โภชนาการเพื่อสุขภาพ

"You are what you eat" อาหารที่คุณรับประทาน มีความสำคัญอย่างมาก ต่อสุขภาพร่างกายของคุณ แต่น่าเสียดายที่ยังคงมีความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับ โภชนาการเพื่อสุขภาพ อยู่มากมาย ดังนั้น การแยกแยะข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ

เรื่องเด่นประจำหมวด

โภชนาการเพื่อสุขภาพ

ข้าว 10 ปี กินได้อยู่ไหม? อันตรายรึเปล่า?

ข้าว เป็นหนึ่งในอาหารหลักของคนไทย ซึ่งมีอยู่หลากหลายสายพันธุ์ ทั้งข้าวหอมมะลิ ข้าวกล้อง ข้าวเสาไห้ และอื่น ๆ หลายบ้านมักจะมีข้าวสารเก็บติดบ้านไว้เสมอ แต่ข้าวสารนั้นเก็บไว้ได้กี่ปี ข้าว 10 ปี ยังกินได้อยู่หรือไม่ หาคำตอบได้ในบทความนี้ [embed-health-tool-bmi] ข้าวสาร เก็บได้กี่ปี  ข้าวสารสามารถเก็บไว้ได้นานกี่ปีถึงจะยังนำมารับประทานได้โดยไม่เกิดอันตราย จากข้อมูลของเว็บไซต์ Think Rice เว็บไซต์เกี่ยวกับข้าวแหล่งสหรัฐอเมริกา ได้ให้ข้อมูลไว้ว่า ข้าวเต็มเมล็ดที่ไม่ผ่านการขัดสีอย่าง ‘ข้าวกล้อง’ สามารถเก็บไว้ได้นานสูงสุดประมาณ 6 เดือน ส่วนข้าวที่ผ่านการขัดสีแล้วอย่าง ‘ข้าวขาว’ อาจสามารถเก็บไว้ได้นาน ไม่มีวันหมดอายุ หากเก็บรักษาไว้อย่างถูกต้อง โดยเก็บไว้ในภาชนะที่มีฝาปิดมิดชิด และเก็บไว้ในที่แห้ง ปราศจากความชื้น  อย่างไรก็ตาม การเก็บรักษาข้าวอย่างไม่เหมาะสมอาจส่งผลให้คุณภาพของเมล็ดข้าวลดลง หรือเกิดความผิดปกติ เช่น มีกลิ่นเหม็นหืน สีเปลี่ยนไป หรือมีเชื้อราขึ้น ซึ่งอาจเป็นอันตรายได้หากรับประทาน ข้าว 10 ปี กินได้ไหม จากข้างต้น ข้าวขาวที่เก็บไว้อย่างถูกต้องยังคงสามารถนำมาหุงรับประทานได้ เพียงแค่กลิ่นอาจจะไม่หอมเท่าและรสสัมผัสอาจจะแตกต่างจากข้าวใหม่  อย่างไรก็ตาม ควรระมัดระวังหากข้าวมีความผิดปกติ หรือมีการปนเปื้อนของสารพิษ โดยเฉพาะ อะฟลาท็อกซิน (Aflatoxin) ซึ่งเป็นสารพิษจากเชื้อราที่พบได้ในอาหารต่าง ๆ เช่น ถั่วลิสง […]

สำรวจ โภชนาการเพื่อสุขภาพ

โภชนาการเพื่อสุขภาพ

ไขมันทรานส์ อันตรายต่อสุขภาพจริงเหรอ

ไขมันทรานส์ (Trans Fat) คือไขมันที่ได้จากการเติมไฮโดรเจนลงในน้ำมันพืช ทำให้ได้ไขมันที่แข็งตัวในอุณหภูมิห้อง เช่น มาการีน พบได้มากในอาหารแปรรูป และอาหารจำพวกขนมอบ เบเกอรี่ นอกจากนี้ ยังไขมันทรานส์ยังอาจเกิดขึ้นตามธรรมชาติ และสามารถพบได้ในอาหารบางประเภท เช่น เนื้อวัว เนื้อแกะ ไขมันทรานส์นับเป็นไขมันไม่ดีอย่างหนึ่ง เมื่อรับประทานเข้าไปในปริมาณมากอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคต่าง ๆ โดยเฉพาะโรคหัวใจ ในปัจจุบัน กระทรวงสาธารณสุขจึงได้ประกาศห้ามผลิต นำเข้า หรือจำหน่าย อาหารที่มี ไขมันทรานส์ โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2562 เป็นต้นไป [embed-health-tool-bmi] ประเภทของไขมันทรานส์ ไขมันทรานส์ อาจแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ดังนี้ ไขมันทรานส์จากแหล่งธรรมชาติ คือ มาจากอาหาร เช่น เนื้อสัตว์ เช่น เนื้อวัว เนื้อแกะ และเนื้อแพะ ไขมันทรานส์ พบในผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม 2-5% และในเนื้อวัว และเนื้อแกะ 3-9% งานวิจัยหลายงานวิจัย สรุปว่า การกินไขมันทรานส์ในปริมาณที่พอดี จะไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย […]


เคล็ดลับโภชนาการที่ดี

ป่วยเป็น ไข้เลือดออก อาหาร 6 อย่างที่ช่วยในการฟื้นฟูร่างกาย

โรคไข้เลือดออก เมื่อเป็นแล้วจะมีอาการเหมือนเป็นไข้หวัดใหญ่ แต่อาการจะหนักกว่า และอาจถึงขั้นเสียชีวิต เนื่องจากภาวะเลือดออกมาก สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรค ไข้เลือดออก อาหาร ของผู้ป่วยที่จะช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูตัวเองได้เร็วขึ้น จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม และนี่คืออาหาร 6 อย่างที่เหมาะกับผู้ป่วยไข้เลือดออก อาหาร ที่ช่วยฟื้นฟูร่างกายหากเป็น ไข้เลือดออก 1 ผักโขม ผักโขม อุดมไปด้วยธาตุเหล็ก และกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย และยังช่วยเพิ่มเกล็ดเลือดด้วย ผู้ป่วยไข้เลือดออกจะมีภาวะเลือดออกมาก เกล็ดเลือดต่ำ ดังนั้น จึงต้องกินอาหารที่มีส่วนช่วยในการเพิ่มปริมาณเกล็ดเลือด 2 บร็อคโคลี่ บร็อคโคลี่ มีวิตามินเค ซึ่งมีส่วนช่วยในการสร้างเกล็ดเลือด หากผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกมีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ จึงควรเพิ่มบร็อคโคลี่เข้าไปในมื้ออาหาร นอกจากจะช่วยเรื่องปริมาณเกล็ดเลือดแล้ว บร็อคโคลี่ยังอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ และมีแร่ธาตุมากมาย ที่จะทำให้ผู้ป่วยแข็งแรงขึ้น 3 น้ำใบมะละกอคั้น ดร. Ashutosh Gautam ผู้เชี่ยวชาญด้านแพทย์แผนโบราณ ที่เมือง Baidyanath ในประเทศอินเดีย ได้ให้ข้อมูลว่า น้ำใบมะละกอมีสรรพคุณช่วยเพิ่มเกล็ดเลือด จึงมีส่วนช่วยในการรักษาโรคไข้เลือดออกได้ นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยในประเทศมาเลเซีย และในประเทศไทยที่ชี้ว่า น้ำใบมะละกอมีผลต่อผู้ป่วยโรคไข้เลือดออก นอกจากนี้ยังไม่มีรายงานว่า การดื่มน้ำใบมะละกอเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกจึงสามารถลองดื่มน้ำต้มใบมะละกอได้ โดยการนำใบมะละกอมาบดและคั้นเอาน้ำมาดื่ม ในปริมาณ 30 มิลลิลิตรต่อครั้ง 4 […]


โภชนาการพิเศษ

อาหารเสริมสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง เป็นมะเร็งเต้านม ควรกินอะไรเพิ่มดี

ถ้าหากคุณได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น มะเร็งเต้านม นอกจากการรับประทานอาหารปกติในชีวิตประจำวันที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพแล้ว คุณก็ควรเพิ่มอาหารเสริมที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยมะเร็งเข้าไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นวิตามิน สมุนไพร สารต้านอนุมูลอิสระ การรับประทาน อาหารเสริมสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง ในช่วงที่คุณเป็นมะเร็งเต้านม จะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของคุณให้แข็งแรง และช่วยบรรเทาอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างที่คุณกำลังรักษาโรคมะเร็งเต้านมได้ด้วย อาหารเสริมสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง ที่คุณควรรับประทานในช่วงเป็นมะเร็งเต้านมมีอะไรบ้าง มาดูกันเลย อาหารเสริมสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง เต้านม 1. สารต้านอนุมูลอิสระ สารต้านอนุมูลอิสระ หรือแอนตี้ออกซิแดนท์ (Antioxidant) จำพวก วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี และซีลีเนียม (Selenium) สามารถช่วยป้องกันความเสียหายของเซลล์ในช่วงที่ทำเคมีบำบัดและฉายรังสีบำบัดได้ นอกจากนี้ วิตามินซี และวิตามินอี ยังช่วยลดอาการเหนื่อยล้าที่เกิดขึ้นได้อีกด้วย แม้ว่าสารต้านอนุมูลอิสระจะเป็นอาหารเสริมสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง ช่วยเสริมสร้างสุขภาพให้ผู้ป่วยมะเร็งเต้านมได้ แต่ในบางกรณี การได้รับสารต้านอนุมูลอิสระบางชนิดในปริมาณที่มากเกินไป ก็อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งได้เช่นกัน คุณสามารถหาสารต้านอนุมูลอิสระได้จากผักและผลไม้หลายชนิด เช่น ส้ม แอปเปิล แครอท พริก มัลเบอร์รี่หรือลูกหม่อน สับปะรด ทับทิม แคนตาลูป หรือสามารถหาซื้ออาหารเสริมที่มีสารต้านอนุมูลอิสระได้ตามร้านขายยาหรือซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป แม้สารต้านอนุมูลอิสระจากผักผลไม้จะให้ผลที่ดีกว่า แต่ในกรณีจำเป็น คุณก็สามารถบริโภคสารต้านอนุมูลอิสระที่มาในรูปแบบอาหารเสริมแทนได้ เพียงแต่ต้องควบคุมปริมาณให้ดี อย่าบริโภคอาหารเสริมเกินปริมาณที่กำหนดเป็นอันขาด 2. ชาเขียว ชาเขียว คืออีกหนึ่งอาหารเสริมสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ช่วยให้คุณสามารถต่อสู้กับโรคมะเร็งได้ เนื่องจากโรคมะเร็งเต้านมนั้น เกิดจากการที่เซลล์เต้านมเติบโตอย่างผิดปกติ และกลายเป็นเนื้อร้าย สารในชาเขียวจะสามารถช่วยชะลอ หรือป้องกันการเติบโตที่ผิดปกติของหลอดเลือดในเนื้องอกพวกนี้ได้ ปัจจุบันมีชาเขียวให้เลือกซื้อมาบริโภคมากมายหลายรูปแบบ […]


การควบคุมอาหารและการลดน้ำหนัก

10 เทคนิคลดพุง ที่ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้วว่าได้ผล

หลายคนอาจกำลังประสบปัญหา ใส่กางเกงได้ แต่ติดกระดุมไม่ได้ !!! เพราะติดพุง !!! บางทีก็ถึงขั้นรูดซิปไม่ได้เลย จึงคิดว่าต้องกำจัดไขมันส่วนเกินตรงหน้าท้องซะแล้ว แต่ลองมาแล้วหลายวิธี ก็ยังไม่ได้ผล ถ้าอย่างนั้นลองมาดูวิธี ลดพุง ที่ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้ว ว่าได้ผลแน่นอน กันเลยดีกว่าค่ะ เทคนิคลดพุง ที่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับ 1. กินอาหารที่มีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว การกินอาหารที่มี ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (Monounsaturated fats, MUFAs) ในทุกๆ มื้อ เช่น น้ำมันมะกอก ถั่วอัลมอนด์ หรืออะโวคาโด จะช่วยให้ไขมันในช่องท้องลดลงได้ ข้อมูลจากวารสาร Journal for Diabetes Care อธิบายว่า การกินอาหารที่อุดมไปด้วยไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว จะช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันในช่องท้อง  เนื่องจากไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวช่วยเร่งอัตราการเผาผลาญไขมัน และช่วยทำให้ลดพุงได้ 2. เคี้ยวอาหารนานๆ การเคี้ยวอาหารนานๆ เป็นวิธีการที่ป้องกันอาการท้องอืด ได้ดีเยี่ยม โดยให้เคี้ยวอาหารจนละเอียด เป็นเนื้อเหลว จะทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น ซึ่งส่งผลทำให้ไม่มีแก๊สในกระเพาะ และไม่มีอาการท้องอืด ที่เป็นสาเหตุที่ทำให้พุงป่องออกมา 3. เลี่ยงแป้งแบบขัดสีหรืออาหารแปรรูป ขนมปังขาว แคร็กเกอร์ หรือมันฝรั่งทอด พวกน้ำหวาน และของหวาน จะทำให้ร่างกายไม่สามารถกำจัดไขมันส่วนเกินได้ เนื่องจากเมื่อกินเข้าไปแล้วอินซูลินจะสูง ส่งผลให้ร่างกายไม่เผาผลาญไขมัน […]


เคล็ดลับโภชนาการที่ดี

อาหารที่ช่วยต่อสู้อาการ อ่อนเพลีย ได้แบบเร่งด่วน

อาการ อ่อนเพลีย อาจเกิดขึ้นได้เมื่อนอนน้อย นอนไม่พอ หรือสาเหตุอื่นๆ เช่น ความเครียดสะสม การทำงานหนัก หรือออกกำลังกายหนักเกินไป สำหรับใครที่มีอาการอ่อนเพลียมาก และอ่อนเพลียเป็นประจำ นั่นอาจเป็นสัญญาณว่าคุณกำลังมีปัญหาสุขภาพบางอย่าง ซึ่งควรปรึกษาคุณหมอโดยด่วน แต่ถ้าเป็นแค่อาการอ่อนเพลียโดยทั่วไป การกินอาหารเหล่านี้อาจช่วยได้ อาหารช่วยแก้อาการ อ่อนเพลีย น้ำเปล่า ภาวะขาดน้ำ เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย ถ้าร่างกายของเราขาดน้ำ ร่างกายจะเอาพลังงานไปใช้ในการรักษาปริมาณน้ำในร่างกาย ทำให้เรารู้สึกไม่มีพลัง ไร้เรี่ยวแรง อ่อนเพลียในที่สุด ดังนั้น การดื่มน้ำก็จะช่วยทำให้เราหายอ่อนเพลีย และรู้สึกมีแรงขึ้นได้ ปริมาณน้ำที่ได้รับในแต่ละวันจะมาจากอาหาร 20% และจากการดื่มน้ำ 80% การดื่มน้ำให้เพียงพอนั้น ก็มีสูตรคำนวณง่ายๆ คือ น้ำหนักของร่างกาย (กิโลกรัม) หารด้วย 30 จะเท่ากับปริมาณน้ำเป็นลิตรที่ต้องกินในแต่ละวัน เช่น เราน้ำหนัก 60 กิโลกรัม หาร 30 ก็หมายความว่าควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ลิตร จึงจะเพียงพอ อย่าปล่อยให้ร่างกายขาดน้ำจนอ่อนเพลีย วิธีแก้อาการแบบเร่งด่วนอย่างแรก จึงเป็นการดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอต่อปริมาณที่ร่างกายต้องการในทุกๆ วัน คาเฟอีน สมาคม National Coffee Association ให้ข้อมูลว่า […]


เคล็ดลับโภชนาการที่ดี

เรอบ่อย หลังกินอาหาร เพราะไม่ย่อยหรือเป็นกรดไหลย้อน

เรอบ่อย หลังกินอาหาร เป็นอาการที่ทำให้หลายคนกังวลใจว่าจะเป็นเพราะอาหารไม่ย่อย กรดเกินในกระเพาะ หรือเป็นเพราะโรคกรดไหลย้อนกันแน่ จริงๆ แล้ว อาการเรอบ่อยอาจมีได้จากหลายสาเหตุ สิ่งสำคัญคือการดูแลตัวเองในเบื้องต้นเพื่อป้องกันโรคที่ตามมาจากอาการเรอได้ อาการเรอบ่อย เป็นสัญญาณของโรคอะไรได้บ้าง เรอบ่อย หลังกินอาหาร อาจเกิดจากการกินอาหารเร็วเกินไป กินเยอะเกินไปจนอาหารไม่ย่อย นอกจากนี้ เรอบ่อย หลังกินอาหาร เสร็จอาจเป็นสัญญาณของโรคแตกต่างกันไป เช่น โรคกรดไหลย้อน โรคกระเพาะอย่างโรคแผลในกระเพาะอาหาร โรคนิ่วในถุงน้ำดี หรืออาจเสี่ยงเป็นมะเร็งในช่องท้อง อย่างเช่น มะเร็งกระเพาะอาหาร หรือมะเร็งลำไส้ เมื่อมีอาการเรอบ่อย สิ่งที่ทุกคนจะคิดถึงเป็นอย่างแรก คือ อาการอาหารไม่ย่อย แต่อาการอาหารไม่ย่อยก็คล้ายกับอาการของกรดไหลย้อน มีวิธีสังเกตความแตกต่างดังนี้ แค่อาหารไม่ย่อย หรือ กรดไหลย้อน อาการของอาหารไม่ย่อย มีดังต่อไปนี้ มีอาการท้องอืด รู้สึกแน่นท้อง มีลมในท้อง เรอบ่อย อาจมีอาการคลื่นไส้ อยากอาเจียน ปวดท้องส่วนบน อาการกรดไหลย้อน มีดังต่อไปนี้ เรอบ่อย คลื่นไส้ อยากอาเจียน แสบร้อนทรวงอก จุกเสียดบริเวณใต้ลิ้นปี่ เรอเปรี้ยว เนื่องจากกรดในกระเพราะอาหารมีรสเปรี้ยว หรือหายใจมีกลิ่น เสียงแหบ ไอเรื้อรัง หรืออาการหอบหืด เพราะกรดไหลย้อนไประคายคอหอย กล่องเสียง หรือหลอดลม เจ็บหน้าอก หายใจไม่สะดวก วิธีแก้อาการเรอบ่อย ที่เกิดจากอาหารไม่ย่อย ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต อาหารไม่ย่อยมักจะมีสาเหตุมาจากพฤติกรรมการกิน คือ กินเยอะเกินไป กินเร็วเกินไป กินอาหารที่มีไขมันสูง กินอาหารไม่ตรงเวลา หรือดื่มน้ำอัดลม […]


โภชนาการพิเศษ

ป่วยเป็น ธาลัสซีเมีย ห้ามกินอะไร และอะไรที่ควรเลือกกิน

“ธาลัสซีเมีย (Thalassemia)” เชื่อว่าหลาย ๆ คนหากได้ยินชื่อโรคนี้คงรู้สึกกลัว เพราะคิดว่าเป็นโรคที่น้อยคนนักจะเป็น และหากเป็นขึ้นมาก็อาจมีอาการรุนแรงเกินเยียวยา อย่างไรก็ตาม การทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรค รวมไปถึงศึกษาว่าหากป่วยเป็น ธาลัสซีเมีย ห้ามกินอะไร และควรเลือกกินอะไร อาจช่วยให้ผู้ป่วยสามารถดูแลตัวเองได้ดียิ่งขึ้น [embed-health-tool-bmi] ธาลัสซีเมีย คืออะไร โรคธาลัสซีเมีย (Thalassemia) คือ โรคโลหิตจางชนิดหนึ่งที่มีสาเหตุเกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรมระดับยีนทำให้การสร้างฮีโมโกบิล (Hemoglobin หรือ Hb) ซึ่งเป็นโปรตีนที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของเม็ดเลือดแดงผิดปกติ ส่งผลให้เม็ดเลือดแดงมีอายุสั้น แตกง่าย ถูกทำลายง่าย จัดเป็นโรคโลหิตจางทางพันธุกรรมที่พบบ่อยที่สุดในโลก การกินอาหาร กับระดับอาการของ โรคธาลัสซีเมีย หลายคนอาจจะคิดว่า การกินอาหาร ไม่เกี่ยวข้องกับการรักษาโรค แต่ความจริงแล้วการกินอาหารยังคงสัมพันธ์กับระบบอวัยวะภายในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เพราะอวัยวะส่วนต่าง ๆ จะทำหน้าที่ดูดซึมสารอาหารไปใช้ประโยชน์ แต่สำหรับผู้ป่วย โรคธาลัสซีเมีย จะไม่สามารถรับธาตุเหล็กในปริมาณมากได้ เพราะผู้ป่วยโรคนี้มักเกิดภาวะธาตุเหล็กเกิน และร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กมากกว่าคนทั่วไป ซึ่งการมีธาตุเหล็กเข้าไปสะสมอยู่ในร่างกายมากเกินไปจะส่งผลให้รบกวนการทำงานของระบบอวัยวะส่วนต่าง ๆ และทำให้อาการของโรคทวีความรุนแรงมากขึ้น จนอาจถึงขั้นหัวใจล้มเหลวได้ ดังนั้น การเลือกกินอาหารให้เหมาะสมกับจึงมีความสำคัญและสัมพันธ์ระดับอาการของ โรคธาลัสซีเมีย เป็นอย่างมาก หากเลือกกินอาหารได้อย่างถูกต้อง ก็จะช่วยลดระดับความรุนแรงของอาการได้มากเลยทีเดียว ป่วยเป็น ธาลัสซีเมีย ห้ามกินอะไร ผู้ป่วย โรคธาลัสซีเมีย ที่มีความรุนแรงของโรคในระดับปานกลางไปถึงระดับสูง ควรหลีกเลี่ยงการกินอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง […]


ข้อมูลโภชนาการ

อัลมอนด์ กับประโยชน์อัศจรรย์ที่ทำให้ถูกยกเป็น ราชินีแห่งถั่ว

เมื่อพูดถึงถั่ว อัลมอนด์ ถือเป็น “ราชินี” แห่งถั่ว ซูเปอร์ฟู้ดชนิดนี้อุดมไปด้วยวิตามินอีและแร่ธาตุต่างๆ เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส สังกะสี เซลีเนียม ทองแดง และไนอะซิน (niacin) เนื่องจากอัลมอนด์มีสารอาหารมากมายเช่นนี้ จึงทำให้มีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายประการ อัลมอนด์ มีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างไรบ้าง อาหารบำรุงสมองอันยอดเยี่ยม อัลมอนด์มีแหล่งสารอาหารที่จำเป็นต่อการพัฒนาสมอง มีการพิสูจน์แล้วว่า การรับประทานอัลมอนด์สัมพันธ์กับระดับสติปัญญาที่สูง ผู้คนเชื่อกันมานานแล้วว่า อัลมอนด์เป็นอาหารที่สำคัญต่อเด็ก ถั่วชนิดนี้ยังมีสารไรโบฟลาวิน (riboflavin) และแอลคาร์นิทีน (L-carnitine) ที่เพิ่มการทำงานของสมอง และสร้างการเชื่อมต่อของเส้นประสาทใหม่ๆ เพิ่มขึ้น (new neural pathway) ในขณะเดียวกันก็ลดความเสี่ยงที่จะเกิดโรคอัลไซเมอร์ นักวิจัยได้แสดงให้เห็นว่า อัลมอนด์มีประโยชน์ต่อการทำงานของระบบประสาท และสุขภาพโดยรวมอย่างแท้จริง ควบคุมคอเลสเตอรอลให้อยู่ในระดับปกติ การรับประทานอัลมอนด์เป็นประจำ จะช่วยเพิ่มระดับของคอเลสเตอรอลที่ดี (HDL) และลดระดับของคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL) ความสมดุลนี้สำคัญต่อสุขภาพของแต่ละบุคคล ป้องกันสุขภาพของกระดูก เนื่องจากอัลมอนด์มีฟอสฟอรัสมาก ทำให้ผู้ที่รับประทานอัลมอนด์มีสุขภาพดี รวมถึงฟันและกระดูกที่แข็งแรง อัลมอนด์ยังช่วยป้องกันไม่ให้ผู้สูงอายุเป็นโรคกระดูกพรุนอีกด้วย เพื่อหัวใจที่แข็งแรง ควรรับประทานอัลมอนด์ให้มากขึ้นเป็นประจำ เพราะจะทำให้หัวใจแข็งแรง ถั่วชนิดนี้มีระดับโปรตีน โพแทสเซียม และกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวสูง ทั้งสามอย่างสำคัญต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด โดยเฉพาะหัวใจ นอกจากนี้ อัลมอนด์ยังเป็นแหล่งรวมของแมกนีเซียมและวิตามินอี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญ ส่วนประกอบทั้งสองจะช่วยป้องกันเราจากความเสี่ยงที่จะเกิดหัวใจวาย หรือโรคเกี่ยวกับหัวใจชนิดอื่น สารทั้งสองชนิดยังลดผลของซีรีแอคทีฟโปรตีน (C-reactive protein) […]


การควบคุมอาหารและการลดน้ำหนัก

อยากผอม ลดความอ้วน ควรปรับพฤติกรรมตนเองอย่างไรดี

อยากผอม ลดความอ้วน ลองมาหลายวิธีแล้วก็ไม่ได้ผล อาจเป็นเพราะการเริ่มต้นทำอะไรใหม่ ๆ และทำให้เป็นนิสัยนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย โดยปกติ มักต้องใช้เวลาอย่างน้อย 21 วัน เพื่อให้ติดเป็นนิสัย และคนส่วนใหญ่มักจะล้มเลิกก่อน ดังนั้น แทนการสร้างนิสัยใหม่อาจลองหันมาปรับเปลี่ยน ลด ละ เลิก พฤติกรรมบางอย่างที่อาจช่วยให้การควบคุมน้ำหนักได้ผลดียิ่งขึ้น [embed-health-tool-bmi] อยากผอม ลดความอ้วน ลองเปลี่ยนตัวเองใหม่ น้ำหนักส่วนเกินหรือความอ้วนอาจเกิดจากพฤติกรรมเดิม ๆ ในชีวิตประจำวัน ดังนั้น หากอยากผอม อาจลองปรับเปลี่ยนนิสัยบางอย่างของตนเอง ได้แก่ เลิกรับประทานขนมขบเคี้ยว ขนมขบเคี้ยวอุดมไปด้วยแป้งและน้ำตาล เมื่อร่างกายได้รับมากเกินไปจะทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin) ออกมาเพิ่มขึ้น โดยอินซูลินจะรักษามวลไขมันไว้ ทำให้ร่างกายไม่เผาผลาญไขมันเวลาที่ระดับฮอร์โมนอินซูลินเพิ่มสูง ดังนั้น เมื่อบริโภคน้ำตาลและแป้งจากขนมจึงเพิ่มโอกาสให้น้ำหนักขึ้นเพราะร่างกายไม่นำไขมันไปใช้นั่นเอง ไม่ควรรีบรับประทานอาหาร โดยปกติ สมองของมนุษย์จะรับรู้ว่า ‘อิ่ม’ นั้นใช้เวลาประมาณ 15-20 นาทีหลังจากรับประทานอาหาร ดังนั้น หากรับประทานข้าวเร็ว หรือเพียง 5 นาทีก็หมดจานแล้ว มักทำให้รู้สึกว่ายังไม่อิ่ม และต้องการรับประทานอาหารเพิ่ม จึงทำให้ร่างกายได้รับอาหารส่วนเกินและจนเกิดภาวะอ้วนขึ้น หากลองฝึกตัวเองให้ค่อย ๆ รับประทานอาหาร เคี้ยวช้าลง อาจช่วยควบคุมน้ำหนักได้ ไม่นอนดึก นอกเหนือจากการนอนดึกจะทำให้ฮอร์โมนในร่างกายผิดปกติแล้ว ยังส่งผลให้ง่วงในตอนกลางวัน […]


ข้อมูลโภชนาการ

ดาร์กช็อกโกแลต กับประโยชน์ล้นเหลือด้านสุขภาพ ที่คุณอาจนึกไม่ถึง

ดาร์กช็อกโกแลต (Dark Chocolate) เป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากผลของต้นโกโก้ ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งใน ซูเปอร์ฟู้ด (Superfood) ชนิดหนึ่ง ซึ่งเต็มไปด้วยสารอาหาร และสารต้านอนุมูลอิสระ ที่มีประโยชน์กับร่างกายมากมาย วันนี้ Hello คุณหมอ มีข้อมูลที่น่าสนใจของดาร์กช็อกโกแลตมาฝากกันค่ะ มาดูกันเถอะว่า ประโยชน์อันแสนยอดเยี่ยมของดาร์กช็อกโกแลตนั้น มีอะไรบ้าง ดาร์กช็อกโกแลต อาหารที่อุดมไปด้วยสารอาหารมากมาย ดาร์กช็อกโกแลตที่ได้มาตรฐาน ควรจะต้องมีปริมาณของโกโก้สูง เพราะโกโก้นั้นอุดมไปด้วยสารอาหารและแร่ธาตุที่สามารถละลายน้ำได้ โดยดาร์กช็อกโกแลที่มีโกโก้ร้อยละ 70- 85 ปริมาณ 100 กรัม นั้นประกอบไปด้วย ใยอาหาร 11 กรัม ธาตุเหล็ก ร้อยละ 67 ของปริมาณที่ควรได้รับในแต่ละวัน แมกนีเซียม ร้อยละ 58 ของปริมาณที่ควรได้รับในแต่ละวัน ทองแดง ร้อยละ 89 ของปริมาณที่ควรได้รับในแต่ละวัน แมงกานีส ร้อยละ 98 ของปริมาณที่ควรได้รับในแต่ละวัน โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส สังกะสี และซิลีเนียม ในปริมาณมาก ยิ่งไปกว่านั้น ดาร์กช็อกโกแลตยังมีไขมันชนิดดีอีกด้วย ซึ่งปริมาณของไขมันส่วนใหญ่ในช็อกโกแลต คือไขมันอิ่มตัวและไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว มีเพียงแค่ส่วนน้อยเท่านั้น ที่เป็นไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน นอกจากนี้ในดาร์กช็อกโกแลต ยังมีสารกระตุ้นในปริมาณเล็กน้อย เช่น คาเฟอีน (Caffeine) […]

advertisement iconโฆษณา
advertisement iconโฆษณา
advertisement iconโฆษณา

ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของเรา

ทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของ Hello คุณหมอ ประกอบไปด้วยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มาร่วมสร้างสรรค์บทความในเว็บไซต์ของเราตามความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญของเราจะช่วยรับรองว่าข้อมูลด้านสุขภาพของเราถูกต้อง เป็นปัจจุบัน และตรงตามหลักฐานจากงานวิจัยล่าสุด
ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรามุ่งมั่นเต็มที่ในการช่วยให้คุณได้รับข้อมูลและความรู้ด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือ เข้าใจง่าย และเป็นประโยชน์ และพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพกับคุณเสมอ เพื่อให้คุณได้รับทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น

ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม
ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม