พ่อแม่เลี้ยงลูก

ในทุกช่วงชีวิตของลูกน้อย เหล่าคุณพ่อคุณแม่จำเป็นที่จะต้องรู้วิธีดูแลและสนับสนุนสุขภาพโดยรวมของลูกน้อย เพื่อให้ความเป็นอยู่ของลูกน้อยดีขึ้น เพราะฉะนั้นใน พ่อแม่เลี้ยงลูก คุณจะได้พบกับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ รวมถึงเคล็ดลับในการดูแลลูกให้แข็งแรง มีความสุข และสามารถปรับตัวได้ในทุกสถานการณ์

เรื่องเด่นประจำหมวด

พ่อแม่เลี้ยงลูก

โปลิโอ เป็นแล้วรักษาไม่หาย แต่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน

โปลิโอ หรือที่รู้จักกันในชื่อ ไข้ไขสันหลังอักเสบ เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากไวรัสโปลิโอ (Poliovirus) ซึ่งเคยส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพของมนุษย์ในอดีต โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กเล็ก แม้ว่าในปัจจุบันโรคนี้จะลดลงอย่างมากเนื่องจากการพัฒนาวัคซีน แต่ความตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคและการป้องกันยังคงมีความสำคัญ [embed-health-tool-vaccination-tool] โปลิโอ คืออะไร โรคโปลิโอเกิดจากเชื้อไวรัสในตระกูล Picornavirus โดยไวรัสนี้แบ่งเป็น 3 สายพันธุ์หลัก ได้แก่ PV1, PV2 และ PV3 ซึ่งไวรัสสามารถเข้าสู่ร่างกายผ่านการบริโภคน้ำหรืออาหารที่ปนเปื้อน รวมถึงการสัมผัสกับผู้ติดเชื้อโดยตรง เมื่อไวรัสเข้าสู่ร่างกาย มันจะแพร่กระจายในลำไส้และระบบประสาทส่วนกลาง ทำลายเซลล์ประสาทที่ควบคุมการเคลื่อนไหว ส่งผลให้เกิดภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรงหรืออัมพาต การแพร่กระจายของโรค โรคโปลิโอแพร่กระจายได้ง่ายในพื้นที่ที่มีการสุขาภิบาลไม่ดี โดยเชื้อไวรัสจะถูกขับออกจากร่างกายผู้ติดเชื้อผ่านทางอุจจาระ แล้วปนเปื้อนในน้ำหรืออาหาร นอกจากนี้ การสัมผัสใกล้ชิด เช่น การสัมผัสมือหรือของใช้ส่วนตัวที่มีเชื้อไวรัสอยู่ ก็เป็นอีกเส้นทางที่โรคสามารถแพร่กระจายได้ กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงคือเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี และผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนครบถ้วน อาการของโรคโปลิโอ โรคโปลิโอมีลักษณะอาการหลากหลาย ตั้งแต่ไม่มีอาการไปจนถึงอัมพาตรุนแรง ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ (70-90%) ไม่มีอาการ แต่สามารถแพร่เชื้อได้ อาการเบื้องต้น รวมถึงไข้ต่ำ อ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อ และคลื่นไส้ อาการรุนแรง ได้แก่ อัมพาตของแขนขา หรือในบางกรณีเชื้อไวรัสอาจทำลายระบบประสาทที่ควบคุมการหายใจ ส่งผลให้เสียชีวิต สำหรับบางคนที่เคยติดเชื้อ อาจเกิดภาวะ กลุ่มอาการหลังโปลิโอ (Post-Polio Syndrome) ในระยะเวลาหลายปีหลังจากการติดเชื้อ ซึ่งทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงและปวดกล้ามเนื้อ การป้องกันด้วยวัคซีน ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาโรคโปลิโอเฉพาะเจาะจง การป้องกันที่ดีที่สุดคือการรับวัคซีน […]

หมวดหมู่ พ่อแม่เลี้ยงลูก เพิ่มเติม

สำรวจ พ่อแม่เลี้ยงลูก

สุขภาพจิตวัยรุ่น

วัยรุ่น LGBTQ เพศที่สาม ทำร้ายตัวเอง ความเสี่ยงที่ป้องกันได้

การ ทำร้ายตัวเอง หมายถึงการทำให้ตัวเองบาดเจ็บ หรือเป็นอันตรายด้วยความตั้งใจ ไม่ใช่เพราะอุบัติเหตุ โดยข้อมูลจากกรมสุขภาพจิตพบว่า วัยรุ่นมีปัญหาโรคซึมเศร้า และในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งมีเด็กคิดฆ่าตัวตาย  6% ซึ่งการทำร้ายตัวเองอาจนำไปสู่การฆ่าตัวตาย และมีงานวิจัยที่พบว่าวัยรุ่น LGBTQ หรือวัยรุ่นที่เป็น เพศที่สาม มีอัตราเสี่ยงต่อการ ทำร้ายตัวเอง การศึกษาวิธีป้องกัน ว่าจะรับมืออย่างไรเมื่อวัยรุ่นทำร้ายตัวเอง แต่อย่างไรก็ตาม หากสังเกตเห็นการทำร้ายตัวเอง เช่น กรีดข้อมือ กินยาเกินขนาด ควรไปพบคุณหมอทันที งานวิจัยชี้ วัยรุ่น LGBTQ เสี่ยง ทำร้ายตัวเอง งานวิจัยที่เผยแพร่ในวารสารวิชาการ JAMA Pediatrics ให้ข้อมูลว่า มีจำนวนที่น่าตกใจของวัยรุ่นที่ทำร้ายตัวเอง แต่วัยรุ่นที่เป็นไบเซ็กชวล (Bisexual) หรือวัยรุ่นเพศที่ 3 อาจมีแนวโน้มว่าจะทำร้ายตัวเองมากกว่าถึง 2 เท่า เมื่อเทียบกับกลุ่มสเตรท (Straight) หรือวัยรุ่นที่รักเพศตรงข้าม โดยงานวิจัยให้ข้อมูลว่า วัยรุ่นกลุ่มเฮเตอโรเซ็กชวล (Heterosexual) หรือกลุ่มที่รักเพศตรงข้ามระหว่าง 10%-20% มีพฤติกรรมที่เป็นอันตราย แต่วัยรุ่นกลุ่ม LGBTQ หรือกลุ่มที่รักเพศเดียวกัน  38%-53% มีพฤติกรรมทำร้ายตัวเอง ผู้วิจัยกล่าวว่า อัตราการบาดเจ็บจากการพยายามฆ่าตัวตาย เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในหมู่วัยรุ่นเพศที่สาม […]


ความผิดปกติทางพัฒนาการและพฤติกรรม

ลูกเลือกกิน กินยาก จะรับมือได้อย่างไรบ้าง

ลูกเลือกกิน หรือกินอาหารยาก เป็นหนึ่งปัญหาที่คุณพ่อคุณแม่หลายคนหนักใจ โดยเฉพาะเด็กอายุ 1-5 ปี ทั้งนี้ หากยอมให้ลูกกินแต่อาหารที่ชอบไปเรื่อย ๆ โดยไม่แก้ไข อาจก่อปัญหาสุขภาพอื่น ๆ เช่น ลูกน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์หรือเกินเกณฑ์ พัฒนาการล่าช้า ดังนั้น หากคุณพ่อคุณแม่สังเกตเห็นว่า ลูกเลือกกิน อาจขอคำแนะนำที่เหมาะสมจากคุณหมอเพื่อช่วยให้ลูกมีสุขภาพแข็งแรง มีพัฒนาการที่เหมาะสมและลดความเสี่ยงปัญหาสุขภาพ [embed-health-tool-vaccination-tool] ลูกเลือกกิน เพราะสาเหตุใด ปัญหาเด็กกินยาก หรือเลือกกินมักเริ่มในช่วงอายุ 2-3 ปี ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ควรทำความเข้าใจว่าที่ลูกเลือกกินนั้นเป็นเพราะอะไร โดยส่วนใหญ่มักเกิดจากสาเหตุเหล่านี้ อาหารรสชาติไม่ถูกปาก เด็กบางคนชอบกินอาหารหวาน ซึ่งเป็นเพราะสัญชาตญาณที่ติดตัวมาแต่กำเนิด เนื่องจากอยู่ในวัยกำลังเจริญเติบโต ร่างกายจึงต้องการอาหารที่ให้พลังงานหรือแคลอรีสูง นอกจากนั้น เด็กบางคนยังมียีนที่ทำให้ไวต่อรสขม จึงไม่แปลกที่เด็กจะเลือกกิน ชอบกินแต่ขนมหรือกินอาหารบางอย่างยากเป็นพิเศษ ลูกยังไม่หิว พออายุครบ 2 ปีการเจริญเติบโตของเด็กจะค่อย ๆ ช้าลง พวกเขาจึงกินได้น้อยลง หรือบางวันก็ไม่อยากอาหาร และบางครั้งอาจกินขนมและเครื่องดื่มมากจนทำให้รู้สึกอิ่มและไม่อยากกินอาหารมื้อหลัก ลูกมีปัญหาสุขภาพ บางครั้งการที่ ลูกเลือกกินหรือกินยาก อาจมาจากปัญหาสุขภาพ หากลูกกระวนกระวาย หรืองอแงตลอดเมื่อถึงเวลากินอาหาร อาจเป็นเพราะเด็กเป็นภูมิแพ้อาหาร หรือมีความผิดปกติของระบบประมวลผลทางประสาทสัมผัส (Sensory Processing Disorder) เกิดจากสมองไม่สามารถประมวลข้อมูลที่ได้รับผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 ได้ เด็กที่เป็นโรคนี้จึงมักไวต่อรส กลิ่น หรือเนื้อสัมผัสของอาหารบางชนิดเป็นพิเศษ ลูกเลือกกิน […]


พ่อแม่เลี้ยงลูก

พ่อแม่ โกหกลูก จะส่งผลต่อลูกอย่างไรบ้าง

ผู้ใหญ่หลายคนยอมรับว่าการโกหกเด็ก ด้วยความหวังดี มักจะทำให้อะไร ๆ ง่ายขึ้น เช่น โกหกเพราะไม่อยากทำให้ลูกเสียใจ แต่มีงานวิจัยพบว่าเด็กสามารถรู้ได้ว่าผู้ใหญ่กำลังโกหก พ่อแม่มักจะโกหกลูกเรื่องอะไรบ้าง เรื่องที่พ่อแม่มักจะโกหกลูกบ่อย ๆ ซึ่งความจริงแล้วไม่ควร ได้แก่ โกหกเวลาที่พลาดเหตุการณ์สำคัญ ในวันสำคัญของเด็ก เช่น วันเกิด หรืองานวันแม่ที่โรงเรียน หากพ่อแม่ไม่สามารถอยู่ในช่วงเวลานั้นได้ ควรขอโทษลูกและไม่ควรโกหกพวกเขา บอกเด็กว่าพ่อและแม่รักกันมาก แต่กลับไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้อีกต่อไป หากมีการหย่าร้าง ไม่ควรโกหกลูกว่าพ่อแม่รักกันมาก เวลาที่พ่อแม่ป่วย ตกงาน หรือมีปัญหาชีวิต ความจริงแล้วเด็ก ๆ จะสามารถรับรู้ความเครียดของผู้ปกครองได้ และเด็ก ๆ สามารถรับมือกับความผิดหวังได้ หากได้รับการสนับสนุนจากพ่อแม่ พ่อแม่ โกหกลูก ส่งผลต่อเด็กหรือไม่ งานวิจัยพบว่าเวลาที่ผู้ใหญ่โกหก เด็กจะสามารถสังเกตเห็นกลยุทธ์บางอย่างได้ และพวกเขาอาจบอกได้ว่าพ่อแม่หรือคุณครูของพวกเขา เจตนาปิดบังข้อมูลบางอย่างไว้ และเมื่อเด็กสังเกตเห็นแล้ว งานวิจัยจากสถาบัน the Massachusetts Institute of Technology ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า เด็กสามารถเติมช่องว่างระหว่างข้อมูล (ที่ผู้ใหญ่ปิดบังไว้) ได้ด้วยตัวเอง นอกจากนี้ การกำหนดว่าใครสามารถเชื่อใจได้ เป็นทักษะที่สำคัญ สำหรับการเรียนรู้ในวัยเด็ก เนื่องจากคนเราจะเรียนรู้เรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับโลกใบนี้จากผู้อื่น กล่าวคือเมื่อใครบางคนให้ข้อมูล […]


การเติบโตและพัฒนาการ

ของเล่น ประโยชน์ต่อพัฒนาการและเทคนิคการเลือกให้ลูกน้อย

ของเล่น เป็นเครื่องมือเสริมสร้างทักษะและการเรียนรู้ต่าง ๆ ให้แก่เด็กๆ ตั้งแต่เล็กจนโต ทั้งทักษะทางด้านร่างกาย ทักษะด้านสติปัญญา และทักษะทางด้านอารมณ์ ของเล่นมีความหลากหลาย ทั้งสีสัน แสงและเสียง และเทคนิคต่างๆ ที่ล้วนแต่ดึงดูดใจให้เด็กๆ อยากเล่น แต่ก่อนที่คุณพ่อคุณแม่จะซื้อของเล่น ควรศึกษาเกี่ยวกับประเภทของของเล่น เพื่อความเหมาะสมแก่ช่วงวัยและของเล่นที่จะช่วยส่งเสริมพัฒนาการอย่างสมวัย ประโยชน์ของของเล่น กระตุ้นประสาทสัมผัสของเด็ก ของเล่นช่วยกระตุ้นประสาทสัมผัส (Senses) จากการได้กลิ่น การได้ยิน การมองเห็น การสัมผัส และการรับรส รวมถึงการเคลื่อนไหวและความสมดุลด้วย พ่อแม่ควรช่วยให้เด็ก ๆ เรียนรู้ประสบการณ์ผ่านทางประสาทสัมผัส โดยของเล่นที่เกี่ยวข้องกับประสาทสัมผัสได้ดี เช่น แป้งโดว์ ดินน้ำมัน เป็นต้น ส่งเสริมพัฒนาการทางด้านอารมณ์ แม้ว่าเด็ก ๆ จะยังพูดไม่ได้ แต่การเล่นของเล่นมักช่วยให้เด็กๆ สามารถแสดงอารมณ์ของพวกเขาออกมาได้ ส่งเสริมพัฒนาการด้านอารมณ์ ช่วยให้เด็กเรียนรู้ที่จะรู้จักอารมณ์และความรู้สึกของตัวเอง จำนวนของเล่นน้อยลง อาจส่งผลดีกว่า การให้เด็ก ๆ เล่นของเล่นจำนวนน้อยลง อาจทำให้การเล่นมีคุณภาพมากขึ้น กล่าวคือของเล่นจำนวนน้อยอาจส่งผลให้เด็กมีสมาธิจดจ่อ และมีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น มากกว่าการเล่นของเล่นหลายๆ อย่างที่อาจดึงความสนใจของเด็กๆ ไป เสริมสร้างพัฒนาการด้านภาษา ของเล่นเด็กโดยเฉพาะของเล่นแบบดั้งเดิม เช่น จิ๊กซอว์ บล็อคหยอดรูปร่างและรูปทรงต่าง ๆ เช่น รูปทรงเรขาคณิต บล็อคของเล่น (Block) […]


การเติบโตและพัฒนาการในวัยเรียน

ของเล่น ผู้ชาย ทำให้ลูกเป็นเด็กก้าวร้าวได้หรือไม่

ของเล่น ผู้ชาย เช่น ปืนพลาสติก มีด ดาบ อาวุธของเล่นต่างๆ อาจสร้างความกังวลใจให้พ่อแม่ผู้ปกครองมากกว่าของเล่นชนิดอื่นๆ เนื่องจากพ่อแม่เชื่อว่า ของเล่นชนิดนี้มักส่งผลให้เด็กมีพฤติกรรมรุนแรง แต่แท้จริงแล้ว ของเล่นประเภทนี้ไม่อาจส่งผลโดยตรงทำให้เด็กเกิดพฤติกรรมก้าวร้าวในชีวิตจริง แต่เป็นผลมาจากปัจจัยอื่นร่วมด้วย [embed-health-tool-vaccination-tool] ของเล่น เด็ก ผู้ชาย ทำให้ลูกเป็นเด็กก้าวร้าวได้หรือไม่ การเล่นของเล่นเด็กผู้ชายอย่าง ปืนพลาสติก อาจนำไปสู่การใช้ปืนในวัยผู้ใหญ่ อย่างไรก็ตาม ผู้ชายวัยผู้ใหญ่ที่เคยเล่นปืนพลาสติกในวัยเด็ก อาจไม่เคยเกี่ยวข้องกับกระทำความผิดทางอาชญากรรมเมื่อโตขึ้น นอกจากนี้ ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่บ่งบอกว่า การเล่นเกมเกี่ยวกับสงครามของเด็ก จะทำให้เด็กเกิดพฤติกรรมก้าวร้าวในชีวิตจริง  การเล่นของเล่นที่มีความเกี่ยวข้องกับความรุนแรง เช่น การต่อสู้กับสัตว์ประหลาด การใช้ปืนของเล่น อาจไม่ใช้ความรุนแรงเสมอไป สิ่งสำคัญคือคำสอนของคนใกล้ตัว โดยคุณพ่อคุณแม่อาจสอนให้เด็กได้เรียนรู้เกี่ยวกับการปกครอง ความปลอดภัยในชีวิต รวมถึงการแพ้-ชนะได้ ยิ่งไปกว่านั้น การเล่นยังเชื่อมโยงกับพัฒนาการทางความคิดและสังคม ทั้งยังทำให้เด็กได้แสดงความกลัว รวมถึงความปรารถนาของพวกเขาออกมา สำหรับเด็กผู้ชาย การเล่นของเล่น ผู้ชายที่เป็นอาวุธ เช่น ปืนพลาสติก อาจทำให้เด็กรู้สึกมีพลังและกล้าหาญ สิ่งสำคัญคือพ่อแม่ควรสังเกตลูกอย่างใกล้ชิด หากลูกเริ่มมีพฤติกรรมก้าวร้าว รุนแรง ควรชักชวนหรือเบี่ยงเบนให้ลูกเล่นของเล่นอย่างอื่นแทน สื่อที่มีเนื้อหารุนแรง อาจส่งผลต่อความก้าวร้าวของเด็ก อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากของเล่น ผู้ชาย ปัจจัยอื่นที่อาจมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมหรือแนวคิดที่รุนแรง สื่อต่างๆ ที่นำเสนอความรุนแรง อาจทำให้เกิดพฤติกรรมก้าวร้าวในเด็กได้ โดยเฉพาะภาพข่าวหรือสื่อต่างๆ ที่นำเสนอเกี่ยวกับปืนหรืออาวุธสงคราม […]


สุขภาพเด็ก

วิธีการรับมือเมื่อเด็กกลัวความมืด

เด็กกลัวความืด เป็นปัญหาที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในเด็กเล็ก เนื่องจากเด็กมักจะมีจินตนาการสูง ชอบคิดว่าอาจจะมีสัตว์ประหลาดที่อยู่ใต้เตียง หรือกลัวว่าตัวอะไรจะโผล่มาในความมืด ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่จึงควรศึกษาเกี่ยวกับวิธีการรับมืออย่างเหมาะสมเมื่อเด็กมีอาการกลัวความมืด [embed-health-tool-vaccination-tool] เด็กกลัวความมืด พ่อแม่รับมืออย่างไร สิ่งที่ดีที่สุดที่คุณพ่อคุณแม่สามารถทำได้ คือการสื่อสาร โดยควรพูดคุยกับลูกด้วยความเข้าใจ ซึ่งเด็กๆ จะสามารถเข้าใจได้ และที่สำคัญคือไม่ควรพูดกับลูกว่า การกลัวความมืดเป็นเรื่องงี่เง่า เพราะนอกจากจะไม่ช่วยให้อาการกลัวของเด็กหายไป ยังทำให้เด็กรู้สึกผิด รวมถึงรู้สึกอายด้วย นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรทำและไม่ควรทำดังต่อไปนี้ ควรใจเย็น เวลาพูดกับเด็ก ๆ เรื่องอาการกลัวความมืดให้พูดด้วยความใจเย็น และไม่ใช้อารมณ์เวลาพูดกับลูก เพราะอาจทำให้ทุกอย่างแย่ลง ให้คุณพ่อคุณแม่แก้ไขสถานการณ์โดยทำให้เด็ก ๆ รู้สึกว่าตัวเองปลอดภัย และทำให้พวกเขารู้สึกว่ารับมือกับความกลัวได้ นอกจากนี้ ยังอาจตั้งชื่อให้กับความกลัว เพื่อให้เด็ก ๆ รู้ว่าตัวเองกำลังกลัวอะไรแล้ว และทำความเข้าใจกับความกลัวนั้น อย่าใช้อารมณ์ เด็กกลัวความมืดอาจไม่ใช่เรื่องแปลก และคุณพ่อคุณแม่ไม่ควรที่จะหงุดหงิด หรืออารมณ์เสีย เมื่อรู้ว่าสิ่งที่ลูกกลัวไม่มีอยู่จริง ฝึกให้เด็กตัดสินใจ ลองให้ลูก ๆ มีอำนาจในการตัดสินใจที่จะจัดการกับความกลัว โดยอาจถามลูกว่า อยากให้พ่อแม่นอนด้วยหรือไม่ หรือให้เข้ามาดูลูกเป็นระยะ และให้เด็ก ๆ ตัดสินใจว่าเวลาไหนที่ลูกจะรู้สึกปลอดภัยที่สุด เช่น อยากให้คุณพ่อคุณแม่มาหาทุก ๆ 5 นาทีหรือทุก ๆ 2 ชั่วโมง ซึ่งการให้เด็กตัดสินใจ จะช่วยให้ลูกรู้สึกดีขึ้น นอกจากนี้ยังควรให้ลูกอยู่กับอุปกรณ์ที่ทำให้พวกเขารู้สึกสบาย […]


โภชนาการเด็กวัยหัดเดินและเด็กก่อนวัยเรียน

นม กับประโยชน์ต่อสุขภาพของเด็ก ๆ

นม อุดมไปด้วยวิตามิน เกลือแร่ และสารอาหาร อาทิ โปรตีน แคลเซียม วิตามินต่าง ๆ ที่ช่วยในเรื่องของการเจริญเติบโต ควบคุมระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายและกระดูกแข็งแรง ทั้งยังอาจช่วยป้องกันภาวะขาดแคลเซียมได้ด้วย ดังนั้น วัยเด็กจึงเป็นช่วงอายุที่ควรได้รับการบำรุงด้วยการดื่มนมมากที่สุด ปริมาณนมที่เด็กควรดื่มในแต่ละวัน ปริมาณนมที่ควรให้เด็กดื่มขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น อายุ ความสูง และภาวะขาดเอนไซม์แลคเตสจนไม่สามารถย่อยน้ำตาลแลคโตสได้  (Lactose Intolerance) ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว เด็กควรดื่มนมในปริมาณดังนี้ เด็กอายุ 1-2 ขวบ เด็กอายุ 1 ขวบสามารถเริ่มดื่มนมวัวได้ โดยควรดื่มประมาณ 32 ออนซ์/วัน เด็กอายุ 2-3 ปี ควรดื่มนมอย่างน้อย 2 แก้ว/วัน เด็กอายุ 4-8 ปี ควรดื่มนม 2.5 แก้ว/วัน ประโยชน์ของนมต่อสุขภาพเด็ก ในน้ำนมอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ โดย นม 1 แก้ว (244 กรัม) ประกอบไปด้วย พลังงาน 146 แคลอรี่ โปรตีน 8 กรัม […]


ปัญหาสุขภาพเด็กแบบอื่น

เด็กตาเหล่ วิธีสังเกตและการรักษา

เด็กตาเหล่ สามารถรักษาได้หากพบอาการตั้งแต่เด็กอายุยังน้อย ยิ่งพบในอายุน้อยเท่าไหร่ โอกาสประสบความสำเร็จในการรักษายิ่งสูง คุณพ่อคุณแม่ควรสังเกตลูกน้อยว่ามีพัฒนาการทางสายตาเหมาะแก่วัยหรือไม่ หากพบอาการผิดปกติหรือไม่แน่ใจว่าเป็นอาการตาเหล่หรือไม่ ควรปรึกษาคุณหมอ เพราะหากปล่อยทิ้งไว้อาจเกิดอาการแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายแก่ดวงตาได้ เช่น โรคตาขี้เกียจ (Amblyopia) เด็กตาเหล่ มีอาการอย่างไร ตาเหล่ หรือตาเข คืออาการที่ดวงตาทั้งสองข้างอยู่ในตำแหน่งที่ผิดปกติหรือไม่เท่ากัน โดยอาจเห็นได้ว่าดวงตาข้างหนึ่ง อาจมองตรงไปข้างหน้า ในขณะที่ดวงตาอีกข้างอาจจะเหลือกขึ้นบน เหลือกลงล่าง พลิกกลับเข้าด้านใน หรือโปนออกด้านนอก เป็นต้น โดยปกติแล้ว ดวงตาจะมีกล้ามเนื้อ 6 มัด ทำหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหว เพื่อให้ดวงตาทั้งสองข้างทำงานร่วมกันได้อย่างสอดคล้อง อาการตาเหล่จะเกิดขึ้นเมื่อระบบควบคุมกล้ามเนื้อดวงตาในสมองทำงานผิดปกติ ส่งผลให้มัดกล้ามเนื้อในดวงตาไม่สามารถทำงานสอดประสานกันเพื่อเคลื่อนไหวดวงตาไปมา ทำให้ดวงตามองไปในตำแหน่งที่ต่างกัน และไม่สามารถมองไปในทิศทางเดียวกันพร้อมกันได้ อาการตาเหล่อาจเป็นตั้งแต่เกิด หรือเกิดขึ้นได้เมื่อดวงตาได้รับผลกระทบจากการหักเหของแสงผิดปกติ เช่น จากภาวะสายตายาว สายตาสั้น หรือสายตาเอียง รวมถึงอาจเกิดขึ้นได้จากความป่วยไข้ หรือการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อและเส้นประสาทได้เช่นกัน หากปล่อยไว้อาจก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพดวงตา เช่น โรคตาขี้เกียจ (Amblyopia) จะรู้ได้อย่างไรว่า เด็กตาเหล่ หากเด็กมีอาการตาเหล่ จะสังเกตเห็นว่าตาดำสองข้างจะไม่อยู่ในแนวเดียวกัน และมองไปคนละทิศทาง ในเด็กทารก อาจพบว่ามีอาการตาเขได้เวลาที่เด็กรู้สึกเหนื่อยล้า แต่ไม่ได้หมายความว่าจะมีอาการตาเหล่โดยกำเนิด  อย่างไรก็ตาม หลังจากอายุ 4 เดือนไปแล้ว ผู้ปกครองควรนำลูกไปพบคุณหมอเพื่อเข้ารับการตรวจ และหากทารกต้องหมุนศีรษะเวลามองสิ่งของ หรือหลับตาลงเพียงข้างเดียวเวลาเห็นแสงแดดจ้า อาจถือได้ว่ามีสัญญาณของอาการตาเหล่ […]


โภชนาการเด็กวัยเรียน

ลูกวัยประถม น้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ ควรทำอย่างไร

การมีน้ำหนักมากเกินไปหรือน้อยเกินไป อาจเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพบางอย่าง เช่น การมีน้ำหนักเกินอาจเป็นสัญญาณของโรคอ้วน หรือถ้าลูกของคุณมี น้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ อาจเป็นสัญญาณว่าเด็กได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ แล้วคุณพ่อคุณแม่จะรู้ได้อย่างไรว่าลูกมีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์หรือไม่ และควรดูแลลูกอย่างไรดี วันนี้ Hello คุณหมอมีคำตอบมาให้คุณค่ะ รู้ได้อย่างไรว่าลูกคุณ น้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ เด็กวัยประถม อายุ 6-12 ปี ยังอยู่ในช่วงเจริญเติบโต ซึ่งหมายความว่าพวกเขาต้องการพลังงาน (แคลอรี่) และสารอาหาร จากการกินอาหารที่มีประโยชน์และอาหาร 5 หมู่ และในกรณีที่เด็กๆ มีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ อาจหมายความว่าพวกเขาได้รับแคลอรี่จากอาหารไม่เพียงพอ เรามักจะใช้ตารางการเจริญเติบโต (growth charts) ของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐอเมริกา เพื่อดูค่าน้ำหนัก ความสูง และค่าดัชนีมวลกาย (BMI, body mass index) ซึ่งสำหรับเด็กวัยรุ่น เด็กวัยประถม และเด็กเล็ก ที่มีอายุ 2-18 ปี การคำนวณค่าดัชนีมวลกายจะคำนวณจาก อายุ เพศ ความสูง และน้ำหนัก ซึ่งเด็กที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐานถือว่ามีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในการเป็นโรคต่างๆ และสำหรับค่าดัชนีมวลกายจะมีเกณฑ์ดังนี้ น้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ โดยมีค่าเปอร์เซนไทล์อยู่ที่ 2 หรือต่ำกว่า น้ำหนักตามเกณฑ์ อยู่ระหว่างค่าเปอร์เซ็นไทล์ที่ […]


โรคเด็กและอาการทั่วไป

เด็กละเมอ เป็นเรื่องปกติหรือไม่ และเมื่อไหร่ที่ต้องกังวล

การเดินละเมอเป็นอาการที่สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกเพศทุกวัย แต่จะพบบ่อยในเด็ก ตามสถิติแล้วเด็ก 1 ใน 5 จะเดินละเมออย่างน้อย 1 ครั้ง นอกจากนี้อาการละเมอ สามารถเกิดขึ้นได้จนถึงตอนที่เป็นวัยรุ่น และบางครั้งอาจเกิดขึ้นจนถึงวัยที่เป็นผู้ใหญ่ เด็กละเมอ ถือเป็นเรื่องปกติหรือไม่ และเมื่อไหร่ที่คุณพ่อคุณแม่ควรกังวล การเดินละเมอ คืออะไร เดินละเมอ (Sleepwalking) เป็นอาการที่เด็กจะลุกขึ้นจากที่นอน และเดินไปขณะที่กำลังหลับอยู่ ซึ่งลักษณะแบบนี้ถือเป็นอาการเดินละเมอที่พบบ่อย นอกจากนี้ยังมีอาการเดินละเมออื่นๆ ได้แก่ ละเมอพูด ตื่นนอนยาก ดูงุนงง ไม่ตอบสนองเวลาพูดด้วย ลุกขึ้นมานั่ง เคลื่อนไหวแบบเดิมซ้ำๆ เช่น ขยี้ตา นอกจากนี้ เด็กที่เดินละเมอสามารถลืมตาได้ แต่จะมองไม่เห็นเหมือนตอนตื่น โดยลักษณะที่พบบ่อยคือเด็กจะคิดว่าพวกเขาอยู่ในห้องที่แตกต่างจากห้องที่บ้าน หรืออยู่ในสถานที่อื่น มากไปกว่านั้น เด็กๆ มีแนวโน้มที่จะมีอาการเดินละเมอภายใน 1-2 ชั่วโมงก่อนจะหลับ และอาจเดินไปที่ใดที่หนึ่งโดยใช้เวลาตั้งแต่ไม่กี่วินาที ถึง 30 นาที และในขณะที่พวกเขากำลังละเมอ ก็ยากที่จะปลุกให้ตื่น แต่เมื่อตื่นแล้วเด็กอาจรู้สึกงัวเงียและสับสนเป็นเวลา 1-2 นาที ถึงแม้ว่าจะเรียกว่าการเดินละเมอ แต่ก็อาจไม่ได้เป็นเพียงแค่การเดิน เนื่องจากการเดินละเมอสามารถหมายถึงอาการอื่นๆ ได้ และไม่ว่าเด็กๆ จะมีอาการละเมอในลักษณะใด พวกเขาก็มักจะจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างตอนที่พวกเขาละเมอ ส่วนสาเหตุของการละเมอ มีดังนี้ สาเหตุของอาการเดินละเมอ การเดินละเมอนั้นพบได้ทั่วไปในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ และถ้าพ่อแม่เคยมีอาการเดินละเมอตอนเด็ก ลูกก็มีแนวโน้มที่จะเดินละเมอด้วย ซึ่งสาเหตุของอาการเดินละเมออาจเกิดจาก นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ หรืออ่อนเพลีย นอนหลับไม่ตรงเวลา ป่วย หรือเป็นไข้ ยาบางชนิด ความเครียด ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep […]

ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา

กำลังมองหาเรื่องราวในการเลี้ยงดูบุตรใช่หรือไม่?

เข้าร่วมชุมชนการเลี้ยงดูบุตรและแลกเปลี่ยนข้อมูลกับคุณแม่และคุณพ่อคนอื่น ๆ เข้าร่วมชุมชนได้เลย!





ad iconโฆษณา

ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของเรา

ทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของ Hello คุณหมอ ประกอบไปด้วยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มาร่วมสร้างสรรค์บทความในเว็บไซต์ของเราตามความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญของเราจะช่วยรับรองว่าข้อมูลด้านสุขภาพของเราถูกต้อง เป็นปัจจุบัน และตรงตามหลักฐานจากงานวิจัยล่าสุด
ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรามุ่งมั่นเต็มที่ในการช่วยให้คุณได้รับข้อมูลและความรู้ด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือ เข้าใจง่าย และเป็นประโยชน์ และพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพกับคุณเสมอ เพื่อให้คุณได้รับทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น

ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ชุมชน