การดูแลก่อนคลอด

การดูแลก่อนคลอด ไม่ว่าจะเป็นการเลือกรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย หรือแม้กระทั่งการดูแลคุณภาพการนอนหลับสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยคุณแม่และทารกในครรภ์มีสุขภาพที่แข็งแรง และหลีกเลี่ยงภาวะแทรกซ้อนที่อาจทำให้เกิดปัญหาได้ เรียนรู้เทคนิคดี ๆ เกี่ยวกับ การดูแลก่อนคลอด ที่ Hello คุณหมอนำมาฝาก ได้ที่นี่

เรื่องเด่นประจำหมวด

การดูแลก่อนคลอด

นับอายุครรภ์ อย่างไร วิธีคำนวณอายุครรภ์ ที่ถูกต้อง

การนับอายุครรภ์และวิธีคำนวณอายุครรภ์ เป็นสิ่งที่มักเข้าใจกันผิด สับสนว่าจะคำนวณอายุครรภ์จากวันที่มีเพศสัมพันธ์หรือไม่ และต้องนับอายุครรภ์อย่างไรให้แม่นยำ เพื่อประโยชน์ของแม่ตั้งครรภ์และลูกในท้อง [embed-health-tool-pregnancy-weight-gain] นับอายุครรภ์ มีประโยชน์อย่างไร อายุครรภ์ตั้งแต่วันแรกของการตั้งครรภ์จวบจนถึงวันคลอดเป็นสิ่งที่แม่ควรใส่ใจ การคำนวณอายุครรภ์อย่างแม่นยำ มีข้อดีที่เป็นประโยชน์ต่อตัวแม่และทารกในครรภ์ ดังนี้ การนับอายุครรภ์ ช่วยให้ทราบขนาดของลูกในท้องแต่ละไตรมาส ตลอดจนพัฒนาการของทารกในครรภ์และความสมบูรณ์ของทารก แม่จะได้ดูแลทารกอย่างเหมาะสม การนับอายุครรภ์ ช่วยให้แพทย์วางแผนการตรวจครรภ์ แม่จะทราบถึงข้อควรระวังในแต่ละไตรมาส โดยเฉพาะภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ ที่แตกต่างกันไปในแต่ละไตรมาส การนับอายุครรภ์ ช่วยให้แพทย์คาดการณ์วันกำหนดคลอดได้ วันแรกที่เริ่ม นับอายุครรภ์ คือวันไหน การนับอายุครรภ์ เพื่อให้ทราบว่า ตั้งครรภ์มาแล้วกี่สัปดาห์หรือกี่เดือน อาจเข้าใจได้ว่า นับอายุครรภ์ตั้งแต่วันที่มีเพศสัมพันธ์หรือวันที่ปฏิสนธิ แต่จริง ๆ แล้ว แพทย์จะยึดเอาวันแรกของการมีประจำเดือนครั้งล่าสุดมาคำนวณอายุครรภ์ การจดวันที่มีประจำเดือนทุก ๆ เดือนจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้แพทย์นำประจำเดือนครั้งสุดท้าย มาคำนวณอายุครรภ์ได้อย่างถูกต้อง  ทั้งนี้ หากสงสัยว่ากำลังตั้งครรภ์ ให้ใช้อุปกรณ์ตรวจครรภ์หรือชุดตรวจครรภ์ตรวจการตั้งครรภ์ เมื่อทราบว่า กำลังตั้งครรภ์ควรรีบฝากครรภ์ก่อนอายุครรภ์ 12 สัปดาห์  วิธีคำนวณอายุครรภ์ นับเป็นเดือนหรือเป็นสัปดาห์ อายุครรภ์ปกติจะอยู่ประมาณ 280 วัน หรือ 40 สัปดาห์ โดยแพทย์จะนับอายุครรภ์เป็นสัปดาห์ และแยกอายุครรภ์ตามไตรมาส ประกอบด้วย ตั้งครรภ์ไตรมาสแรก สัปดาห์ที่ 1-14 ตั้งครรภ์ไตรมาสสอง สัปดาห์ที่ […]

สำรวจ การดูแลก่อนคลอด

การดูแลก่อนคลอด

น้ำอ้อย กับประโยชน์ที่มีต่อสุขภาพของคนท้อง

น้ำอ้อย อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆ เช่น วิตามินเอ วิตามินซี แคลเซียม แมกนีเซียม ธาตุเหล็ก ซึ่งมีประโยชน์ทั้งกับคนท้องและทารกในครรภ์ โดยน้ำอ้อยอาจช่วยบรรเทาอาการแพ้ท้องที่เกิดขึ้นในช่วงเช้า ลดอาการท้องผูก ส่งเสริมสุขภาพของทารกในครรภ์ ทั้งยังชวยลดความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับความพิการแต่กำเนิด [embed-health-tool-pregnancy-weight-gain] คุณค่าทางโภชนาการของน้ำอ้อย  น้ำอ้อย 1 แก้ว ประมาณ 240 มิลลิลิตร มีคุณค่าทางโภชนาการดังนี้ ไฟเบอร์ 0-13 กรัม คาร์โบไฮเดรต 25.40 กรัม น้ำตาล 50 กรัม แคลอรี่ 189 กิโลแคลอรี่ นอกจากนี้ ยังอุดมด้วยวิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆ เช่น วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินบี 5 วิตามินบี 6 วิตามินซี แคลเซียม แมกนีเซียม ธาตุเหล็ก น้ำอ้อย ประโยชน์ต่อสุขภาพของคนท้อง น้ำอ้อยมีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย โดยมีงานศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนสรรพคุณของน้ำอ้อยในการส่งเสริมสุขภาพ ดังนี้ อาจช่วยขับปัสสาวะ น้ำอ้อยอาจช่วยขจัดเกลือและน้ำส่วนเกินออกมาในรูปแบบปัสสาวะ ซึ่งช่วยให้ไตทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งยังอาจช่วยป้องกันการติดเชื้อในกระพาะปัสสาวะ […]


การดูแลก่อนคลอด

คุณแม่ตั้งท้องไปทำฟัน มีความเสี่ยงต่อสุขภาพหรือไม่

ช่วงเวลาในการตั้งครรภ์ คุณแม่จำเป็นที่จะต้องดูแลตัวเองมากเป็นพิเศษ เพื่อให้ตัวเองและทารกในครรภ์มีสุขภาพที่ดีและแข็งแรง หลายคนอาจสงสัยว่า คุณแม่ตั้งท้องไปทำฟัน ได้หรือไม่ ไปทำฟันแล้วจะส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์หรือไม่ ในความเป็นจริงแล้ว คุณแม่ตั้งท้องสามารถไปทำฟันได้ โดยควรแจ้งให้คุณหมอหรือเจ้าหน้าที่ทีให้บริการทราบ นอกจากนี้ การมีสุขภาพช่องปากที่ไม่ดียังอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของทารกในครรภ์ได้ [embed-health-tool-pregnancy-weight-gain] คุณแม่ตั้งท้องไปทำฟัน มีความเสี่ยงอย่างไรบ้าง คุณแม่ตั้งท้องอาจสงสัยว่า การทำฟันขณะตั้งท้องมีความเสี่ยงกับพัฒนาการของทารกในครรภ์หรือไม่ ในความเป็นจริงแล้ว คุณแม่ตั้งท้องสามารถตรวจสุขภาพฟันและทำฟันได้ตามปกติ โดยที่ไม่มีอันตรายใด ๆ การมีสุขภาพช่องปากที่ไม่ดีอาจส่งผลต่อทารกในครรภ์ได้มากกว่า เพราะในขณะที่ตั้งท้องเป็นช่วงที่ฮอร์โมนในร่างกายมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงในการมีปัญหาเกี่ยวกับเหงือก จนอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อตัวเองหรือทารกในครรภ์ได้ ดังนั้น เมื่อไปทำฟันควรแจ้งกับทันตแพทย์และเจ้าที่ที่ให้บริการทราบว่า กำลังตั้งครรภ์ เพื่อความสะดวกในการเข้ารับบริการ คุณแม่ตั้งท้องไปทำฟัน มีข้อควรรู้อะไรบ้าง สำหรับข้อควรรู้สำหรับคุณแม่ตั้งอาจมี ดังนี้ ตรวจเช็กสุขภาพฟันก่อนตั้งท้อง ก่อนการตั้งท้องควรไปตรวจเช็กสุขภาพฟัน และจัดการกับปัญหาสุขภาพในช่องปากให้เรียบร้อย เพื่อที่ในระหว่างตั้งท้องจะได้มีสุขภาพช่องปากที่ดี อย่างไรก็ตาม เมื่อตั้งท้องระดับฮอร์โมนจะมีการเปลี่ยนแปลง ทำให้หิวบ่อย หิวง่าย รับประทานของหวานมากขึ้น ซึ่งเอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดปัญหาฟันผุและปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพเหงือกได้ ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการ ทำฟันขณะตั้งครรภ์ แม้การไปพบทันตแพทย์จะสามารถทำได้ในขณะตั้งท้อง แต่ก็มีช่วงเวลาที่เหมาะแก่การทำฟันอยู่ด้วยเช่นกัน โดยช่วงเวลาดังกล่าว คือ ช่วงไตรมาสที่ 2 และช่วงที่ไตรมาสที่ 3 ของการตั้งท้อง โดยในส่วนของช่วงไตรมาสที่ 3 นั้น แม้จะมีความปลอดภัย แต่ยังคงมีปัญหาในส่วนของการเอนหลัง หรือการนอนขณะทำฟัน เนื่องจากมีขนาดครรภ์ใหญ่ จนอาจทำให้เกิดความลำบากต่อคุณแม่ได้ แจ้งทันแพทย์ว่ากำลังตั้งท้อง คุณแม่ที่ต้องการทำฟันขณะตั้งท้อง ควรแจ้งทันตแพทย์ก่อนเสมอว่า กำลังตั้งท้อง […]


การดูแลก่อนคลอด

ของว่างสำหรับแม่ตั้งครรภ์ มีอะไรบ้างเพื่อสุขภาพที่แข็งแรง

ของว่างสำหรับแม่ตั้งครรภ์ คืออาหารระหว่างมื้อที่หญิงตั้งครรภ์รับประทานระหว่างวัน เนื่องจากร่างกายต้องการอาหารไปหล่อเลี้ยงทารกที่อยู่ในครรภ์จึงทำให้หิวบ่อย ดังนั้น ควรเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ อาจเป็นผลไม้ ธัญพืช แทนอาหารว่างที่มีไขมันหรือน้ำตาลสูง เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนและส่งเสริมพัฒนาการของทารกมากกว่าแค่การเพิ่มน้ำหนักตัว ของว่างสำหรับแม่ตั้งครรภ์ อาหารที่ดีต่อสุขภาพของคุณแม่ตั้งครรภ์และช่วงส่งเสริมการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ มีอะไรบ้าง เนยถั่ว ของว่างสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ที่ดีต่อสุขภาพ ควรประกอบด้วยโปรตีน ไฟเบอร์ และไขมันที่ดีต่อสุขภาพ เพื่อจะได้ทำให้รู้สึกอิ่มระหว่างวัน หนึ่งในนั้นคือ เนยถั่ว โดยรับประทานประมาณ 1-2 ช้อนชา อาจรับประทานควบคู่กับแอปเปิ้ลเพื่อจะได้เสริมไฟเบอร์เข้าร่างกาย  ไข่ต้ม ไข่ต้มมีโปรตีนสูง และรับประทานง่าย ในไข่แดงอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ เช่น โคลีน ที่มีบทบาทในการพัฒนาสมองและระบบประสาทของทารกในครรภ์ โยเกิร์ต ควรเลือกซื้อโยเกิร์ตที่มีน้ำตาลน้อย และคุณแม่ตั้งครรภ์อาจรับประทานโยเกิร์ตกับผลไม้ต่าง ๆ เนื่องจากโยเกิร์ตช่วยทำให้คุณแม่และทารกได้รับแคลเซียมอย่างเพียงพอ เพื่อความแข็งแรงของกระดูกและฟัน นอกจากนี้การเพิ่มถั่วและผลไม้ในโยเกิร์ต ยังทำให้ได้รับโปรตีนและไฟเบอร์เพิ่มด้วย กล้วย กล้วยหอมหรือกล้วยน้ำว้าสุก โดยธรรมชาติแล้วจะมีน้ำตาลสูง แต่ก็มีไฟเบอร์ โพแทสเซียม วิตามินซี และวิตามินบี 6 ด้วย ซึ่งมีงานวิจัยที่พบว่าวิตามินบี 6 มีส่วนช่วยทำให้อาการแพ้ท้องดีขึ้น คุณแม่ตั้งครรภ์จึงอาจซื้อกล้วยติดบ้านไว้ สำหรับเวลาที่ต้องการรับประทานของว่างสำหรับแม่ตั้งครรภ์ ดาร์กช็อกโกแลต ช็อกโกแลตช่วยลดความเสี่ยงของภาวะครรภ์เป็นพิษ ซึ่งเป็นภาวะที่อาจทำให้เกิดความดันโลหิตสูง และอวัยวะเกิดความเสียหาย ในผู้หญิงตั้งครรภ์บางราย ดังนั้น คุณแม่ตั้งครรภ์สามารถรับประทานช็อกโกแลตได้ แต่ควรจำกัดปริมาณ เพื่อไม่ให้มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง เพราะอาจส่งผลให้เกิดภาวะเบาหวานระหว่างตั้งครรภ์ได้ แซนวิชทูน่า ทูน่าเป็นหนึ่งในของว่างสำหรับแม่ตั้งครรภ์ที่เหมาะแก่การรับประทานเสริมระหว่างวัน เพราะมีโปรตีนสูง มีสารปรอทต่ำ และเป็นแหล่งของกรดไขมันโอเมก้า 3 […]


การดูแลก่อนคลอด

คนท้องทำงานบ้าน อันตรายหรือไม่ และควรหลีกเลี่ยงอะไรบ้าง

หลายคนอาจมีข้อสงสัยที่ว่า คนท้องทำงานบ้านได้หรือไม่ เป็นอันตรายต่อสุขภาพหรือเปล่า โดยปกติแล้วคนท้องมักสามารถทำงานบ้าน เช่น กวาดบ้าน ถูบ้าน ล้างจาน ได้ตามปกติ โดยไม่มีข้อห้ามใด ๆ อีกทั้งยังอาจส่งผลดีต่อคุณแม่เนื่องจากได้เคลื่อนไหวร่างกาย อย่างไรก็ตาม คุณแม่ควรหลีกเลี่ยงงานบ้านที่ต้องใช้แรงมากหรืออาจเป็นอันตรายต่อคุณแม่และทารกในครรภ์ [embed-health-tool-due-date] คนท้องทำงานบ้าน ควรหลีกเลี่ยงงานประเภทไหน การทำงานบ้านที่ใช้สารเคมี ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในบ้าน เช่น ยาฆ่าแมลง ยาฉีดยุง ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดบ้าน น้ำยาซักผ้า มักมีสารเคมีอันตราย หากต้องการล้างห้องน้ำหรือกำจัดแมลง อาจขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น หรืออาจจะลองใช้วิธีธรรมชาติ เช่น น้ำส้มสายชู น้ำมะนาว โซดาไฟ ในการทำความสะอาดบ้าน หรือกำจัดแมลงก็ได้ การย้ายเฟอร์นิเจอร์น้ำหนักมาก พึงระลึกไว้ว่า การเคลื่อนย้ายของหนัก ทำให้เกิดอันตรายต่อกล้ามเนื้อ หรืออาจทำให้เกิดอาการปวดและการบาดเจ็บได้ เนื่องจากในระหว่างการตั้งครรภ์ เนื้อเยื่อเกี่ยวพันและเส้นเอ็นจะอาจไม่ได้ยึดกันแน่นเหมือนปกติ นอกจากนี้ น้ำหนักที่เพิ่มมากขึ้นของคุณแม่ตั้งครรภ์ อาจทำให้คุณแม่ทรงตัวลำบากหรือเสียสมดุลได้ง่าย และเพิ่มความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ อีกทั้งการเคลื่อนย้ายของทำให้เกิดแรงกด ดังนั้น จึงควรให้สามีหรือผู้อื่นในบ้านทำหน้าที่นี้แทน การทำความสะอาดกรงสัตว์เลี้ยง โรคติดเชื้อจากเชื้อปรสิต (Toxoplasmosis) เป็นภาวะติดเชื้อที่ติดต่อทางอุจจาระของแมว ทำให้เกิดความเสี่ยงสูงสุดต่อทารก นอกจากนี้ สามารถรับเชื้อปรสิตหรือเชื้อโรคเมื่อกำจัดอุจจาระของสุนัขหรือแมว ดังนั้น จึงควรสวมถุงมือและล้างมือให้สะอาดหลังจากการกำจัดอุจจาระสัตว์เลี้ยง หรือควรให้ผู้อื่น ทำงานบ้าน นี้แทนจะดีกว่า การปีนเก้าอี้หรือเดินขึ้นบันได ควรหลีกเลี่ยงการ ทำงานบ้าน บางประเภทที่ต้องใช้เก้าอี้ บันได […]


การดูแลก่อนคลอด

อัลตร้าซาวด์ ปลอดภัยสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์และทารกหรือไม่

อัลตร้าซาวด์ ก่อนคลอด เป็นขั้นตอนทางการแพทย์ในการตรวจวินิจฉัยอวัยวะในร่างกายด้วยคลื่นความถี่สูง เพื่อตรวจดูรังไข่หรือลักษณะและพัฒนาการของทารกในครรภ์ ถุงน้ำคร่ำ และรก การตรวจครรภ์ด้วยอัลตร้าซาวด์อาจช่วยให้คุณหมอมีโอกาสตรวจพบความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับทารกในครรภ์และภาวะอื่น ๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการคลอดได้ คุณแม่ตั้งครรภ์ตรวจอัลตร้าซาวด์เมื่อไร โดยปกติ คุณแม่ที่มีอายุครรภ์ตั้งแต่ 20 สัปดาห์ จะได้รับการตรวจครรภ์ด้วยอัลตร้าซาวด์ ซึ่งจะช่วยให้คุณหมอสามารถทราบว่ารกอยู่ในสภาพที่แข็งแรง และทารกเติบโตตามที่ควรจะเป็นหรือไม่ โดยคุณหมออาจสังเกตการเต้นของหัวใจและการเคลื่อนไหวของทารกผ่านการตรวจนี้ได้ด้วย การตรวจด้วยอัลตราซาวด์อาจช่วยในการตรวจเพศของทารกได้ โดยสามารถระบุความต้องการกับคุณหมอก่อนการตรวจว่าอยากทราบเพศของทารก แต่ก็ควรเผื่อใจไว้ด้วยว่า ผลการตรวจเพศด้วยการอัลตร้าซาวด์นี้อาจไม่แม่นยำ และไม่แน่นอน การตรวจอัลตร้าซาวด์นั้น สามารถทำได้ 2-3 ครั้ง ในระหว่างตั้งครรภ์ โดยจุดประสงค์ของการตรวจก็จะแตกต่างกันไปตามอายุครรภ์ คุณหมออาจแนะนำให้ตรวจอัลตร้าซาวด์ ก่อนอายุครรภ์ 20 สัปดาห์ โดยมีจุดประสงค์ ดังนี้ ตรวจหาจำนวนทารกในมดลูก คำนวณเพื่อกำหนดวันคลอด คำนวณอายุของทารกในครรภ์ (อายุครรภ์) ในช่วงท้ายของการตั้งครรภ์ การทำอัลตร้าซาวด์อาจช่วยให้ทราบเกี่ยวกับ สภาวะสุขภาพของทารก ตำแหน่งของรกและท่าทางของทารก ปริมาณน้ำคร่ำ ตำแหน่งของทารก น้ำหนักของทารกเมื่อแรกคลอด ขั้นตอนการตรวจครรภ์ด้วยอัลตร้าซาวด์ ลำดับแรก ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าที่โรงพยาบาลเตรียมไว้ให้ เพื่อความสะดวกในการตรวจของคุณหมอ จากนั้น จึงนอนลงบนเตียงตรวจ และคุณหมอจะทาเจลบริเวณหน้าท้อง ซึ่งเจลนี้มีส่วนผสมของน้ำ และจะไม่ทิ้งคราบบนเสื้อผ้า คุณหมอจะค่อย ๆ วางตัวแปลงสัญญาณบริเวณหน้าท้อง และคลื่นเสียงความถี่สูงจะถูกส่งจากตัวแปลงสัญญาณนี้ไปสู่โครงสร้างภายในครรภ์ และสะท้อนกลับเป็นภาพทารกบนหน้าจอ ทำให้คุณแม่ตั้งครรภ์ได้ยินเสียงหัวใจของทารก และมองเห็นการเคลื่อนไหวของทารกบนหน้าจอ และภาพเหล่านี้สามารถพิมพ์ออกมาได้ด้วย โดยปกติแล้ว […]


การดูแลก่อนคลอด

โยคะสำหรับคนท้อง มีประโยชน์ต่อสุขภาพคุณแม่และทารกอย่างไร

โยคะ คือศาสตร์การฝึกฝนร่างกายและจิตใจ โดยมีลักษณเด่นคือการเคลื่อนไหวและแสดงท่วงท่าต่าง ๆ อย่างช้า ๆ ซึ่งอาจมีประโยชน์ทั้งต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิต รวมไปถึง โยคะสำหรับคนท้อง ที่อาจดีต่อสุขภาพของคุณแม่ตั้งครรภ์และทารกในครรรภ์ อย่างไรก็ตาม ก่อนเริ่มฝึกโยคะสำหรับคนท้อง ควรปรึกษาคุณหมอก่อนเพื่อความปลอดภัย [embed-health-tool-pregnancy-weight-gain] ประโยชน 7 ประการ ของการฝึก โยคะสำหรับคนท้อง การฝึกโยคะ ทำให้คุณแม่ร่างกายสมบูรณ์และแข็งแรงขึ้น ระหว่างการตั้งครรภ์ ร่างกายจะต้องพบกับการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและอารมณ์อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนต่าง ๆ เช่น ฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen)  ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone) ฮอร์โมนโพรแลคติน (Prolactin) ฮอร์โมนออกซิโทซิน (Oxytocin) การฝึกโยคะ สำหรับผู้ตั้งครรภ์นั้น จะช่วยให้ร่างกายปรับตัวได้อย่างเหมาะสม เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในระหว่างการตั้งครรภ์ มีประโยชน์ในการช่วยสร้างความแข็งแรงให้ร่างกายโดยเฉพาะบริเวณช่วงล่าง ทำให้สามารถลดปัญหาการรับน้ำหนักของท้องที่โตขึ้น และยังทำให้คุณแม่รู้สึกสบายและผ่อนคลายอีกด้วย โยคะเป็นวิธีเรียนรู้เทคนิคการหายใจได้ดีเยี่ยม อยากรู้ไหมว่าทำไมการเรียนรู้เทคนิคการหายใจจึงสำคัญมากสำหรับผู้หญิงตั้งครรภ์ เทคนิคการฝึกหายใจนั้นให้ผลดีไม่เพียงแต่เฉพาะทางร่ายกายเท่านั้น แต่ยังส่งผลดีต่อสภาพจิตใจด้วย คำตอบคือ..การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนที่เกิดขึ้นระหว่างการตั้งครรภ์นั้นมีผลต่อสภาพทางอารมณ์ของคุณแม่ อารมณ์นั้นสามารถเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วโดยไม่มีเหตุผล ซึ่งอาจสร้างความสับสน งวยงงให้แก่คู่ครองหรือคนรอบข้าง หากต้องอยู่ตกอยู่ภาวะวิตกกังวลแบบไร้เหตุผล เพื่อการควบคุมอารมณ์ที่ดีขึ้นของคุณแม่ตั้งครรภ์ การหายใจอย่างมีสตินั้นจึงเป็นวิธีที่แนะนำให้ใช้ ครูผู้ฝึกโยคะสำหรับผู้ตั้งครรภ์นั้น จะสอนให้คุณแม่ตั้งครรภ์เรียนรู้ถึงเทคนิคการหายใจที่ดีขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อการลดหรือจัดการกับปัญหาการหายใจที่ไม่เต็มอิ่มที่มักเกิดขึ้นระหว่างตั้งครรภ์ ทั้งยังช่วยเพิ่มระดับออกซิเจนให้ลูกน้อยอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น การเรียนรู้เทคนิคการหายใจยังช่วยให้ลดความเจ็บปวดระหว่างการคลอดอีกด้วย การหายใจสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์นั้นสำคัญมากจนมีคำกล่าวที่ว่า “การหายใจคือเพื่อนที่ดีที่สุดระหว่างการคลอดลูก” การฝึกโยคะ มีส่วนช่วยลดอาการปวดหลัง ปัญหาที่พบบ่อยในหญิงตั้งครรภ์ก็คือ การทรมานจากการสูญเสียสมดุลของร่างกาย รวมไปถึงอาการปวดหลังส่วนล่างด้วย  โยคะเพื่อการตั้งครรภ์นั้น จะเข้ามามีบทบาทในการช่วยให้เลือดนั้นไหลเวียนผ่านทั่วร่างกายได้ดีขึ้น […]


การดูแลก่อนคลอด

คนท้องกินกาแฟ เป็นอันตรายหรือเปล่า

คนท้องกินกาแฟ อันตรายหรือไม่ อาจเป็นคำถามคาใจหลายคน โดยเฉพาะสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ที่เป็นคอกาแฟ ตามปกติ การดื่มกาแฟวันละไม่เกิน 1 แก้ว อาจไม่ส่งผลอันตรายใด ๆ แต่การบริโภคคาเฟอีนมากเกินไป อาจส่งผลกระทบต่อคุณแม่ตั้งครรภ์และทารกในครรภ์ เช่น เพิ่มระดับความดันโลหิต ส่งผลกระทบต่อการนอนหลับ หรือส่งผลกระทบต่อพัฒนาการและการเจริญเติบโต ดังนั้น คุณแม่ตั้งครรภ์จึงควรเพิ่มความระมัดระวังการบริโภคเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพทั้งกับแม่และทารกในครรภ์ [embed-health-tool-due-date] คนท้องกินกาแฟ อันตรายหรือไม่ มีงานวิจัยที่พบว่า การบริโภคคาเฟอีนระหว่างตั้งครรภ์มากกว่าวันละ 150-200 มิลลิกรัมต่อวัน อาจส่งผลกระทบต่อพัฒนาการและการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ และอาจเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแท้งบุตรหรือเด็กอาจเกิดมามีน้ำหนักตัวต่ำ นอกจากนี้ยังอาจส่งผลกระทบทั้งกับคุณแม่ตั้งครรภ์และทารกในครรภ์ ดังนี้ ผลกระทบต่อแม่ตั้งครรภ์ เมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์ดื่มกาแฟ อาจส่งผลกระทบดังต่อไปนี้ ระดับการเต้นของหัวใจและการเผาผลาญเพิ่มมากขึ้น ความดันโลหิตเพิ่มขึ้น และอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ ตื่นตัว นอนไม่หลับ มีกรดในกระเพาะ ปวดท้อง หรือท้องเสีย ปัสสาวะบ่อยขึ้น คาเฟอีนอาจลดการดูดซึมของธาตุเหล็กในอาหาร ทำให้คุณแม่ตั้งครรภ์อาจขาดธาตุเหล็กได้ ผลกระทบต่อทารกในครรภ์ เมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์ดื่มกาแฟหนึ่งแก้ว คาเฟอีนจะถูกส่งผ่านไปยังรก น้ำคร่ำและกระแสโลหิตของทารกในครรภ์ คาเฟอีนอาจทำให้ระดับการเต้นของหัวใจและการเผาผลาญเพิ่มมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์ได้เช่นกัน โดยมีรายงานว่าทารกที่แม่ดื่มคาเฟอีนมากกว่า 500 มิลลิกรัมต่อวันระหว่างที่ตั้งครรภ์นั้นมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะดังต่อไปนี้ หัวใจของทารกเต้นเร็วขึ้น อัตราการหายใจเพิ่มขึ้น ตื่นบ่อย พัฒนาการและการเจริญเติบโตอาจล่าช้า ปริมาณกาแฟที่เหมาะสมสำหรับคนท้องคือเท่าไหร่ ผู้ที่ตั้งครรภ์ไม่ควรบริโภคคาเฟอีนมากกว่า 200 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งโดยปกติ กาแฟสำเร็จรูปขนาดมาตรฐาน 1 […]


การดูแลก่อนคลอด

เสื้อในคนท้อง ควรเลือกใส่แบบไหนถึงจะเหมาะสม

ในระหว่างตั้งครรภ์ ร่างกายของผู้หญิงมักจะมีการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะในส่วนของหน้าอก ทำให้ต้องมีการเปลี่ยนแปลงเสื้อผ้ารวมไปถึงเสื้อใน เพื่อให้รู้สึกสบายเมื่อสวมใส่ ผู้หญิงบางคนอาจสังเกตเห็นว่า หน้าอกเริ่มใหญ่ขึ้นตั้งแต่สัปดาห์ที่ 6 ของการตั้งครรภ์ ในขณะที่บางคนอาจจะเห็นการเปลี่ยงแปลงเมื่อเข้าสู่ไตรมาสที่ 3 การที่หน้าอกขยายออกเป็นเพราะระดับฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้นและท่อน้ำนมเติบโตขึ้น การเลือก เสื้อในคนท้อง ถือเป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับคุณผู้หญิง เนื่องจาก เสื้อในที่กระชับพอดีตัวจนเกินไปอาจทำให้เกิดอาการปวดเต้านม ปวดหลัง และคอได้ ดังนั้น จึงควรเลือกบราที่ใส่แล้วรู้สึกสบาย ทั้งยังรองรับหน้าอก แผ่นหลัง รวมถึงสามารถยืดเพื่อรองรับหน้าอกที่กำลังเติบโตขึ้นได้ด้วย [embed-health-tool-pregnancy-weight-gain] เสื้อในคนท้อง แบบมีโครงอันตรายหรือไม่ เสื้อในคนท้อง แบบมีโครงไม่อันตราย แต่ไม่เหมาะสมกับคุณแม่ตั้งครรภ์ เนื่องจากในระหว่างตั้งครรภ์และหลังตั้งครรภ์เต้านมของผู้หญิงอาจเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างมาก การสวมเสื้อในที่มีโครงอยู่รอบเต้านม จึงอาจทำให้คุณแม่ตั้งครรภ์เกิดความรู้สึกไม่สบายตัวได้ ข้อเสียของเสื้อในมีโครง อาจเป็นอุปสรรคต่อระบบการไหลเวียนเลือดบริเวณหน้าอกในช่วงตั้งครรภ์ เพราะว่าระบบไหลเวียนเลือดบริเวณเต้านมจะสูงมากกว่าปกติ ก่อให้เกิดแรงกดรั้งและบีบเค้นบริเวณท่อน้ำนม อาจก่อให้เกิดอาการเจ็บปวดหรืออักเสบบริเวณเต้านม บางครั้งอาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อ อาจทำให้รู้สึกไม่สบายขณะสวมใส่ ในระหว่างตั้งครรภ์ เต้านมกำลังเตรียมตัวที่จะผลิตน้ำนมสำหรับลูกน้อยที่กำลังจะเกิดมา ดังนั้น เสื้อชั้นในควรต้องใส่สบาย ไม่อึดอัด ดังนั้น การสวมใส่เสื้อในที่ออกแบบมาเพื่อคุณแม่โดยเฉพาะอาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า เสื้อในคนท้องควรเลือกอย่างไร คุณแม่ตั้งครรภ์สามารถหาซื้อเสื้อในคนท้องที่ได้รับการออกแบบมาพิเศษ เพื่อรองรับกับการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติของเต้านมของผู้หญิงที่กำลังจะเป็นแม่ เมื่อเข้าสู่ช่วงของการตั้งครรภ์ไตรมาสที่ 2 คุณแม่อาจจำเป็นต้องทำการวัดรอบอก 2-3 ครั้ง เพื่อให้ได้ขนาดคัพที่เหมาะสมในการเลือกเสื้อในสำหรับคุณแม่ และอาจจำเป็นต้องปรับขนาดเสื้อในอีกครั้งเมื่อเข้าสู่ช่วงไตรมาสสุดท้ายของการตั้งครรภ์ เพราะขนาดเต้านมจะใหญ่อีก ดังนั้น จึงไม่ควรซื้อเสื้อในในช่วงไตรมาสที่ 2 ไว้มากนัก […]


การดูแลก่อนคลอด

ท้องลาย จากการ ตั้งครรภ์ มีวิธีรักษาหรือไม่

ท้องลาย มักเกิดขึ้นกับหญิง ตั้งครรภ์ แทบทุกคน เพราะการตั้งครรภ์ทำให้น้ำหนักตัวเปลี่ยนแปลง ผิวหนังจึงเกิดการขยายตัว กลายเป็นรอยแตกลายตามบริเวณต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ใต้ท้องแขน หน้าอก แต่มักเกิดรอยแตกลายบริเวณหน้าท้องมากกว่าบริเวณอื่น คุณแม่ตั้งครรภ์มักกังวลว่าท้องลายแล้วจะสามารถรักษาได้หรือไม่ หรือจะป้องกันการเกิดท้องลายได้อย่างไรบ้าง [embed-health-tool-pregnancy-weight-gain] สาเหตุที่ทำให้ ท้องลาย จากการ ตั้งครรภ์ ท้องลาย (Stretch marks) เกิดขึ้นเมื่อผิวหนังขยายตัวเร็วเกินไป เป็นเหตุให้เส้นใยยืดหยุ่น (Elastic fibers) ที่อยู่ใต้ชั้นผิวแยกออก จนเกิดเป็นรอยแตกลาย ซึ่งหนึ่งในสาเหตของท้องลายมาจากการตั้งครรภ์ เนื่องจากหญิงตั้งครรภ์มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นในช่วงระยะเวลาที่ตั้งครรภ์ ดังนั้น การขยายของผิวหนังอย่างรวดเร็ว สามารถทำให้เกิดรอยแตกลายบนผิวได้ โดยเฉพาะบริเวณท้องและเต้านม ที่จะมีรอยแตกลายมากเป็นพิเศษ นอกจากนี้รอยแตกลายยังสามารถปรากฏบนต้นขา ต้นแขน และก้น โดยรอยแตกลายอาจมีสีแดงหรือม่วง แต่หลังจากคลอดลูกแล้ว รอยแตกลายเหล่านี้ก็จะค่อย ๆ จางเปลี่ยนเป็นสีขาวหรือสีเทา และหากคนที่มีลักษณะผิวสีค่อนข้างสว่าง ก็มีแนวโน้มว่าจะเกิดรอยแตกลายสีชมพูอ่อน ส่วนผู้หญิงที่มีผิวสีเข้ม มีแนวโน้มว่าจะเกิดรอยแตกลายที่มีสีสว่างกว่าสีผิวของตัวเอง อย่างไรก็ตาม แม้ว่ารอยแตกลายจะพบได้ทั่วไป แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณแม่ตั้งครรภ์ทุกคนจะท้องลาย นอกจากนี้รอยแตกลายยังอาจเกิดได้จากสาเหตุอื่น ได้แก่ ช่วงที่เปลี่ยนจากวัยเด็กเป็นวัยรุ่น น้ำหนักลงหรือน้ำหนักขึ้นอย่างรวดเร็ว ออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่ง จนทำให้กล้ามเนื้อโตเร็วเกินไป ข้อมูลจากสมาคม the American Academy […]


การดูแลก่อนคลอด

ผู้หญิงตั้งครรภ์ขึ้นเครื่องบิน ควรดูแลตัวเองอย่างไร

โดยทั่วไปหญิงตั้งครรภ์ที่สุขภาพดีและไม่มีภาวะแทรกซ้อน ที่ต้องดูแลติดตามอย่างใกล้ชิดสามารถทำกิจกรรมที่เคยทำได้ตามปกติ รวมถึงการเดินทางท่องเที่ยวโดยเครื่องบิน โดยปกติแล้ว ผู้หญิงตั้งครรภ์สามารถเดินทางในระยะสั้น เช่น การเดินทางในประเทศ ได้ สำหรับการเดินทางไกลข้ามประเทศนั้น ผู้หญิงตั้งครรภ์ขึ้นเครื่องบิน ได้หากอายุครรภ์ไม่เกิน 36 สัปดาห์ เนื่องจากเป็นอายุครรภ์ที่ใกล้ครบกำหนดและอาจเสี่ยงต่อการคลอดบนเครื่องบินได้ ทั้งนี้อาจต้องเตรียมตัวเอง และสิ่งอื่น ๆ ให้พร้อม เช่น ใบรับรองแพทย์ที่อนุญาตให้บิน [embed-health-tool-pregnancy-weight-gain] สิ่งที่ ผู้หญิงตั้งครรภ์ขึ้นเครื่องบิน ควรรู้ โดยทั่วไป ก่อนที่ผู้หญิงตั้งครรภ์จะเดินทางหรือขึ้นเครื่องบิน สิ่งแรกที่ควรทำ คือ ตรวจสอบกฎของสายการบินในเรื่องของอายุครรภ์ที่อนุญาตให้ขึ้นเครื่องบินได้ ซึ่งปกติแล้วจะอนุญาตให้คุณแม่ตั้งครรภ์ที่อายุครรภ์ไม่เกิน 36 สัปดาห์ หรือบางสายการบินก็อาจกำหนดอยู่ที่ไม่เกิน 27 สัปดาห์ ขณะที่บางสายการบิน เช่น Air France Delta Airline หรือ Egypt Air ไม่กำหนดอายุครรภ์ที่สามารถทำการบินได้ นอกจากนี้ บางสายการบินอาจต้องการใบรับรองแพทย์ที่อนุญาตให้บินได้ด้วย เพราะฉะนั้นก่อนจะจองการเดินทาง ผู้หญิงตั้งครรภ์ควรตรวจสอบนโยบายเรื่องนี้กับสายการบินที่จะทำการเดินทางก่อน อีกสิ่งที่ควรใส่ใจ คือ ประกันสุขภาพในระหว่างการเดินทาง ซึ่งจำเป็นต้องอย่างยิ่ง เพื่อประกันการช่วยเหลือทางการแพทย์ในกรณีฉุกเฉิน และการเคลื่อนย้ายกลับมารักษาต่อที่ประเทศของตัวเอง อาจต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่า ประกันสุขภาพในระหว่างเดินทางครอบคลุมหรือไม่ครอบคลุมอะไรบ้าง ในกรณีของผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์อยู่ และมีประกันสุขภาพอยู่แล้ว […]

advertisement iconโฆษณา
advertisement iconโฆษณา

คุณกำลังกังวลเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ใช่หรือไม่?

หยุดกังวลได้แล้ว มาเข้าชุมชนสนทนาเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ และแลกเปลี่ยนข้อมูลกับคุณแม่และว่าที่คุณแม่คนอื่น ๆ เข้าร่วมชุมชนได้เลย!


advertisement iconโฆษณา

ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของเรา

ทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของ Hello คุณหมอ ประกอบไปด้วยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มาร่วมสร้างสรรค์บทความในเว็บไซต์ของเราตามความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญของเราจะช่วยรับรองว่าข้อมูลด้านสุขภาพของเราถูกต้อง เป็นปัจจุบัน และตรงตามหลักฐานจากงานวิจัยล่าสุด
ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรามุ่งมั่นเต็มที่ในการช่วยให้คุณได้รับข้อมูลและความรู้ด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือ เข้าใจง่าย และเป็นประโยชน์ และพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพกับคุณเสมอ เพื่อให้คุณได้รับทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น

ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม
ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม