกลิ่น มีอาการคัน แสบร้อน และเจ็บปวดเมื่อปัสสาวะหรือมีเพศสัมพันธ์ ควรเข้าพบคุณหมอเพื่อตรวจร่างกาย เพราะอาจเป็นสัญญาณของความผิดปกติที่อาจส่งต่อไปยังทารกในท้องได้ [embed-health-tool-due-date] ลักษณะตกขาวของคนท้อง เป็นอย่างไร ลักษณะตกขาวของคนท้อง อาจมีลักษณะเป็นสีขาวใสหรือสีขาวขุ่นเล็กน้อย ไม่มีกลิ่นเหม็น และอาจมีปริมาณมากกว่าปกติ เนื่องจากระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่สูงขึ้นในขณะตั้งท้องอาจกระตุ้นให้ร่างกายผลิตและหลั่งของเหลวจากในช่องคลอดออกมามากขึ้น เพื่อช่วยป้องกันการติดเชื้อภายในช่องคลอดที่อาจเข้าไปยังมดลูก อย่างไรก็ตาม ลักษณะของตกขาวอาจไม่สามารถเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการตั้งครรภ์ เนื่องจากอาจไม่สามารถสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของตกขาวในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกของการปฏิสนธิได้ ดังนั้น หากสงสัยว่ากำลังตั้งท้องหรือประจำเดือนขาดในช่วงที่คาดว่าประจำเดือนจะต้องมา ควรทดสอบการตั้งท้องโดยการใ้ที่ตรวจครรภ์ด้วยตัวเอง และเข้ารับการตรวจที่โรงพยาบาลเพื่อยืนยันผล สำหรับในช่วงท้ายของการตั้งท้องลักษณะของตกขาวอาจเปลี่ยนแปลงไป โดยตกขาวอาจมีสีชมพู ใส เหนียวข้น หรือเป็นริ้ว ๆ และมีปริมาณมากขึ้น  เรืยกว่ามูกเลือดปากมดลูก ซึ่งอาจเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าปากมดลูกเริ่มมีการเปิดขยายออก และร่างกายกำลังเตรียมพร้อมสำหรับการคลอด อาจพบตกขาวในลักษณะนี้ประมาณ 2-3 วัน ก่อนเข้าสู่ระยะคลอด ลักษณะตกขาวของคนท้องที่เป็นสัญญาณเตือนของปัญหาสุขภาพ หากพบลักษณะตกขาวของคนท้องต่อไปนี้ควรเข้าพบคุณหมอเพื่อตรวจสุขภาพในระหว่างตั้งท้อง ลักษณะของตกขาวเปลี่ยนไปจากปกติมาก มีกลิ่นเหม็นรุนแรง มีสีหรือปริมาณที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน ตกขาวมีสีเปลี่ยนแปลงไปหรือมีของเหลวปริมาณมากขึ้นก่อนอายุครรภ์ 37 สัปดาห์ เช่น มีของเหลวเป็นสีใสไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง อาจเป็นสัญญาณของภาวะคลอดก่อนกำหนด ปากช่องคลอดอักเสบหรือมีตกขาวสีขาว ไม่มีกลิ่นไหลออกมาจากช่องคลอด พร้อมกับอาการเจ็บปวดเมื่อปัสสาวะหรือมีเพศสัมพันธ์ คันและแสบร้อน ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อยีสต์ ตกขาวสีเทาบาง ๆ […]


ปัญหาระหว่างการตั้งครรภ์

Placenta previa คือ ภาวะรกเกาะต่ำ อาการ สาเหตุ วิธีรักษา

Placenta previa คือ ภาวะรกเกาะต่ำ เป็นภาวะหนึ่งขณะตั้งครรภ์ที่เกิดขึ้นเมื่อตำแหน่งของรกปกคลุมหรือปิดกั้นปากมดลูกบางส่วนหรือทั้งหมด อาจทำให้เส้นเลือดที่เชื่อมต่อระหว่างรกและมดลูกฉีกขาดจนเสียเลือดมากขณะตั้งครรภ์ และโดยเฉพาะในระหว่างที่หญิงตั้งครรภ์มีอาการเจ็บครรภ์คลอดและมีการเปิดของปากมดลูก โดยทั่วไปภาวะรกเกาะต่ำจะไม่ทำให้รู้สึกเจ็บปวด และอาจมีเลือดออกมากน้อยต่างกันไป หากอัลตราซาวด์พบภาวะนี้ในอายุครรภ์ที่ยังน้อย ต้องมีการตรวจติดตามเพิ่มเติม เพราะโดยส่วนใหญ่ รกจะมีการเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นไปได้ในอายุครรภ์ที่มากขึ้น เพื่อวางแผนแนวทางในการคลอดต่อไป คุณแม่ตั้งครรภ์จึงควรฝากครรภ์และไปพบคุณหมอตามนัดหมายทุกครั้งเพื่อตรวจหาความผิดปกติหรืออาการแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ตั้งแต่เนิ่น ๆ และหากพบว่ามีเลือดออกทางช่องคลอดในช่วงไตรมาสที่ 2-3 ของการตั้งครรภ์ ควรไปพบคุณหมอเพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุและรับการรักษาโดยเร็วที่สุด เพราะหากปล่อยไว้ การเลือดออกจากภาวะรกเกาะต่ำจะทำให้เกิดอันตรายได้ทั้งกับคุณแม่และทารกในครรภ์ได้ [embed-health-tool-due-date] Placenta previa คือ อะไร Placenta previa คือ ภาวะรกเกาะต่ำ เป็นความผิดปกติของตำแหน่งรกที่เกาะมดลูกอยู่บริเวณส่วนล่างของมดลูกจนปกคลุมปากมดลูกบางส่วนหรือทั้งหมด โดยรกคือส่วนหนึ่งของการตั้งครรภ์ เป็นอวัยวะที่เชื่อมต่อกับสายสะดือ ทำหน้าที่ลำเลียงสารอาหารและออกซิเจนที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตจากมารดาไปยังทารกในครรภ์ ทั้งยังช่วยขับของเสียจากทารกด้วย ในช่วงตั้งครรภ์ระยะแรก รกอาจก่อตัวและยึดเกาะอยู่ที่ส่วนล่างของมดลูก ก่อนจะเคลื่อนตัวขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม หรือใกล้ส่วนบนของมดลูกหรือที่เรียกว่ายอดมดลูก ซึ่งห่างจากปากมดลูกมากพอที่จะทำให้ปากมดลูกขยายตัวได้สะดวกเมื่อถึงเวลาคลอด แต่หากมีภาวะ Placenta previa หรือรกเกาะต่ำ รกอาจไปปิดกั้นมดลูกและเป็นอุปสรรคต่อการคลอดทางช่องคลอดตามธรรมชาติ และอาจจำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนในระหว่างการตั้งครรภ์ได้ ภาวะ Placenta previa หรือ รกเกาะต่ำ แบ่งได้เป็น 4 ชนิด ดังนี้ รกเกาะต่ำใกล้ปากมดลูก (Low-lying placenta) […]


ปัญหาระหว่างการตั้งครรภ์

สัญญาณ เตือน ท้องลม ที่คุณแม่ควรรู้

ท้องลม คือ การตั้งครรภ์โดยที่ไม่มีการเจริญของตัวอ่อน และไม่สามารถพัฒนาไปเป็นทารกได้อีกต่อไป มีเพียงการเจริญของถุงการตั้งครรภ์เพียงอย่างเดียว จัดเป็นความผิดปกติของการตั้งครรภ์รูปแบบหนึ่งที่ทำกระตุ้นเข้าสู่ภาวะแท้ง หากพบ สัญญาณ เตือน ท้องลม เช่น ปวดท้องและอุ้งเชิงกรานเล็กน้อยถึงปานกลางติดต่อกันหลายวัน มีเลือดหรือเนื้อเยื่อไหลออกจากช่องคลอด ควรไปพบคุณหมอโดยเร็วที่สุด เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุด้วยการอัลตราซาวด์ ซึ่งเป็นที่สามารถวิธียืนยันภาวะท้องลมได้แม่นยำที่สุด [embed-health-tool-due-date] ท้องลม คืออะไร ท้องลม (Blighted Ovum) หรือ ภาวะไข่ฝ่อ (Anembryonic pregnancy) เป็นความผิดปกติของการตั้งครรภ์ที่มักเกิดขึ้นในช่วงไตรมาสแรก (เดือนที่ 1-3) ของการตั้งครรภ์ ในการตั้งครรภ์ปกติ เมื่อเกิดการปฏิสนธิ ไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิแล้วจะไปฝังตัวที่ผนังมดลูก เซลล์ไข่จะเติบโตเป็นตัวอ่อน และตัวอ่อนจะเจริญเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วง 5-6 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์ตัวอ่อนจะมีขนาดประมาณ 18 มิลลิเมตร แต่หากเกิดภาวะท้องลม ตัวอ่อนจะหยุดพัฒนาและแบ่งเซลล์ และถูกร่างกายดูดซึมไปจนเหลือเพียงถุงตั้งครรภ์เปล่า ๆ เท่านั้น ในบางกรณี การสูญเสียตัวอ่อนในครรภ์ก็อาจเกิดขึ้นก่อนที่คุณแม่จะรู้ตัวว่าตั้งครรภ์ ท้องลม เกิดจากอะไร ท้องลมเกิดขึ้นเมื่อไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิแล้วฝังตัวที่ผนังมดลูก แต่ไม่พัฒนาและเติบโตไปเป็นตัวอ่อน มักเกิดจากความผิดปกติของโครโมโซม ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการแบ่งเซลล์ผิดปกติ หรืออาจเกิดจากสเปิร์มหรือไข่มีคุณภาพต่ำ โครโมโซมที่ผิดปกติอาจทำให้ทารกมีพัฒนาการไม่สมบูรณ์ ร่างกายจึงเลือกที่จะไม่ดำเนินการตั้งครรภ์ต่อไปและหยุดการเจริญเติบโตของตัวอ่อนตั้งแต่ระยะแรก เพื่อป้องกันการคลอดทารกที่ผิดปกติออกมา สัญญาณ เตือน ท้องลม […]


ปัญหาระหว่างการตั้งครรภ์

แพ้ท้องกี่เดือน อาการที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร และวิธีบรรเทาอาการ

แพ้ท้องเป็นอาการที่เกิดขึ้นในขณะตั้งท้องที่ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด ปัจจุบันเชื่อว่าเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนของการตั้งครรภ์ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงแรกเ ซึ่งคุณแม่มือใหม่หลายคนอาจมีข้อสงสัยว่า แพ้ท้องกี่เดือน ถึงจะหาย เพราะอาการแพ้ท้องอาจรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน ดังนั้น การรู้สาเหตุและวิธีจัดการกับอาการแพ้ท้องจึงอาจช่วยบรรเทาอาการที่เกิดขึ้น และลดความเหนื่อยล้าในขณะตั้งท้องได้ [embed-health-tool-due-date] แพ้ท้องกี่เดือน แพ้ท้องเป็นอาการคลื่นไส้ อาเจียน วิงเวียนศีรษะ อ่อนล้า เมื่อยล้า และอ่อนเพลีย สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดทั้งวัน โดยมักจะเป็นมากในช่วงเช้าของวัน อาการแพ้ท้องมักเริ่มต้นประมาณ 5 หรือ 6 สัปดาห์แรกของการตั้งท้อง และอาจเกิดขึ้นเป็นเวลานานหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน จากนั้นอาการแพ้ท้องจะค่อย ๆ ดีขึ้น เมื่อเข้าสู่ไตรมาสที่ 2 หรือประมาณเดือนที่ 3 ของการตั้งท้อง โดยส่วนใหญ่จะเป็นมากที่ช่วงอายุครรภ์ 9-14 สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม บางคนอาจมีอาการแพ้ท้องเกิดขึ้นติดต่อกันตลอดการตั้งท้องได้เช่นกัน อาการแพ้ท้องเป็นอย่างไร อาการแพ้ท้องอาจโดนกระตุ้นจากการได้กลิ่นหรือได้รับรสชาติจากอาหารบางชนิด เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในขณะตั้งท้อง ร่วมกับความเครียดและสภาวะทางจิตใจ ที่อาจทำให้ร่างกายต่อต้านกลิ่นบางชนิดจนทำให้รู้สึกเหม็น ส่งผลให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ซึมเศร้า และเกิดความวิตกกังวล อย่างไรก็ตาม หากอาการรุนแรงขึ้นหรือมีอาการต่อไปนี้ควรเข้าพบคุณหมอเพื่อตรวจหาความผิดปกติ ปัสสาวะเป็นสีเข้ม ปัสสาวะน้อยหรือไม่มีปัสสาวะ ร่างกายขาดน้ำ อ่อนเพลียมาก รู้สึกวิงเวียนศีรษะหรือเป็นลมเมื่อยืนขึ้น หัวใจเต้นแรงผิดปกติ สาเหตุของอาการแพ้ท้อง ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของอาการแพ้ท้อง ปัจจุบันเชื่อว่าเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระดับบฮอร์โมนการตั้งครรภ์ที่สูงขึ้น ความผันผวนของความดันโลหิต โดยเฉพาะความดันโลหิตที่ลดลงในขณะตั้งท้อง การเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตที่เปลี่ยนแปลงในขณะตั้งท้อง เนื่องจากฮอร์โมนที่แปรปรวนจึงอาจทำให้ร่างกายเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตได้น้อยลง […]


ปัญหาระหว่างการตั้งครรภ์

แพ้ท้องหนักมาก เกิดขึ้นได้อย่างไร และวิธีรักษาอาการแพ้ท้อง

แพ้ท้องหนักมาก เป็นอาการคลื่นไส้อาเจียนที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรง และต่อเนื่องเป็นเวลานานหลายชั่วโมงไปจนถึงหลายวันติดต่อกัน ส่งผลให้ร่างกายขาดน้ำและเสียสมดุลแร่ธาตุ จนอาจทำให้มีอาการวิงเวียนศีรษะ ปวดหัว มึนงง อ่อนล้า หรือหมดสติ ดังนั้น หากมีอาการแพ้ท้องหนักมากจึงควรเข้าพบคุณหมอและรับการรักษา เพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจส่งผลต่อสุขภาพของคุณแม่และทารกในท้อง [embed-health-tool-due-date] แพ้ท้องหนักมาก เกิดขึ้นได้อย่างไร อาการแพ้ท้องเป็นอาการที่เกิดขึ้นในคนท้อง โดยเฉพาะในช่วง 1-2 เดือนแรกของการตั้งท้อง มักมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน อ่อนล้า และอ่อนเพลีย ซึ่งอาการจะค่อย ๆ ดีขึ้นเมื่อเข้าไตรมาสที่ 2 หรือประมาณช่วงเดือนที่ 3 ของการตั้งท้อง แต่บางคนอาจมีอาการแพ้ท้องเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดการตั้งท้องได้ โดยปกติอาการแพ้ท้องมักจะทำให้รู้สึกคลื่นไส้เป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ในแต่ละวัน และอาจมีอาการอาเจียนเกิดขึ้น 1-2 ครั้ง/วัน แต่สำหรับผู้ที่มีอาการแพ้ท้องหนักมาก อาการคลื่นไส้อาจเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายชั่วโมงใน 1 วัน และอาจอาเจียนบ่อยกว่าปกติ จนส่งผลให้ร่างกายเกิดภาวะขาดน้ำและเสียสมดุลเกลือแร่ในร่างกาย อาการแพ้ท้องหนักมาก การแพ้ท้องหนักมากอาจทำให้คนท้องมีอาการ ดังนี้ อาเจียนมากกว่า 3 ครั้ง/วัน ร่างกายขาดน้ำและเสียสมดุลเกลือแร่อย่างรุนแรง ซึ่งอาจสังเกตได้จากปริมาณปัสสาวะที่น้อยลง ปัสสาวะมีสีเข้ม ผิวแห้ง ปากแห้ง น้ำหนักลดลง อ่อนเพลีย หน้ามืดเวียนหัว มึนงง หรือหมดสติ อย่างไรก็ตาม หากมีอาการรุนแรงขึ้นหรือมีอาการต่อไปนี้ควรเข้าพบคุณหมอ เพื่อรับของเหลวทางหลอดเลือดดำ […]


ปัญหาระหว่างการตั้งครรภ์

Hyperemesis gravidarum คือ อาการแพ้ท้องรุนแรง สามารถรักษาได้อย่างไร

Hyperemesis gravidarum คือ ภาวะแพ้ท้องรุนแรง พบมากในหญิงตั้งครรภ์ระยะแรก สาเหตุของภาวะนี้ยังไม่แน่ชัด แต่อาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย หรือการเข้าใกล้สิ่งกระตุ้นบางอย่างที่ทำให้แพ้ท้อง โดยทั่วไป อาจรักษาด้วยการพักผ่อนให้เพียงพอ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร รวมไปถึงการใช้ยาแก้อาเจียน ยาลดกรด เป็นต้น แต่หากดูแลตัวเองเบื้องต้นแล้วอาการยังไม่ทุเลาและกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก ควรไปพบคุณหมอเพื่อรับการรักษาอย่างเหมาะสม [embed-health-tool-pregnancy-weight-gain] Hyperemesis gravidarum คือ อะไร โดยปกติแล้ว หญิงตั้งครรภ์ในระยะแรกมักมีอาการแพ้ท้องที่อาจเกิดจากระดับฮอร์โมนเอชซีจีหรือฮอร์โมนการตั้งครรภ์ (hCG หรือ Human Chorionic Gonadotropin) ในร่างกายเปลี่ยนแปลงเพื่อช่วยให้ร่างกายปรับตัวเข้าสู่ภาวะตั้งครรภ์ได้ การเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลให้รู้สึกคลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย ไม่สบายตัวบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ แต่หญิงตั้งครรภ์ระยะแรกบางรายอาจมีอาการแพ้ท้องรุนแรงและถี่กว่าปกติ เรียกว่า Hyperemesis gravidarum มักเกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ 9-13 ของการตั้งครรภ์ ภาวะนี้มักไม่ทุเลาเมื่อเวลาผ่านไปสักพักเหมือนอาการแพ้ท้องทั่วไป ทั้งยังอาจทำให้หญิงตั้งครรภ์ไม่สามารถรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มได้ตามปกติ จนเสี่ยงเกิดภาวะขาดสารอาหารและขาดน้ำที่อาจส่งผลให้ปัสสาวะออกน้อยและมีสีเข้ม ผิวแห้ง อ่อนแรง หน้ามืด เป็นลม หรือรุนแรงจนถึงขั้นช็อคหรืออาเจียนเป็นเลือดได้ อาการ Hyperemesis gravidarum เป็นอย่างไร อาการของ Hyperemesis gravidarum อาจมีดังนี้ คลื่นไส้รุนแรง […]


ปัญหาระหว่างการตั้งครรภ์

Preeclampsia หรือ ภาวะครรภ์เป็นพิษ สาเหตุและวิธีรักษา

Preeclampsia หรือ ภาวะครรภ์เป็นพิษ เป็นภาวะแทรกซ้อนขณะตั้งครรภ์ที่เกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ 20 ของการตั้งครรภ์เป็นต้นไป หญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะครรภ์เป็นพิษจะมีความดันโลหิตสูงกว่าปกติ มีโปรตีนหรือไข่ขาวในปัสสาวะ ทำให้เกิดปัญหาอาการในระหว่างตั้งครรภ์ เช่น ปวดศีรษะรุนแรง มองเห็นไม่ชัด หน้าและมือบวม หรืออาจจะรุนแรงถึงขั้นทำให้อวัยวะสำคัญเสียหาย เช่น ตับหรือไตวาย น้ำท่วมปอด เลือดออกในสมอง หรือเกิดการชักได้ หากคุณแม่ตั้งครรภ์วินิจฉัยพบว่ามีภาวะนี้ต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากคุณหมอไปจนวันคลอด เนื่องจากอาจเป็นอันตรายต่อคุณแม่และทารกในครรภ์ได้ การฝากครรภ์ทันทีที่รู้ว่าตั้งครรภ์และไปตรวจครรภ์ตามนัดหมายเสมอจึงถือเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะหากตรวจพบตั้งแต่เนิ่น ๆ ว่ามีภาวะครรภ์เป็นพิษ คุณหมอจะได้วางแผนการรักษาอย่างเหมาะสม ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหาสุขภาพและการเสียชีวิตของแม่และทารกในครรภ์ [embed-health-tool-due-date] Preeclampsia คืออะไร ภาวะครรภ์เป็นพิษ (Preeclampsia) เป็นภาวะที่หญิงตั้งครรภ์มีระดับความดันโลหิตสูงกว่าหรือเท่ากับ 140/90 มิลลิเมตรปรอท ร่วมกับมีโปรตีนหรือไข่ขาวในปัสสาวะ จนกระทบต่อการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ เช่น หัวใจ ไต ตับ ปอด และส่งผลต่อสุขภาพของทั้งแม่และทารกในครรภ์ จะเกิดในช่วงสัปดาห์ที่ 20 ของการตั้งครรภ์เป็นต้นไป หรือช่วงหลังคลอด (Postpartum preeclampsia) ได้เช่นกัน อาการของภาวะนี้จะแตกต่างไปในแต่ละคน ระดับความรุนแรงมีตั้งแต่ไม่รุุนแรงมาก เช่น ความดันโลหิตสูงขึ้น หน้าบวม มือบวม ไปจนถึงรุนแรง […]

โฆษณา

คุณกำลังกังวลเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ใช่หรือไม่?

หยุดกังวลได้แล้ว มาเข้าชุมชนสนทนาเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ และแลกเปลี่ยนข้อมูลกับคุณแม่และว่าที่คุณแม่คนอื่น ๆ เข้าร่วมชุมชนได้เลย!


โฆษณา

ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของเรา

ทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของ Hello คุณหมอ ประกอบไปด้วยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มาร่วมสร้างสรรค์บทความในเว็บไซต์ของเราตามความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญของเราจะช่วยรับรองว่าข้อมูลด้านสุขภาพของเราถูกต้อง เป็นปัจจุบัน และตรงตามหลักฐานจากงานวิจัยล่าสุด
ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรามุ่งมั่นเต็มที่ในการช่วยให้คุณได้รับข้อมูลและความรู้ด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือ เข้าใจง่าย และเป็นประโยชน์ และพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพกับคุณเสมอ เพื่อให้คุณได้รับทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น

ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม