สุขภาพเด็ก

สุขภาพเด็ก เป็นส่วนสำคัญในการเลี้ยงดูลูก พ่อแม่ควรให้ความสำคัญในการสังเกตความผิดปกติต่าง ๆ ตั้งแต่อาการทั่วไป จนถึงสัญญาณการติดเชื้อต่าง ๆ เรียนรู้เรื่องที่น่าสนใจเกี่ยวกับ สุขภาพเด็ก เพื่อการดูแลสุขภาพของลูกน้อย ให้เติบโตได้อย่างแข็งแรง ที่นี่

เรื่องเด่นประจำหมวด

สุขภาพเด็ก

โปลิโอ เป็นแล้วรักษาไม่หาย แต่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน

โปลิโอ หรือที่รู้จักกันในชื่อ ไข้ไขสันหลังอักเสบ เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากไวรัสโปลิโอ (Poliovirus) ซึ่งเคยส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพของมนุษย์ในอดีต โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กเล็ก แม้ว่าในปัจจุบันโรคนี้จะลดลงอย่างมากเนื่องจากการพัฒนาวัคซีน แต่ความตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคและการป้องกันยังคงมีความสำคัญ [embed-health-tool-vaccination-tool] โปลิโอ คืออะไร โรคโปลิโอเกิดจากเชื้อไวรัสในตระกูล Picornavirus โดยไวรัสนี้แบ่งเป็น 3 สายพันธุ์หลัก ได้แก่ PV1, PV2 และ PV3 ซึ่งไวรัสสามารถเข้าสู่ร่างกายผ่านการบริโภคน้ำหรืออาหารที่ปนเปื้อน รวมถึงการสัมผัสกับผู้ติดเชื้อโดยตรง เมื่อไวรัสเข้าสู่ร่างกาย มันจะแพร่กระจายในลำไส้และระบบประสาทส่วนกลาง ทำลายเซลล์ประสาทที่ควบคุมการเคลื่อนไหว ส่งผลให้เกิดภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรงหรืออัมพาต การแพร่กระจายของโรค โรคโปลิโอแพร่กระจายได้ง่ายในพื้นที่ที่มีการสุขาภิบาลไม่ดี โดยเชื้อไวรัสจะถูกขับออกจากร่างกายผู้ติดเชื้อผ่านทางอุจจาระ แล้วปนเปื้อนในน้ำหรืออาหาร นอกจากนี้ การสัมผัสใกล้ชิด เช่น การสัมผัสมือหรือของใช้ส่วนตัวที่มีเชื้อไวรัสอยู่ ก็เป็นอีกเส้นทางที่โรคสามารถแพร่กระจายได้ กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงคือเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี และผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนครบถ้วน อาการของโรคโปลิโอ โรคโปลิโอมีลักษณะอาการหลากหลาย ตั้งแต่ไม่มีอาการไปจนถึงอัมพาตรุนแรง ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ (70-90%) ไม่มีอาการ แต่สามารถแพร่เชื้อได้ อาการเบื้องต้น รวมถึงไข้ต่ำ อ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อ และคลื่นไส้ อาการรุนแรง ได้แก่ อัมพาตของแขนขา หรือในบางกรณีเชื้อไวรัสอาจทำลายระบบประสาทที่ควบคุมการหายใจ ส่งผลให้เสียชีวิต สำหรับบางคนที่เคยติดเชื้อ อาจเกิดภาวะ กลุ่มอาการหลังโปลิโอ (Post-Polio Syndrome) ในระยะเวลาหลายปีหลังจากการติดเชื้อ ซึ่งทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงและปวดกล้ามเนื้อ การป้องกันด้วยวัคซีน ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาโรคโปลิโอเฉพาะเจาะจง การป้องกันที่ดีที่สุดคือการรับวัคซีน […]

หมวดหมู่ สุขภาพเด็ก เพิ่มเติม

สำรวจ สุขภาพเด็ก

โรคเด็กและอาการทั่วไป

วิธีแก้ไอ สำหรับเด็ก โดยไม่ต้องใช้ยา

ยาแก้ไอที่ขายตามร้านขายยาทั่วไปถึงแม้จะหาซื้อได้ง่าย แต่อาจไม่เหมาะให้เด็กรับประทาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 4 ปี หากลูกมีอาการหวัดเล็กน้อยหรือไอ ควรบรรเทาด้วย วิธีแก้ไอ สำหรับเด็ก ที่เหมาะสมและปลอดภัย ไม่เสี่ยงเกิดผลข้างเคียง ทั้งนี้ หากบรรเทาอาการไอแล้วอาการของเด็กยังไม่ดีขึ้นหรือยิ่งแย่ลง ควรพาไปพบคุณหมอเพื่อวินิจฉัยอาการและรับการรักษาอย่างเหมาะสม วิธีแก้ไอ สำหรับเด็ก โดยไม่ต้องใช้ยา 1. น้ำผึ้ง น้ำผึ้ง เป็นสารให้ความหวานจากธรรมชาติที่สามารถช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอ ทั้งยังมีคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรียและช่วยป้องกันการติดเชื้อ แต่อย่างไรก็ตามน้ำผึ้งกลับไม่ปลอดภัยสำหรับเด็กที่มีอายุต่ำกว่าหนึ่งปีเพราะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคโบทูลิซึม การให้ลูกกินน้ำผึ้งหนึ่งช้อน หรือให้ลูกกินน้ำผึ้งบ่อยตามความต้องการ สามารถทำได้กับเด็กที่อายุ 1 ปีขึ้นไปเท่านั้น และควรระวังไม่ให้มีการกินน้ำผึ้งมากจนเกินไปเพราะในน้ำผึ้งมีสารประกอบของน้ำตาลฟรุกโตสที่อาจส่งผลให้มีอาการท้องเสีย คุณพ่อคุณแม่สามารถผสมน้ำผึ้งในน้ำอุ่นเพื่อให้ลูกสามารถกินน้ำผึ้งได้ง่ายขึ้น หรืออาจมีการผสมน้ำผึ้งกับน้ำมะนาวหรือน้ำขิง เพื่อเพิ่มวิตามินซี   2. การล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ การใช้น้ำเกลือล้างจมูก ทำให้เด็กสามารถสั่งน้ำมูกได้ง่ายขึ้น เพราะการใช้น้ำเกลือล้างจมูกเป็นการขจัดน้ำมูกที่ขวางกั้นอยู่ในทางเดินหายใจ คุณอาจซื้อน้ำเกลือจากร้านขายยาทั่วไป หรืออาจทำเอง โดยผสมเกลือที่ไม่มีไอโอดีนและเบคกิ้งโซดากับน้ำ แล้วนำสารละลายที่ได้นี้ บรรจุในหลอดฉีดยาหรือขวดฉีดพ่นสำหรับล้างจมูก แต่สำหรับเด็กวัยหัดเดิน คุณพ่อคุณแม่อาจมีการพาลูกนั่งลงในอ่างน้ำอุ่นก็สามารถช่วยให้เด็กจมูกโล่งขึ้นได้ หรืออาจทำหลังจากที่มีการล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ  3. ทาวาโปรับ วาโปรับ (Vapor rub) เป็นยาที่ออกแบบมาเพื่อบรรเทาอาการคัดจมูก ส่วนผสมของวาโปรับ ประกอบด้วยสารกดอาการไอและยาบรรเทาปวดเฉพาะที่ เช่น การบูร เมนทอล และน้ำมันยูคาลิปตัส ดังนั้น หากคุณใช้วิธีนี้เพื่อบรรเทาอาการไอกับลูก ควรทายาชนิดนี้บางๆ บนหน้าอกและลำคอ เพื่อให้เด็กสามารถหายใจเอายาที่ระเหยออกมาเข้าไป แต่อย่างไรก็ตามกุมารแพทย์บางท่านอาจแนะนำให้ทาบริเวณเท้ามากกว่าบริเวณหน้าอกเพื่อความปลอดภัยที่มากกว่า […]


สุขภาพเด็ก

เด็กใช้เวลาอยู่หน้าจอ มากเกินไป ส่งผลต่อสุขภาพอย่างไรบ้าง

ในยุคปัจจุบันคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต ล้วนเป็นอุปกรณ์ที่เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเด็ก ๆ ยุคใหม่ หลายครอบครัวให้ลูกดูการ์ตูนหรือรายการเพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้ แต่แม้อุปกรณ์เหล่านี้จะมีประโยชน์ แต่หาก เด็กใช้เวลาอยู่หน้าจอ มากเกินไป ก็อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพของเด็กได้ คุณพ่อคุณแม่จึงควรจำกัดเวลาในการใช้งานให้เหมาะสม อย่าให้ลูกใช้เวลาอยู่หน้าจอมากจนเกินไป [embed-health-tool-vaccination-tool] เด็กใช้เวลาอยู่หน้าจอ มากเกินไป ส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างไรบ้าง สุขภาพร่างกาย เมื่อ เด็กใช้เวลาอยู่หน้าจอ การใช้เวลาอยู่หน้าจอสามารถทำให้ดวงตามีปัญหาได้ เช่น มีอาการแสบตา คันตา ตาล้า หรือหากเด็กใช้เวลาอยู่หน้าจอติดต่อกันเป็นเวลานานเกินไป ก็อาจทำให้มีอาการปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ตาพร่า มองเห็นภาพซ้อน หรือปวดคอได้ แสงสีฟ้ากับสายตาเด็ก ในความยาวคลื่นและพลังงาน แสงสีฟ้า (Blue light) ถือว่าใกล้เคียงกับแสงยูวี ซึ่งทำให้เป็นที่น่ากังวลว่าจะเกิดความเสียหายจากการเจอแสงสีฟ้าสะสมเป็นเวลานาน เนื่องจากดวงตาของเด็ก ๆ มักจะมีความสามารถในการมองเห็นวัตถุที่อยู่ใกล้ เพราะเลนส์ธรรมชาติของดวงตามีขนาดเล็กและชัดเจน แสงสีฟ้าอาจส่งไปยังเรติน่าของดวงตาของเด็ก ๆ ได้ง่ายกว่าผู้ใหญ่ จึงสามารถทำให้ดวงตาเกิดความเสียหายได้ นอกจากนี้ แสงสีฟ้ายังสามารถรบกวนการนอนหลับ และนาฬิกาชีวภาพ (Circadian rhythm) หากเด็ก ๆ ใช้เวลาอยู่หน้าจอใกล้เกินไปในช่วงเวลาก่อนเข้านอน สมองด้านความรู้ความเข้าใจ งานวิจัยที่ศึกษาในเด็กอายุ 8-11 ปี จำนวน 4,500 คน เมื่อเดือนกันยายนปี 2016 […]


โรคติดเชื้อในเด็ก

อีสุกอีใสในเด็ก อาการ สาเหตุและการรักษา

อีสุกอีใสในเด็ก (Chickenpox) เป็นอาการเจ็บป่วยที่พบมากในเด็ก มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อไวรัสวาริเซลลา (Varicella Virus) ซึ่งเป็นเชื้อชนิดเดียวกับที่ก่อให้เกิดโรคงูสวัด โดยโรคนี้สามารถหายได้เองหลังผ่านไปประมาณ 1 สัปดาห์ หรือขึ้นอยู่กับสุขภาพร่างกายและการดูแลรักษาของแต่ละคน การฉีดวัคซีนโรคอีสุกอีในเด็กจึงอาจเป็นวิธีป้องกันการเกิดโรคและป้องกันโรคแทรกซ้อนจากอีสุกอีใสได้ดีที่สุด อาการของ อีสุกอีใสในเด็ก ในช่วง 2-3 วันก่อนตุ่มอีสุกอีใสขึ้น เด็กอาจมีไข้ ปวดท้อง ปวดศีรษะ ไม่อยากอาหารและอ่อนเพลีย โดยตุ่มอีสุกอีใสจะปรากฏขึ้นหลังสัมผัสกับเชื้อประมาณ 10-21 วัน ปกติแล้วเด็กจะมีตุ่มอีสุกอีใสประมาณ 250-500 ตุ่ม จะเริ่มจากมีผื่นแดงราบขึ้นบนผิวหนัง ก่อนจะเปลี่ยนแปลงลักษณะตามระยะเวลา สามารถแบ่งได้ 3 ระยะ ได้แก่ ตุ่มนูน (Papules) มักเกิดขึ้นบริเวณใบหน้าและหน้าอก เมื่อเวลาผ่านไปตุ่มนูนก็จะแพร่กระจายไปยังร่างกายส่วนอื่น ๆ ตุ่มพองน้ำ (Vesicle) หลังจากผ่านไป 2-3 วัน จะเริ่มมีตุ่มน้ำพองเกิดขึ้น ลักษณะเป็นตุ่มที่มีของเหลวอยู่ด้านในขึ้นอยู่บนตุ่มนูน จากนั้นเมื่อเวลาผ่านไปตุ่มน้ำพองจะแตกและมีของเหลวไหลออกมา สะเก็ด (Scabs) เมื่อตุ่มน้ำพองแตก แผลจะเริ่มแห้งเป็นสะเก็ดอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาประมาณ 2-3 วัน จากนั้นสะเก็ดของตุ่มอีสุกอีใสจะหลุดออกไปเองหลังจากผ่านไปประมาณ 1 สัปดาห์ โดยปกติเมื่อตุ่มอีสุกอีใสตกสะเก็ดมักไม่ก่อให้เกิดแผลเป็น หากไม่เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย  […]


โรคติดเชื้อในเด็ก

เชื้อราในปากจากการให้นมแม่ ส่งผลกระทบอย่าไร

เชื้อราในปากจากการให้นมแม่ เป็นการติดเชื้อราที่อาจพบได้ในเด็กช่วงขวบปีแรก โดยเชื้อราอาจเกิดขึ้นได้ทั้งบริเวณหัวนมของแม่และภายในช่องปากของทารก ซึ่งนำไปสู่การติดเชื้อราในปาก ทำให้เห็นเป็นฝ้าขาวที่ลิ้น เพดานปาก และกระพุ้งแก้ม โดยปัญหาที่เกิดขึ้นอาจทำให้แม่กังวลใจ ดังนั้น การเรียนรู้ถึงอาการและการรักษา อาจช่วยให้แม่สังเกตสัญญาเตือนที่อาจเกิดขึ้นกับเด็กได้ เชื้อราในปากจากการให้นมแม่ เกิดจากอะไร ส่วนใหญ่เชื้อราแคนดิดา อัลบิแคนส์ มักพบได้ในร่างกายของทุกคน โดยอาจพบได้ในระบบทางเดินอาหาร และช่องคลอด ปกติแล้วร่างกายจะมีแบคทีเรียที่คอยควบคุมสมดุลอยู่เสมอ แต่บางครั้งเมื่อแบคทีเรียลดลงเนื่องจากสาเหตุบางประการ เช่น การใช้ยาปฏิชีวนะ ก็อาจทำให้เชื้อราชนิดนี้เติบโต และมีการแพร่กระจายจนส่งผลให้เกิดการติดเชื้อราในช่องปากได้ อีกทั้งปัญหาการ ติดเชื้อราในปาก ยังอาจพบได้บ่อยในทารกที่ยังกินนมแม่ โดยเชื้อราช่องปากมักจะเติบโตได้ดีในที่อุ่น ชื้น และมีความหวาน ซึ่งก็คือ สภาพภายในช่องปากของทารกขณะที่กำลังดูดนมแม่นั่นเอง เนื่องจาก ภูมิคุ้มกันของทารกยังทำงานได้ไม่เต็มที่จึงทำให้ได้รับเชื้อและเกิดเป็นเชื้อราในปากขึ้น นอกจากนี้ หากทารกคลอดในขณะที่แม่เป็นเชื้อราในช่องคลอดก็อาจก่อให้เกิดเชื้อราในปากภายใน 2-3 สัปดาห์ หลังคลอดได้เช่นกัน สัญญาณที่บ่งบอกว่าแม่ติดเชื้อราในปาก สัญญาณทั่วไปของการติดเชื้อราในปากขณะให้นมลูกอาจมีดังนี้ เจ็บหัวนม โดยเฉพาะเวลาให้นมลูก หัวนมแตกบ่อย รักษาไม่หาย แม้จะเอาลูกเข้าเต้าถูกวิธีแล้วก็ตาม หัวนมเปลี่ยนสี เช่น สีซีดขึ้น แดงขึ้น ดูมันวาว รู้สึกแสบร้อนที่หัวนม โดยเฉพาะหลังให้นมเสร็จ และอาการอาจคงอยู่เป็นชั่วโมง รู้สึกคันที่บริเวณหัวนมหรือหัวนมไวต่อการสัมผัสเกินไป แค่ใส่เสื้อผ้าหลวม ๆ ก็ยังรู้สึกไม่สบายตัว คุณแม่อาจสังเกตเห็นอาการของการติดเชื้อราได้ที่หน้าอกข้างเดียว หรือสองข้างได้ แต่หากเป็นการติดเชื้อราในระยะแรกอาจยังไม่แสดงอาการใด […]


ความผิดปกติทางพัฒนาการและพฤติกรรม

อาการเจ็บป่วยทางจิตในเด็ก เป็นอย่างไร

อาการเจ็บป่วยทางจิตในเด็ก สังเกตได้ยากกว่าอาการเจ็บป่วยทางจิตในผู้ใหญ่ ทำให้เด็กหลาย ๆ คนควรที่จะได้รับการรักษา แต่กลับไม่ได้รับการรักษาเพราะสัญญาณและการแสดงออกในเด็กนั้นยากเกินกว่าที่จะสังเกตได้ ดังนั้น การเข้าใจหรือรับรู้ถึงสัญญาณเตือนในเด็กอาจช่วยให้คุณพ่อคุณแม่หาวิธีเยียวยาอาการเจ็บป่วยทางจิตในเด็กได้เร็วขึ้น [embed-health-tool-vaccination-tool] อาการเจ็บป่วยทางจิตในเด็ก มีอะไรบ้าง อาการเจ็บป่วยทางจิตในเด็กมีหลายประเภท คุณพ่อคุณแม่ควรหมั่นสังเกตพฤติกรรมของลูก ซึ่งมีดังต่อไปนี้ กลุ่มโรควิตกกังวล (Anxiety Disorder) โรคในกลุ่มนี้จะมี โรคย้ำคิดย้ำทำ (Obsessive-compulsive disorder หรือOCD) ภาวะความเครียดหลังได้รับการกระทบกระเทือนทางจิตใจ โรคหวาดกลัวการเข้าสังคม (Social Phobia) และโรควิตกกังวลทั่วไป (Generalised Anxiety Disorder, GAD) เด็กที่เป็นโรคในกลุ่มนี้จะมีปัญหาในการใช้ชีวิต และมีผลกระทบต่อการทำกิจกรรมต่าง ๆ โรคสมาธิสั้น โดยปกติจะมีปัญหาในการให้ความสนใจ โดยจะมีอาการซุกซน ไม่อยู่นิ่ง และมีพฤติกรรมหุนหันพลันแล่น เด็กที่เป็นโรคนี้บางรายอาจมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่บางรายอาจมีอาการทั้งหมดที่กล่าวมา กลุ่มอาการออทิสติก เป็นอาการรุนแรงที่พบได้ตั้งแต่แรกเกิด มักจะพบได้ก่อนอายุ 3 ขวบ ซึ่งจะมีการแสดงอาการที่หลากหลาย อีกทั้งโรคออทิสติกยังส่งผลกระทบต่อความสามารถในการสื่อสารและปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นอีกด้วย กลุ่มโรคพฤติกรรมการรับประทานอาหารผิดปกติ เป็นอาการที่อาจส่งผลให้มีการรับประทานอาหารเพิ่มมากขึ้นกว่าปกติจนน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นตามไปด้วย หรือเป็นอาการในรูปแบบของการเบื่ออาหารไปจนถึงอดอาหาร และในบางรายเป็นหนักจนกระทั่งพัฒนาไปสู่โรค Anorexia nervosa หรือโรคคลั่งผอม สัญญาณเตือน อาการป่วยทางจิตในเด็ก การเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ ให้สังเกตความรู้สึกเศร้า ท้อแท้ หรืออารมณ์ที่แปรปรวนอย่างรุนแรงของเด็ก ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างน้อย 2 […]


สุขภาพเด็ก

มะเร็งเม็ดเลือดขาวในเด็ก อาการ สาเหตุ วิธีรักษาและวิธีดูแล

มะเร็งเม็ดเลือดขาวในเด็ก (Childhood Leukemia) คือ ภาวะที่เซลล์เม็ดเลือดขาวที่ผิดปกติถูกสร้างขึ้นแต่ไม่สามารถทำหน้าที่ในการปกป้องร่างกายได้ เนื่องจากมีข้อบกพร่อง คำจำกัดความมะเร็งเม็ดเลือดขาวในเด็ก (Childhood Leukemia) คืออะไร คำว่า ลูคีเมีย (leukemia) หมายถึง มะเร็งในเซลล์เม็ดเลือดขาว (หรือเรียกอีกอย่างว่าลูโคไซต์ (leukocytes) หรือ white blood cells: WBCs) เมื่อเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว เซลล์เม็ดเลือดขาวที่ผิดปกติจำนวนมากจะถูกสร้างขึ้นมาจากไขกระดูก (bone marrow) เซลล์เม็ดเลือดขาวที่ผิดปกติเหล่านี้ จะรวมตัวกันที่ไขกระดูก และกระจายตัวไปในกระแสเลือด แต่ไม่สามารถทำหน้าที่ที่เหมาะสม ในการปกป้องร่างกายจากโรค เนื่องจากมีข้อบกพร่อง เมื่อมะเร็งเม็ดเลือดขาวมีอาการเพิ่มมากขึ้น มะเร็งจะเข้าแทรกแซงการสร้างเม็ดเลือดประเภทอื่นๆ ของร่างกาย ได้แก่ เซลล์เม็ดเลือดแดงและเกล็ดเลือด ส่งผลให้เกิดภาวะเลือดจาง (จำนวนเซลล์เม็ดเลือดแดงต่ำ) และภาวะเลือดออก นอกเหนือจากความเสี่ยงที่มากขึ้นในการติดเชื้อ ที่เกิดจากความผิดปกติของเซลล์เม็ดเลือดขาว (white cell abnormalities) โดยทั่วไปแล้ว โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวจำแนกได้เป็นชนิดฉับพลัน (เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว) และชนิดเรื้อรัง (เกิดขึ้นอย่างช้าๆ) โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวในเด็ก มักเป็นชนิดฉับพลัน โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวในเด็กชนิดฉับพลัน ยังแบ่งออกเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันชนิดลิมฟอยด์ (acute lymphoblastic leukemia: ALL) และมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันชนิดมัยอิลอยด์ (acute […]


สุขภาพเด็ก

เด็กอ้วน ส่งผลต่อสุขภาพของเด็กอย่างไรบ้าง

องค์กรอนามัยโลกให้ข้อมูลว่า เด็กในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีภาวะน้ำหนักเกินและเป็น เด็กอ้วน เพิ่มขึ้น 150% โดยมีเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีจำนวน 4.2 ล้านคนที่มีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน ซึ่งการเป็นโรคอ้วนสามารถส่งผลต่อสุขภาพของเด็กๆ คุณพ่อคุณแม่จึงควรดูแลสุขภาพของเด็ก โดยเฉพาะด้านโภชนาการ ให้เหมาะสม และให้เด็กออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรคอ้วน เด็กอ้วน ส่งผลต่อสุขภาพของเด็กอย่างไรบ้าง เด็กเป็นโรคอ้วน มีแนวโน้มว่าจะเป็นโรคอ้วนในวัยผู้ใหญ่ด้วย ซึ่งความอ้วนอาจเป็นสาเหตุของปัญหาสุขภาพกายและสุขภาพจิต นอกจากนี้ผู้ใหญ่ที่เป็นโรคอ้วนยังเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรคหัวใจ และโรคมะเร็งอีกหลายชนิดด้วย มากไปกว่านั้นเด็กที่เป็นโรคอ้วน สามารถโดนเพื่อนแกล้งหรือล้อมากกว่าเด็กที่มีน้ำหนักปกติ และเด็กอ้วนยังมีแนวโน้มที่จะปลีกตัวออกจากสังคม เป็นโรคซึมเศร้า รวมถึงมีความนับถือตนเองต่ำ ซึ่งอาจส่งผลกระทบไปจนถึงตอนที่โตเป็นผู้ใหญ่ และเด็กที่เป็นโรคอ้วนมีความเสี่ยงในการเป็นโรคเรื้อรังมากกว่า เช่น โรคหอบหืด ภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ กระดูกและข้อต่อมีปัญหา โรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรคหัวใจและหลอดเลือด ความดันโลหิตสูงและคอเลสเตอรอลสูง วิธีดูแลเมื่อ เด็กอ้วน กินอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ อาหารที่ดีต่อสุขภาพ อาหารครบ 5 หมู่ และอาหารไขมันต่ำ เป็นสิ่งที่เด็กๆ ต้องการและจะช่วยให้เด็กๆ มีนิสัยการกินที่ดี คุณพ่อคุณแม่ควรสอนให้เด็กๆ เห็นความสำคัญของการกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ และอาหารที่อุดมไปด้วยสารอาหารอย่างธัญพืชเต็มเมล็ด ผักและผลไม้ ผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากนมวัว พืชตระกูลถั่ว และเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ไม่ควรให้เด็กเข้าโปรแกรมลดน้ำหนัก เนื่องจากร่างกายของเด็กกำลังพัฒนา […]


ภาวะทุพโภชนาการ

เด็กกินน้ำตาลมากเกินไป ส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างไรบ้าง

เด็ก ๆ จะได้รับแคลอรี่จากการกินอาหาร เพื่อการเจริญเติบโตของร่างกาย สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ให้ เด็กกินน้ำตาลมากเกินไป อาจส่งผลทำให้มีปัญหาสุขภาพต่าง ๆ เช่น ขาดสารอาหาร ฟันผุ ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่จึงควรใส่ใจปริมาณน้ำตาลจากอาหารแต่ละมื้อที่เด็กกิน เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กได้รับน้ำตาลมากเกินความจำเป็นของร่างกาย เด็กกินน้ำตาลมากเกินไป ส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างไร สมาคมโรคหัวใจสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า เด็กที่อายุ 2-18 ปี ควรกินน้ำตาลไม่เกิน 25 กรัม หรือ 6 ช้อนชา เพื่อมีสุขภาพหัวใจที่ดี นอกจากนี้ สมาคมกุมารเวช ประกาศว่า เด็กที่อายุต่ำกว่า 1 ปี ไม่ควรดื่มน้ำผลไม้ และเด็กที่มีอายุมากกว่า 3 ปี อาจดื่มน้ำผลไม้ได้ไม่เกิน 118 มิลลิลิตร/วัน นอกจากนี้ การให้เด็กกินน้ำตาลมากเกินไปอาจส่งผลให้เกิดภาวะน้ำหนักเกิน และความอ้วน นอกจากนี้ ยังอาจทำให้เกิดโรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง โรคไขมันพอกตับ โรคเบาหวาน และอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ ดังต่อไปนี้ 1. อาจทำให้ขาดสารอาหาร คุณพ่อคุณแม่หลายคงอาจเข้าใจว่า การขาดสารอาหารเกิดจากการกินอาหารไม่เพียงพอ แต่ความจริงแล้ว การกินอาหารที่ไม่เพียงพอ และการกินอาหารที่มากเกินไปอาจทำให้ขาดสารอาหารได้ ดังนั้น เด็กที่น้ำหนักเกินก็อาจขาดสารอาหารได้เช่นกัน […]


ปัญหาระบบย่อยอาหารในเด็ก

เด็กแพ้แลคโตส สาเหตุ และวิธีการรับมือ

เด็กแพ้แลคโตส (Lactose Intolerance) คือภาวะที่ร่างกายของเด็กไม่สามารถย่อยแลคโตส ซึ่งเป็นน้ำตาลที่อยู่ในนมและผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมวัว เช่น ชีส โยเกิร์ต เนย ทำให้มีอาการท้องอืด ท้องเสีย ปวดท้อง และอาการเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารอื่น ๆ เมื่อรับประทานนมและผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมเข้าไป หากเด็กมีอาการแพ้แลคโตส ควรปรึกษาคุณหมอเพื่อหาวิธีการรับมือที่เหมาะสม [embed-health-tool-bmi] เด็กแพ้แลคโตส คืออะไร แพ้แลคโตส เกิดขึ้นเมื่อร่างกายไม่สามารถย่อยแลคโตสได้ เนื่องจากร่างกายขาดเอนไซม์แลคเตส (Lactase) ที่จะย่อยแลคโตสในลำไส้เล็ก โดยแลคโตส คือ น้ำตาลที่พบในนมหรือผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากนมวัว ถ้าเด็กแพ้แลคโตส พวกเขาอาจมีอาการบางอย่างหลังจากดื่มนม หรือผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากนมวัว โดยอาการเหล่านี้ ได้แก่ ท้องอืด ท้องเสีย มีแก๊สในกระเพาะ ปวดท้อง วิงเวียนศีรษะ ร่วมด้วยอาการอื่นๆ ที่เกี่ยวกับทางเดินอาหารที่สามารถปรากฏขึ้นได้ นอกจากนี้การแพ้แลคโตสจะแตกต่างกับการแพ้นม และต่างจากการแพ้โปรตีนในนมวัวด้วย ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ควรสังเกตลูกๆและติดตามพฤติกรรมการรับประทานอาหารของเด็กอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันอาการแพ้แลคโทสที่สามารถเกิดขึ้นได้ เด็กแพ้แลคโตส เกิดจากสาเหตุใด การแพ้แลคโตสสามารถเกิดขึ้นได้กับทั้งเด็กและผู้ใหญ่ โดยสามารถเกิดจากสาเหตุดังต่อไปนี้ การเป็นโรคหรือการติดเชื้อระบบย่อยอาหาร บาดเจ็บที่ลำไส้เล็ก คนในครอบครัวมีประวัติการแพ้แลคโตส กรณีนี้เมื่อเวลาผ่านไปจะทำให้ร่างกายสร้างเอนไซม์ย่อยแลคโตสน้อยลง โดยอาการจะเกิดขึ้น ในช่วงที่เป็นวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ เด็กที่คลอดก่อนกำหนด ซึ่งการแพ้แลคโตสจะเกิดขึ้นในเวลาสั้น ๆ และจะหายไปในที่สุด ผู้ที่มีความเสี่ยงที่จะแพ้แลคโตส การแพ้แลคโตสเป็นอาการที่พบบ่อยในชาวเอเชีย ชาวพื้นเมืองอเมริกัน ชาวแอฟริกัน-อเมริกัน และชาวลาตินอเมริกา โดยคนส่วนใหญ่ที่แพ้แลคโตสจะเป็นไปตลอดชีวิต แต่สำหรับเด็กบางคนการแพ้แลคโตสเป็นอาการชั่วคราว […]


วัคซีน

แพ้วัคซีน ในเด็ก คุณพ่อคุณแม่จะสังเกตได้อย่างไร

วัคซีน มีความสำคัญในการส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายให้ต่อสู้กับเชื้อโรค ไวรัส แบคทีเรีย ลดความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยรวมถึงโรคร้ายแรง ถึงแม้วัคซีนจะเป็นสิ่งจำเป็น แต่สำหรับบางคนอาจก่อให้เกิดอาการ แพ้วัคซีน หลังฉีดได้ โดยเฉพาะกลุ่มบุคคลที่มีอาการแพ้ต่อสิ่งต่าง ๆ ดังนั้น หลังจากที่คุณพ่อคุณแม่พาลูกเข้ารับการฉีดวัคซีนเรียบร้อยแล้ว ควรหมั่นสังเกตอาการผิดปกติที่อาจเกิดขึ้น และเข้าพบคุณหมอเพื่อทำการรักษาทันที [embed-health-tool-vaccination-tool] อาการแพ้วัคซีน อาการแพ้วัคซีนในระดับไม่รุนแรงอาจส่งผลให้มีอาการบวมแดงบริเวณที่ได้รับการฉีด มีผื่นขึ้นตามตัว และอาจมีไข้ระดับต่ำ แต่หากมีอาการแพ้อย่างรุนแรง อาจก่อให้เกิดอาการหลังฉีดภายในไม่กี่นาที และควรรับการรักษาจากคุณหมอทันที ดังนี้ หายใจหอบ หายใจถี่ วิงเวียนศีรษะ ไอ อาเจียน ระดับความดันโลหิตต่ำ ท้องเสีย หัวใจเต้นแรง เกิดลมพิษ ผิวซีด คอบวม ผู้ที่มีความเสี่ยง แพ้วัคซีน ผู้ป่วยที่มีประวัติการแพ้อาหารอาจมีความเสี่ยงสูงที่จะแพ้วัคซีน เนื่องจากวัคซีนบางชนิดอาจมีส่วนประกอบจากอาหารที่ทำให้แพ้ เช่น โปรตีนชนิดเดียวกับที่อยู่ในไข่ ดังนั้นหากมีประวัติการแพ้อาหาร ต่อไปนี้ ควรแจ้งให้คุณหมอทราบก่อนการฉีด กลุ่มคนที่แพ้ไข่ วัคซีนบางชนิดมีโปรตีนไข่ เช่น วัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ วัคซีนป้องกันโรคหัด โรคคางทูม และโรคหัดเยอรมัน รวมถึงวัคซีนที่ไม่ใช่วัคซีนพื้นฐาน อย่างวัคซีนป้องกันโรคไข้เหลือง และวัคซีนป้องกันโรคไข้ไทฟอยด์ กลุ่มคนที่แพ้เจลาติน หากแพ้เจลาติน ควรแจ้งให้คุณหมอทราบก่อนฉีดวัคซีน เพราะมีวัคซีนหลายชนิดที่มีส่วนผสมของเจลาติน เช่น วัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ วัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส วัคซีนป้องกันโรคหัด […]

ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา

กำลังมองหาเรื่องราวในการเลี้ยงดูบุตรใช่หรือไม่?

เข้าร่วมชุมชนการเลี้ยงดูบุตรและแลกเปลี่ยนข้อมูลกับคุณแม่และคุณพ่อคนอื่น ๆ เข้าร่วมชุมชนได้เลย!





ad iconโฆษณา

ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของเรา

ทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของ Hello คุณหมอ ประกอบไปด้วยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มาร่วมสร้างสรรค์บทความในเว็บไซต์ของเราตามความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญของเราจะช่วยรับรองว่าข้อมูลด้านสุขภาพของเราถูกต้อง เป็นปัจจุบัน และตรงตามหลักฐานจากงานวิจัยล่าสุด
ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรามุ่งมั่นเต็มที่ในการช่วยให้คุณได้รับข้อมูลและความรู้ด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือ เข้าใจง่าย และเป็นประโยชน์ และพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพกับคุณเสมอ เพื่อให้คุณได้รับทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น

ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ชุมชน