พ่อแม่เลี้ยงลูก

ในทุกช่วงชีวิตของลูกน้อย เหล่าคุณพ่อคุณแม่จำเป็นที่จะต้องรู้วิธีดูแลและสนับสนุนสุขภาพโดยรวมของลูกน้อย เพื่อให้ความเป็นอยู่ของลูกน้อยดีขึ้น เพราะฉะนั้นใน พ่อแม่เลี้ยงลูก คุณจะได้พบกับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ รวมถึงเคล็ดลับในการดูแลลูกให้แข็งแรง มีความสุข และสามารถปรับตัวได้ในทุกสถานการณ์

เรื่องเด่นประจำหมวด

พ่อแม่เลี้ยงลูก

โปลิโอ เป็นแล้วรักษาไม่หาย แต่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน

โปลิโอ หรือที่รู้จักกันในชื่อ ไข้ไขสันหลังอักเสบ เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากไวรัสโปลิโอ (Poliovirus) ซึ่งเคยส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพของมนุษย์ในอดีต โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กเล็ก แม้ว่าในปัจจุบันโรคนี้จะลดลงอย่างมากเนื่องจากการพัฒนาวัคซีน แต่ความตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคและการป้องกันยังคงมีความสำคัญ [embed-health-tool-vaccination-tool] โปลิโอ คืออะไร โรคโปลิโอเกิดจากเชื้อไวรัสในตระกูล Picornavirus โดยไวรัสนี้แบ่งเป็น 3 สายพันธุ์หลัก ได้แก่ PV1, PV2 และ PV3 ซึ่งไวรัสสามารถเข้าสู่ร่างกายผ่านการบริโภคน้ำหรืออาหารที่ปนเปื้อน รวมถึงการสัมผัสกับผู้ติดเชื้อโดยตรง เมื่อไวรัสเข้าสู่ร่างกาย มันจะแพร่กระจายในลำไส้และระบบประสาทส่วนกลาง ทำลายเซลล์ประสาทที่ควบคุมการเคลื่อนไหว ส่งผลให้เกิดภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรงหรืออัมพาต การแพร่กระจายของโรค โรคโปลิโอแพร่กระจายได้ง่ายในพื้นที่ที่มีการสุขาภิบาลไม่ดี โดยเชื้อไวรัสจะถูกขับออกจากร่างกายผู้ติดเชื้อผ่านทางอุจจาระ แล้วปนเปื้อนในน้ำหรืออาหาร นอกจากนี้ การสัมผัสใกล้ชิด เช่น การสัมผัสมือหรือของใช้ส่วนตัวที่มีเชื้อไวรัสอยู่ ก็เป็นอีกเส้นทางที่โรคสามารถแพร่กระจายได้ กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงคือเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี และผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนครบถ้วน อาการของโรคโปลิโอ โรคโปลิโอมีลักษณะอาการหลากหลาย ตั้งแต่ไม่มีอาการไปจนถึงอัมพาตรุนแรง ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ (70-90%) ไม่มีอาการ แต่สามารถแพร่เชื้อได้ อาการเบื้องต้น รวมถึงไข้ต่ำ อ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อ และคลื่นไส้ อาการรุนแรง ได้แก่ อัมพาตของแขนขา หรือในบางกรณีเชื้อไวรัสอาจทำลายระบบประสาทที่ควบคุมการหายใจ ส่งผลให้เสียชีวิต สำหรับบางคนที่เคยติดเชื้อ อาจเกิดภาวะ กลุ่มอาการหลังโปลิโอ (Post-Polio Syndrome) ในระยะเวลาหลายปีหลังจากการติดเชื้อ ซึ่งทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงและปวดกล้ามเนื้อ การป้องกันด้วยวัคซีน ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาโรคโปลิโอเฉพาะเจาะจง การป้องกันที่ดีที่สุดคือการรับวัคซีน […]

หมวดหมู่ พ่อแม่เลี้ยงลูก เพิ่มเติม

สำรวจ พ่อแม่เลี้ยงลูก

สุขภาพเด็ก

ดูแลสุขภาพฟันลูก ควรเริ่มต้นเมื่อไหร่ และทำอย่างไรดี

การ ดูแลสุขภาพฟัน ตั้งแต่ลูกอายุยังน้อย สามารถช่วยป้องกันไม่ให้ลูกมีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพช่องปากได้ในภายหลัง การเรียนรู้เกี่ยวกับวิธีการดูแลสุขภาพฟันของลูกที่ถูกต้อง จึงถือเป็นเรื่องสำคัญที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรละเลย อย่างไรก็ตาม หากไม่แน่ใจว่าควรดูแลสุขภาพฟันลูกอย่างไร หรือหากพบความผิดปกติเกี่ยวกับสุขภาพช่องปากของลูก ควรเข้าพบคุณหมอเพื่อขอคำปรึกษา และเข้ารับการรักษาที่เหมาะสมอย่างทันท่วงที พ่อแม่ควรเริ่ม ดูแลสุขภาพฟัน ของลูกเมื่อใด การดูแลสุขอนามัยทางช่องปากที่ดี อาจต้องเริ่มตั้งแต่ก่อนที่ฟันซี่แรกของลูกจะขึ้น โดยปกติแล้ว ฟันของทารกในครรภ์จะเริ่มก่อตัวขึ้นตั้งแต่ในช่วงตั้งครรภ์ไตรมาสที่ 2 และตอนคลอด เด็กทารกแรกเกิดจะมีฟันอยู่แล้วประมาณ 20 ซี่ ฟันบางซี่อาจโผล่พ้นเหงือกให้เห็นได้บ้าง ในขณะที่บางซี่ก็ยังอยู่ใต้ขากรรไกร ยังไม่โผล่พ้นเหงือก วิธีดูแลสุขภาพฟันให้ลูกที่เหมาะสม อาจมีดังนี้ ทำความสะอาดเหงือกให้ลูก โดยใช้ผ้าเนื้อนุ่มชุบน้ำอุ่น จากนั้นเช็ดเหงือกเบา ๆ เพื่อกำจัดสิ่งสกปรก สิ่งแปลกปลอม หรือเชื้อแบคทีเรีย ที่อาจส่งผลให้มีปัญหาสุขภาพช่องปากได้ หากฟันของลูกขึ้นแล้ว สามารถทำความสะอาดฟันและเหงือกให้ลูกด้วยแปรงสีฟันขนอ่อนนุ่มสำหรับเด็ก หากฟันของลูกขึ้นหลายซี่แล้ว หลังแปรงฟันให้ลูก สามารถใช้ไหมขัดฟันได้ เพื่อทำความสะอาดสิ่งสกปรกที่อาจตกค้างอยู่ตามซอกฟัน เมื่อลูกอายุประมาณ 2 ขวบ ควรหัดให้ลูกบ้วนปากหลังแปรงฟัน เมื่อลูกอายุเกิน 3 ขวบ สามารถใช้ยาสีฟันได้ในปริมาณเท่าเมลํดถั่ว หากลูกอายุต่ำกว่า 6 ขวบ ควรดูแลระหว่างแปรงฟันอย่างใกล้ชิด เพราะลูกอาจแปรงฟันไม่ทั่วถึงและไม่สะอาดพอ ปัญหาสุขภาพฟันเด็กที่พบได้บ่อย ปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพช่องปากและฟันของลูกที่พบได้บ่อย อาจมีดังนี้ ฟันผุ หากทำความสะอาดฟันและช่องปากไม่ถูกวิธี อาจทำให้มีแบคทีเรียสะสมอยู่ในช่องปาก แบคทีเรียเหล่านี้กินน้ำตาลจากอาหารและเครื่องดื่มเป็นอาหาร […]


การเติบโตและพัฒนาการ

เทคนิค ลงโทษลูก แต่ละวัยอย่างเข้าใจ และไม่ทำร้ายจิตใจเด็ก

เมื่อลูกทำผิดพลาด พ่อแม่หลายคนอาจไม่ทราบว่าจะ ลงโทษลูก อย่างไรที่ทำให้เขาเรียนรู้ แต่ไม่กระทบกระเทือนจิตใจจนกลายเป็นปัญหา ควรศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับการลงโทษเมื่อลูกทำผิด หรือวิธีรับมือต่าง ๆ ในแต่ละช่วงวัย เพื่อหลีกเลี่ยงการสร้างปมปัญหาในใจให้กับลูกน้อย [embed-health-tool-bmi] ลงโทษลูก ในแต่ละช่วงวัยอย่างไรดี เด็กในแต่ละช่วงวัยมีพัฒนาการและการรับรู้ต่างกัน การจะสื่อสารให้เด็กเข้าใจในสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่พยายามจะบอก อาจต้องใช้วิธีที่ต่างกันออกไป ต่อไปนี้คือวิธีสื่อสารให้เด็กในแต่ละวัยเข้าใจว่าพวกเขาทำผิดอย่างง่าย ๆ เพื่อเสริมสร้างพฤติกรรมที่ดีของเด็กตั้งแต่ช่วง 3 ปีแรก ช่วงแรกเกิดจนถึง 8 เดือน เมื่อลูกยังเป็นทารก คุณพ่อคุณแม่อาจเริ่มจากการตั้งข้อจำกัด สนับสนุนให้ลูกมีพฤติกรรมที่ดี และไม่สนับสนุนพฤติกรรมที่ไม่มีเหตุผล เนื่องจากเด็กเล็กยังมีขีดจำกัดทางการทำความเข้าใจด้านภาษา อีกทั้งสภาพแวดล้อมก็ยังไม่มีบทบาทมากนัก ดังนั้น วิธีหลักที่ควรใช้กับเด็กในช่วงวัยนี้มีอยู่ 2 วิธี ง่ายๆ ได้แก่ เบี่ยงเบนความสนใจ การเบี่ยงเบนความสนใจเมื่อลูกทำผิด อาจใช้วิธีนี้เมื่อต้องการให้ลูกเปลี่ยนพฤติกรรมไปสู่พฤติกรรมที่ดีกว่า การเพิกเฉย คือการไม่ให้ความสนใจกับสิ่งที่ลูกทำอยู่ ช่วงอายุ 8 ถึง 12 เดือน ในช่วงอายุ 8 เดือน เด็กจะเริ่มคลาน เด็กในวัยนี้ต้องการเรียนรู้โลกรอบตัว เช่น การคลานไปใต้โต๊ะ หรือเข้าไปใต้อ่างล้างจานโดยไม่รู้ว่ามีอันตรายหรือไม่ ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับเด็ก อาจวางของที่อาจทำให้เด็กบาดเจ็บให้พ้นมือเด็ก และวางของเล่นที่เขาชอบไว้ใกล้ตัวเด็กแทน ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าวิธีการนี้เป็นวิธีที่ดี รวมถึงอาจใช้เทคนิคการใช้เสียงดังเมื่อเด็กจับของสิ่งใดที่อาจเป็นอันตราย ด้วยการร้องออกมาดัง ๆ เพื่อเป็นการเตือนเพื่อให้เด็กหันมาสนใจและรู้สึกกลัว […]


โรคเด็กและอาการทั่วไป

เด็กเป็นหวัดบ่อยกว่าผู้ใหญ่ เกิดจากสาเหตุใด

ไข้หวัด เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสที่ติดได้จากการหายใจ ส่งผลต่อคนทุกวัย แต่จากผลของค่าสถิตินั้น พบว่า เด็กมีโอกาสที่จะติดเชื้อหวัด ได้ง่ายกว่าผู้ใหญ่ คุณพ่อคุณแม่สามารถสังเกตสัญญาณเตือนของโรคหวัดได้จากอาการ ปวดหัว ไข้สูง น้ำมูกไหล คัดจมูก และจาม หากพ่อแม่พบว่า เด็กเป็นหวัดบ่อย ควรเรียนรู้วิธีการป้องกัน และวิธีการจัดการกับโรคได้ดังต่อไปนี้ สาเหตุที่ทำให้ เด็กเป็นหวัดบ่อย คืออะไร ไข้หวัดเป็นการติดเชื้อทางระบบทางเดินหายใจที่เกิดจากเชื้อไวรัสหนึ่งชนิดหรือมากกว่า เชื้อไวรัสพวกนี้จะเข้าไปในจมูกและเพดานปากและมีอัตราการติดเชื้อสูงกว่าเชื้อโรคทุกประเภท เชื้อไวรัสเหล่านี้มักเข้าสู่ร่างกายทางปากหรือจมูกของทารกจากหลายแหล่ง ได้แก่ ทางอากาศ เมื่อมีคนไอ จาม หรือพูดคุย พวกเขาอาจจะแพร่เชื้อไวรัสสู่เด็กและทารกได้โดยตรง การสัมผัสเชื้อโดยตรง เช่น การกอด การจูบ เชื้อไวรัสสามารถแพร่ได้เมื่อมีการสัมผัสทารก การจูบที่หน้าหรือมือของทารก จะทำให้เด็กมีโอกาสติดเชื้อได้ เมื่อเอามือเข้าปากหรือขยี้ตา จากวัตถุที่ปนเปื้อน เชื้อไวรัสบางชนิดสามารถติดอยู่ที่วัตถุได้ตั้งแต่สองถึงสี่ชั่วโมง เด็กจะติดเชื้อจากไวรัสโดยการสัมผัสวัตถุต่างๆ เช่น ของเล่น อาการของโรคหวัดในเด็ก คัดจมูกหรือน้ำมูกไหล น้ำมูกข้นและเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือเขียว มีไข้สูง (ประมาณ 37.80 องศาเซลเซียส) จาม ไอ เบื่ออาหาร ระคายเคืองและนอนไม่หลับ ระบบภูมิคุ้มกันของทารกต้องใช้เวลาในการต่อต้านโรคหวัด หากเด็กทารกติดหวัดโดยไม่มีอาการแทรกซ้อน ควรได้รับการรักษาภายใน 7 ถึง 10 […]


พ่อแม่เลี้ยงลูก

เด็กดื่มน้ำ มากแค่ไหน ถึงจะเพียงพอและเหมาะสม

การดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวันเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะในเด็ก ๆ ด้วยแล้ว ปริมาณน้ำที่ดื่มต้องเหมาะสม เนื่องจากมีบางกรณีที่ เด็กดื่มน้ำ ปริมาณมากเกินไป จนไม่ยอมกินอาหารหลัก ส่งผลทำให้เด็กได้รับสารอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตไม่เพียงพอ วิธีการเบื้องต้นที่แนะนำคือ ควรให้เด็กกินอาหารมื้อหลักก่อนที่จะให้ดื่มน้ำ ซึ่งก็อาจมีคำถามตามมาว่า เด็กดื่มน้ำมากแค่ไหน ถึงจะเรียกว่าพอดี โดยปกติแล้ว เด็กควรได้รับน้ำปริมาณ 4-6 ถ้วยต่อวัน โดยวิธีการต่อไปนี้  จะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่สามารถช่วยให้ลูกๆ ได้รับปริมาณน้ำที่เพียงพอและเหมาะสมในแต่ละวัน ตามหลักโภชนาการ [embed-health-tool-vaccination-tool] วิธีดูแลให้ เด็กดื่มน้ำ อย่างเพียงพอในแต่ละวัน ฝึกให้เด็กดื่มน้ำจากแก้ว การดื่มน้ำจากแก้วอาจทำได้ง่าย จึงทำให้เด็กดื่มน้ำบ่อยขึ้น ดังนั้น อาจลองเปลี่ยนภาชนะใส่น้ำอื่น ๆ มาเป็นแก้ว โดยการใส่นม น้ำ หรือเครื่องดื่มผลไม้ลงในแก้วทีละน้อย และให้เด็กดื่มระหว่างกินอาหารหรือขนม ซึ่งการดื่มจากแก้วถือเป็นประสบการณ์การเรียนรู้ เพื่อเสริมสร้างพัฒนาการของเด็กได้อีกทางหนึ่งด้วย แบ่งปริมาณการดื่ม ประเภทเครื่องดื่มที่เด็กดื่มสำคัญพอ ๆ กับปริมาณเครื่องดื่ม เด็กที่กำลังโตต้องการกินนม 2-3 ครั้ง ในปริมาณ 2 ใน 3 ของถ้วยตวง/ 1 ถ้วย/วัน ซึ่งยังเหลือปริมาณที่สามารถดื่มเครื่องดื่มอื่น ๆ ได้อีก  2-3 ถ้วย และอาจเพิ่มปริมาณได้หากสภาพอากาศร้อน โดยคุณพ่อคุณแม่อาจผสมการดื่มของเด็ก […]


โภชนาการเด็กวัยเรียน

ลูกกินกาแฟ ส่งผลอย่างไรต่อสุขภาพ

กาแฟ คือ เครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในผู้ใหญ่วัยทำงาน เนื่องจากมีสารคาเฟอีนที่ช่วยทำให้ร่างกายตื่นตัว อย่างไรก็ตาม คาเฟอีนอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพของลูกได้ ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่จึงควรศึกษาผลกระทบต่อสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นหากให้ ลูกกินกาแฟ เพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพของลูกที่อาจเกิดขึ้นในภายหลัง [embed-health-tool-vaccination-tool] ลูกกินกาแฟ ส่งผลอย่างไรต่อสุขภาพ นอนไม่หลับ  เด็กที่มีอายุตั้งแต่ 5 ถึง 12 ปี จำเป็นต้องนอนหลับอย่างน้อย 11 ชั่วโมง ส่วนในช่วงวัยรุ่น ควรนอนหลับอย่างน้อย 10 ชั่วโมงต่อวัน แต่เด็กส่วนน้อยในปัจจุบันสามารถนอนหลับได้อย่างเพียงพอ เนื่องจาตารางเวลาที่แน่นไปด้วยกิจกรรมต่างๆ ที่ได้รับการจัดการโดยคุณพ่อคุณแม่  ทำให้เด็กส่วนใหญ่ในปัจจุบันเกิดภาวะนอนหลับไม่เพียงพอ และทำให้เกิดเด็กหันไปดื่มกาแฟเพื่อเพิ่มพลังงานจากการนอนไม่พอ ด้วยวงจรการนอนหลับที่ไม่เพียงพอและการต้องพึ่งพาการดื่มกาแฟนี่เอง ที่เป็นตัวการสำคัญในการทำลายนาฬิกาชีวิตและทำให้เด็กนอนหลับได้ยากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีหลักฐานที่ระบุด้วยว่าหากเด็กที่มีอาการวิตกกังวล ผลจากคาเฟอีนจะทำให้อาการรุนแรงขึ้นด้วย ปัสสาวะบ่อย กาแฟออกฤทธิ์คล้ายเป็นยาขับปัสสาวะ กระตุ้นการผลิตปัสสาวะ นอกจากนี้ ยังพบรายงานจากงานวิจัยบางแห่งที่ระบุถึงการสูญเสีย แคลเซียม จากร่างกายออกทางปัสสาวะหลังการดื่มกาแฟอีกด้วย โดยปริมาณคาเฟอีน 100 มิลลิกรัมที่ได้รับเข้าสู่ร่างกาย จะทำให้แคลเซียมถูกขับออก 6 มิลลิกรัม ซึ่งสำหรับเด็กนั้น แคลเซียมจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของกระดูก หากได้รับไม่เพียงพอก็อาจมีผลกระทบต่อความแข็งแรงของกระดูกได้ สมาธิสั้น กาแฟ ส่งผลให้เด็กตื่นตัวตลอดเวลา มากกว่าอาการตื่นตัวกาแฟยังทำให้เด็กมีสมาธิสั้น ในขณะที่ผู้ใหญ่ได้ประโยชน์จากสารกระตุ้นในกาแฟที่เพิ่มพลังงานและการตื่นตัว หรือที่เราเรียกกันว่า คาเฟอีน แต่สำหรับเด็นนั้นการได้รับ คาเฟอีน อาจมากเกินไปยาวนานหลายชั่วโมง […]


สุขภาพเด็ก

ตาขี้เกียจ โรคพบบ่อยในเด็ก กับสาเหตุและอาการที่ควรรู้

ตาขี้เกียจ (Amblyopia) เป็นโรคทางจักษุที่เกิดขึ้นเมื่อดวงตาลดการทำงานในการมองเห็นอย่างรุนแรง ในช่วงวัยทารกและวัยเด็ก แว่นตาหรือคอนเทคเลนส์อาจไม่สามารถแก้ไขอาการดังกล่าวได้ ในบางรายผู้ป่วยอาจได้รับผลกระทบทางสายตาเพียงข้างเดียว หรือการมองเห็นลดลงอาจเกิดขึ้นกับดวงตาทั้ง 2 ข้าง หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ทำการรักษา อาการตาขี้เกียจอาจก่อให้เกิดอาการตาบอดได้ [embed-health-tool-vaccination-tool] สัญญาณโรค ตาขี้เกียจ เป็นอย่างไร โรคตาขี้เกียจเป็นปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในทารกและเด็กวัยเจริญเติบโต ซึ่งกำลังมีพัฒนาการด้านการมองเห็น โดยอาการของโรคยากที่จะสังเกตเห็น เด็กที่มีอาการของโรคตาขี้เกียจอาจไม่รู้สึกว่ามีปัญหาการมองเห็น เพราะเคยชินกับการใช้งานสายตาในข้างที่ดีกว่า โดยไม่รู้สึกถึงว่าสายตาอีกข้างที่อ่อนแอกว่านั้นเป็นปัญหา คุณพ่อคุณแม่อาจสังเกตเห็นปัญหา หากพบว่าเด็กหรี่ตาหรือเอียงคอ เพื่อทำให้มองเห็นได้ชัดเจนขึ้นอยู่บ่อยครั้ง หรือในเด็กหลายคนอาจมีปัญหาในการมองเห็นภาพสามมิติ ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่อาจลองทำการทดสอบง่าย ๆ ด้วยการปิดตาข้างหนึ่งและเปิดตาข้างหนึ่งของเด็กทีละข้าง และลองถามเด็กว่า ดวงตาแต่ละข้างสามารถมองเห็นได้ชัดเจนดีหรือไม่ เพื่อดูว่าเด็กไม่มีปัญหาเมื่อปิดตาข้างใดข้างหนึ่ง หากพบว่าเด็กรู้สึกมองเห็นได้ไม่สะดวกด้วยตาข้างใดข้างหนึ่ง นั่นหมายความว่า ดวงตาข้างที่ไม่ได้ปิดตานั้นมีอาการของโรคตาขี้เกียจ อย่างไรก็ตาม นี่เป็นทดสอบอาการขั้นพื้นฐาน ไม่อาจทดแทนการตรวจสอบสายตาจากผู้เชี่ยวชาญได้ ในกรณีที่เด็กมีอาการ คุณพ่อคุณแม่ควรนัดหมายเพื่อเข้ารับการตรวจสายตาอย่างละเอียดจากผู้เชี่ยวชาญทันที สาเหตุของโรคตาขี้เกียจ โรคตาขี้เกียจอาจเกิดขึ้นเมื่อดวงตาข้างหนึ่งสามารถมองเห็นได้ชัดเจนกว่าดวงตาอีกข้างหนึ่ง ซึ่งสาเหตุอาจแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท ดังนี้  เกิดจากตาเหล่ (Strabismic Amblyopia) อาจพบได้บ่อยและเป็นสาเหตุหลักของโรคตาขี้เกียจ โดยดวงตาไม่สามารถทำงานสอดประสานกันได้ดี ทำให้มองเห็นภาพซ้อนและอาจทำให้สมองละเลยภาพจากดวงตาข้างมีปัญหา สายตาข้างใดข้างหนึ่งมีปัญหา (Refractive Amblyopia) บางครั้งดวงตาของผู้ที่มีอาการตาขี้เกียจนั้นก็ปกติดี แต่ในบางกรณี อาการตาขี้เกียจอาจเกิดจากการที่สายตามีความผิดปกติในดวงตาทั้ง 2 ข้าง สมองจะเลือกใช้ตาข้างที่มีความผิดปกติทางสายตาที่น้อยกว่า และละเลยภาพที่ไม่ชัดเจนจากสายตาอีกข้างหนึ่ง […]


การเติบโตและพัฒนาการ

5 เทคนิคสอนลูกให้เข้าใจและรับมือกับ ความผิดหวัง

เมื่อลูกเติบโตขึ้น พวกเขาต้องประสบกับ ความผิดหวัง ต่างๆ ในชีวิต ผู้เป็นพ่อแม่อาจรู้สึกทุกข์เมื่อเห็นลูกประสบกับความผิดหวัง อย่างไรก็ตาม การปล่อยให้ลูกรับมือกับความผิดหวังด้วยตนเองเป็นวิธีการที่ดี เพื่อให้เขาได้เรียนรู้วิธีการกลับมายืนหยัดอีกครั้ง หน้าที่ของคุณพ่อคุณแม่ก็เพียงแค่คอยดูแล และคอยประคับประคอง เมื่อพวกเขาต้องการคำแนะนำ หรือต้องการความช่วยเหลือในการแก้ปัญหา วิธีสอนลูกให้เข้าใจและยอมรับ ความผิดหวัง ต้องทำอย่างไร 1. สอนลูกถึงวิธีเลือกที่จะมีความสุข ในบางครั้ง สิ่งต่างๆ ก็ไม่ได้เป็นไปตามที่ลูกต้องการเสมอไป  ในฐานะพ่อแม่ ควรสอนให้ลูกรู้จักรับมือกับความผิดหวังที่เกิดขึ้น พ่อแม่ควรสอนลูกถึงทักษะใหม่ๆ เมื่อลูกไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ วิธีนี้ทำให้ลูกรู้จักรับผิดชอบกับความรู้สึกของตนเองและช่วยให้เขาเลือกที่จะมีความสุข ตัวอย่างเช่น เมื่อลูกไปงานวันเกิดของเพื่อนและเขาดูเศร้าเมื่อกลับมาถึงบ้าน คุณอาจถามลูกถึงงานเลี้ยงว่าลูกชอบส่วนใดมากที่สุด แทนการถามถึงสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกไม่ดี สิ่งนี้จะทำให้เขามองด้านดีของสิ่งต่างๆ แทน 2. แสดงความเห็นใจกับความผิดหวังของลูก เมื่อลูกรู้สึกเสียใจ สิ่งสำคัญคือคุณควรนั่งลงเพื่อพูดคุยกับลูก อาจเริ่มจากการแสดงความเห็นใจต่อลูก เพื่อให้ลูกทราบว่าคุณห่วงใยความรู้สึกของเขามาก คุณอาจยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความผิดหวังที่คล้ายคลึงกับสิ่งที่ลูกกำลังประสบอยู่ เพื่อให้เขารู้ว่าเขาไม่ได้เผชิญกับเหตุการณ์ตามลำพัง และมองว่าความผิดหวังเป็นเรื่องปกติของชีวิต นอกจากนี้ ควรสอนลูกถึงวิธีการตอบสนองต่อความผิดพลาด และสิ่งที่ควรเรียนรู้จากประสบการณ์ครั้งนั้นด้วย 3. สอนเทคนิคการควบคุมอารมณ์ด้วยตนเองแก่ลูก คุณอาจสอนลูกถึงวิธีการจัดการกับอารมณ์ด้วยตนเองดังต่อไปนี้ วิธีการเกี่ยวกับร่างกาย เช่น การหายใจเข้าลึก การวิ่ง การกระโดด สามารถช่วยให้เด็กปลดปล่อยพลังงานเมื่อเขารู้สึกผิดหวัง วิธีการเกี่ยวกับการรับฟังและคำพูด เช่น การฟังเพลง หรือพูดคุยกับใครสักคนจะช่วยให้เขาสงบลง และหวนกลับมาคิดอย่างถี่ถ้วน เมื่อพวกเขาต้องการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น วิธีการทางการมองเห็น เช่น การออกไปข้างนอก […]


เด็กทารก

ประโยชน์ของการฝึกให้ทารกว่ายน้ำ

การฝึกให้ทารกว่ายน้ำ อาจมีผลดีต่อพัฒนาการทางด้านความคิดความเข้าใจ การทรงตัว เสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง และอาจช่วยสร้างความมั่นใจให้ทารกได้ นอกจากนี้ ยังอาจสามารถช่วยลดความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุจากการจมน้ำได้ อย่างไรก็ตาม การฝึกสอนทารกว่ายน้ำควรทำอย่างถูกต้องและเหมาะสม ไม่ควรปล่อยให้เด็กฝึกเองตามลำพัง เนื่องจากอาจเป็นอันตรายได้ [embed-health-tool-bmr] ทารกว่ายน้ำมีประโยชน์อย่างไร ประโยชน์ที่ทารกอาจได้รับจากการว่ายน้ำ มีดังนี้ ช่วยพัฒนาความคิดความเข้าใจ (Cognitive functioning) การเคลื่อนไหวร่างกายซ้ายขวาพร้อมกันทั้งสองซีกทำให้สมองของทารกเจริญเติบโตขึ้น ทั้งยังช่วยสร้างเซลล์ประสาทสั่งการในสมองทุกส่วน โดยเฉพาะส่วนคอร์ปัส แคลโลซัม (Corpus Callosum) ที่ทำหน้าที่กระตุ้นการสื่อสาร การตอบสนอง และการสับเปลี่ยนหน้าที่ระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา จึงช่วยพัฒนาทักษะการอ่าน พัฒนาการด้านภาษา ทักษะการเรียน ทักษะด้านการรับรู้มิติสัมพันธ์ (spatial awareness) ช่วยเสริมสร้างความมั่นใจในตัวเอง โดยปกติแล้ว คลาสสอนว่ายน้ำสำหรับทารกส่วนใหญ่จะผสมผสานกิจกรรมร้อง เล่น และกิจกรรมที่ช่วยเสริมสร้างปฏิสัมพันธ์กับคุณพ่อคุณแม่หรือผู้ดูแล ทำให้ทารกได้เรียนรู้การอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่ม รวมไปถึงทักษะใหม่ๆ ที่อาจช่วยให้ทารกเริ่มเกิดความภาคภูมิใจในตัวเอง หรือเห็นคุณค่าในตัวเองได้ โดยงานวิจัยในปี 2010 ชิ้นหนึ่งพบว่า เด็กอายุ 4 ปีที่เคยเรียนว่ายน้ำ ตั้งแต่อายุ 2 เดือนถึง 4 ปี มีความมั่นใจในตัวเอง รู้จักพึ่งพาตนเอง และปรับตัวเข้ากับสถานการณ์หรือสภาพแวดล้อมใหม่ ได้ดีกว่าเด็กที่ไม่เคยเรียนว่ายน้ำ ทารกว่ายน้ำ ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรง การฝึกว่ายน้ำและลอยตัวในน้ำเป็นการออกกำลังกายที่ช่วยพัฒนาระบบกล้ามเนื้อสำคัญของทารก เนื่องจากทารกต้องควบคุมศีรษะไม่ให้จมน้ำ ต้องเคลื่อนไหวแขนขา และควบคุมกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวให้ประสานกับอวัยวะส่วนที่เหลือ ทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรงและพัฒนาการควบคุมกล้ามเนื้อได้ดีขึ้น […]


ปัญหาระบบย่อยอาหารในเด็ก

อาการกรดไหลย้อนในเด็ก และการรักษาที่คุณพ่อคุณแม่ควรรู้

อาการกรดไหลย้อนในเด็ก เกิดจากหูรูดของหลอดอาหารส่วนปลายทำงานผิดปกติ ทำให้น้ำย่อยภายในกระเพาะอาหารไหลย้อนกลับขึ้นมาทางหลอดอาหาร ส่งผลให้เด็กสะอึกหรืออาเจียนบ่อย ทั้งนี้ หากเกิดขึ้นในเด็กเล็ก อาการเหล่านี้มักหายไปได้เองหลังจากขวบปีแรก [embed-health-tool-bmi] สาเหตุ อาการกรดไหลย้อนในเด็ก สาเหตุ อาการกรดไหลย้อนในเด็ก เกิดจากระบบย่อยอาหารของเด็กเล็กยังทำงานได้ไม่เต็มที่ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องเป็นกังวลจนเกินไปนัก โดยปกติ อาการกรดไหลย้อนในเด็ก มักหายไปได้เองหลังจากขวบปีแรก สำหรับเด็กโต กรดไหลย้อนอาจเกิดขึ้นได้จากระบบกล้ามเนื้อปิดเปิดระหว่างกระเพาะและหลอดอาหารมีแรงดันมาจากด้านล่างของกล้ามเนื้อที่เปิดปิดบ่อยเกินไป ทำให้กรดในกระเพาะอาหารดันขึ้นมาในหลอดอาหาร ส่งผลให้ลูกอาเจียนหรือคลื่นไส้บ่อยครั้ง หากปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหารและการใช้ชีวิต อาจช่วยป้องกันอาการดังกล่าวได้  อาการกรดไหลย้อนในเด็ก  อาการกรดไหลย้อนในเด็ก อาจสังเกตได้จากลักษณะต่าง ๆ ดังนี้ สำลักอาหาร หายใจเสียงดังฮืด อาเจียนบ่อย ไอเรื้อรัง เรอ มีกลิ่นปาก เบื่ออาหารหรือมีปัญหาการรับประทาน ร้องไห้ระหว่างมื้ออาหารหรือหลังรับประทานอาหาร แสบร้อนบริเวณทรวงอก มีแก๊ส รู้สึกแน่นในท้อง หรือปวดเสียดท้อง การวินิจฉัย อาการกรดไหลย้อนในเด็ก คุณหมออาจวินิจฉัย อาการกรดไหลย้อนในเด็ก ด้วยวิธีต่าง ๆ ดังนี้ ตรวจทางเดินอาหาร ด้วยการเอกซเรย์และให้เด็กรับประทานของเหลว ซึ่งของเหลวที่ลงไปในกระเพาะทำให้คุณหมออาจทราบกระบวนการกลืนอาหาร ทางเดินอาหารว่าติดขัดส่วนใดหรือไม่ ทดสอบความเป็นกรดในกระเพาะอาหาร คุณหมออาจสอดท่อที่มีความยืดหยุ่นผ่านทางจมูกลงไปในกระเพาะอาหารจนถึงกล้ามเนื้อหูรูดของหลอดอาหารเป็นเวลา 24 ชั่วโมง ส่องกล้อง คุณหมออาจตรวจดูหลอดอาหารโดยใช้กล้องขนาดเล็กส่องลงไป หรืออาจเก็บตัวอย่างชิ้นเนื้อในเยื่อบุหลอดอาหารเพื่อนำมาวิเคราะห์หาสาเหตุ การรักษากรดไหลย้อนในเด็ก คุณพ่อคุณแม่อาจให้ลูกรับประทานยาลดกรดในกระเพา เช่น ไซเมทิโคน (Simethicone) […]


พ่อแม่เลี้ยงลูก

เมื่อเกิด ความสูญเสีย ผู้ใหญ่ควรอธิบายให้เด็กฟังอย่างไร

เมื่อสมาชิกในครอบครัวหรือคนที่รักจากไป อาจเกิดความโศกเศร้าขึ้นในครอบครัว เด็ก ๆ อาจยังไม่เข้าใจถึงความสูญเสีย พ่อแม่หรือผู้ปกครองควรอธิบายและพูดคุยให้เด็ก ๆ รับทราบว่าเกิดอะไรขึ้น และที่สำคัญไม่ควรปิดบังความรู้สึกและความเสียใจ เพราะถือเป็นเรื่องสำคัญที่จะสอนให้เด็กๆ รู้จักเปิดเผยความรู้สึกทั้งในแง่บวกและแง่ลบ รวมทั้งวิธีจัดการความรู้สึกต่าง ๆ ด้วย [embed-health-tool-vaccination-tool] ผู้ใหญ่ควรอธิบายเกี่ยวกับความสูญเสียอย่างไรดี เมื่อเกิดความสูญเสียขึ้นในครอบครัว หรือคนใกล้ชิด เด็ก ๆ ย่อมรับรู้ได้ถึงความรู้สึกเจ็บปวดเสียใจที่พ่อแม่หรือผู้ปกครองต้องเผชิญ แต่พวกเขาอาจยังไม่เข้าใจถึงสาเหตุ ผู้ใหญ่ควรปฏิบัติตัวดังนี้ พูดความจริง หากผู้ใหญ่พยายามระงับความเสียใจด้วยการปลอบคนในครอบครัวเมื่อต้องเผชิญกับความสูญเสียว่า “อย่าเศร้าไปเลย อย่าร้องไห้เลย” คำพูดเช่นนี้จะทำให้เด็ก ๆ รู้สึกว่าการแสดงออกทางอารมณ์นั้นเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม และเด็ก ๆ อาจกลัวที่จะแสดงอารมณ์ความรู้สึก จนต้องปกปิดความรู้สึกนั้นไว้ภายในใจ ความรู้สึกเช่นนี้จะติดเป็นปมด้อยในใจจนเมื่อพวกเขาโตขึ้นก็เป็นได้ เแม้ว่าผู้ใหญ่มักพยายามทำตัวเข้มแข็งและซ่อนความรู้สึกไว้ แต่เด็กเล็ก ๆ ก็ยังรู้สึกได้ถึงความรู้สึกที่แท้จริง อันที่จริง ไม่ได้เป็นเรื่องเสียหายอะไรที่เด็ก ๆ จะเห็นผู้ใหญ่ร้องไห้ แม้ว่าอาจทำให้เด็ก ๆ รู้สึกกลัวหรือตกใจก็ตาม เมื่อถึงเวลานั้น ควรอธิบายให้เด็ก ๆ เข้าใจว่า สาเหตุที่ร้องไห้เพราะสูญเสียคนที่รักไป เดี๋ยวความรู้สึกต่าง ๆ นี้จะค่อย ๆ หายไป แต่ถ้าเด็ก ๆ ไม่ได้รู้สึกเศร้าตามไปด้วย ไม่ได้หมายความว่าเด็ก ๆ ไม่รู้สึกกับการสูญเสียสมาชิกในครอบครัวไป […]

ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา

กำลังมองหาเรื่องราวในการเลี้ยงดูบุตรใช่หรือไม่?

เข้าร่วมชุมชนการเลี้ยงดูบุตรและแลกเปลี่ยนข้อมูลกับคุณแม่และคุณพ่อคนอื่น ๆ เข้าร่วมชุมชนได้เลย!





ad iconโฆษณา

ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของเรา

ทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของ Hello คุณหมอ ประกอบไปด้วยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มาร่วมสร้างสรรค์บทความในเว็บไซต์ของเราตามความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญของเราจะช่วยรับรองว่าข้อมูลด้านสุขภาพของเราถูกต้อง เป็นปัจจุบัน และตรงตามหลักฐานจากงานวิจัยล่าสุด
ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรามุ่งมั่นเต็มที่ในการช่วยให้คุณได้รับข้อมูลและความรู้ด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือ เข้าใจง่าย และเป็นประโยชน์ และพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพกับคุณเสมอ เพื่อให้คุณได้รับทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น

ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ชุมชน