สุขภาพเด็ก

สุขภาพเด็ก เป็นส่วนสำคัญในการเลี้ยงดูลูก พ่อแม่ควรให้ความสำคัญในการสังเกตความผิดปกติต่าง ๆ ตั้งแต่อาการทั่วไป จนถึงสัญญาณการติดเชื้อต่าง ๆ เรียนรู้เรื่องที่น่าสนใจเกี่ยวกับ สุขภาพเด็ก เพื่อการดูแลสุขภาพของลูกน้อย ให้เติบโตได้อย่างแข็งแรง ที่นี่

เรื่องเด่นประจำหมวด

สุขภาพเด็ก

โปลิโอ เป็นแล้วรักษาไม่หาย แต่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน

โปลิโอ หรือที่รู้จักกันในชื่อ ไข้ไขสันหลังอักเสบ เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากไวรัสโปลิโอ (Poliovirus) ซึ่งเคยส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพของมนุษย์ในอดีต โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กเล็ก แม้ว่าในปัจจุบันโรคนี้จะลดลงอย่างมากเนื่องจากการพัฒนาวัคซีน แต่ความตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคและการป้องกันยังคงมีความสำคัญ [embed-health-tool-vaccination-tool] โปลิโอ คืออะไร โรคโปลิโอเกิดจากเชื้อไวรัสในตระกูล Picornavirus โดยไวรัสนี้แบ่งเป็น 3 สายพันธุ์หลัก ได้แก่ PV1, PV2 และ PV3 ซึ่งไวรัสสามารถเข้าสู่ร่างกายผ่านการบริโภคน้ำหรืออาหารที่ปนเปื้อน รวมถึงการสัมผัสกับผู้ติดเชื้อโดยตรง เมื่อไวรัสเข้าสู่ร่างกาย มันจะแพร่กระจายในลำไส้และระบบประสาทส่วนกลาง ทำลายเซลล์ประสาทที่ควบคุมการเคลื่อนไหว ส่งผลให้เกิดภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรงหรืออัมพาต การแพร่กระจายของโรค โรคโปลิโอแพร่กระจายได้ง่ายในพื้นที่ที่มีการสุขาภิบาลไม่ดี โดยเชื้อไวรัสจะถูกขับออกจากร่างกายผู้ติดเชื้อผ่านทางอุจจาระ แล้วปนเปื้อนในน้ำหรืออาหาร นอกจากนี้ การสัมผัสใกล้ชิด เช่น การสัมผัสมือหรือของใช้ส่วนตัวที่มีเชื้อไวรัสอยู่ ก็เป็นอีกเส้นทางที่โรคสามารถแพร่กระจายได้ กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงคือเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี และผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนครบถ้วน อาการของโรคโปลิโอ โรคโปลิโอมีลักษณะอาการหลากหลาย ตั้งแต่ไม่มีอาการไปจนถึงอัมพาตรุนแรง ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ (70-90%) ไม่มีอาการ แต่สามารถแพร่เชื้อได้ อาการเบื้องต้น รวมถึงไข้ต่ำ อ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อ และคลื่นไส้ อาการรุนแรง ได้แก่ อัมพาตของแขนขา หรือในบางกรณีเชื้อไวรัสอาจทำลายระบบประสาทที่ควบคุมการหายใจ ส่งผลให้เสียชีวิต สำหรับบางคนที่เคยติดเชื้อ อาจเกิดภาวะ กลุ่มอาการหลังโปลิโอ (Post-Polio Syndrome) ในระยะเวลาหลายปีหลังจากการติดเชื้อ ซึ่งทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงและปวดกล้ามเนื้อ การป้องกันด้วยวัคซีน ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาโรคโปลิโอเฉพาะเจาะจง การป้องกันที่ดีที่สุดคือการรับวัคซีน […]

หมวดหมู่ สุขภาพเด็ก เพิ่มเติม

สำรวจ สุขภาพเด็ก

สุขภาพเด็ก

โรคไหลตายในทารก คืออะไร เกิดจากสาเหตุใด

โรคไหลตายในทารก เป็นโรคร้ายแรงที่ทำให้ทากรกเสียชีวิตอย่างกระทันหันขณะนอนหลับ โดยยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่อาจมีสาเหตุมาจากความผิดปกติของสมองในส่วนที่ทำหน้าที่ควบคุมการหายใจ รวมถึงปัจจัยเสี่ยงอย่างการให้ทารกนอนคว่ำ หรือนอนตะแคง ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่จึงควรหมั่นสังเกตทารกอย่างสม่ำเสมอ ร่วมถึงควรหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ [embed-health-tool-vaccination-tool] โรคไหลตายในทารก คืออะไร โรคไหลตายในทารก (Sudden Infant Death Syndrome หรือ SIDS) คือ การที่ทารกดูเหมือนสุขภาพแข็งแรง แต่กลับเสียชีวิตอย่างกะทันหัน โดยไม่ทราบสาเหตุของการเสียชีวิต แม้จะมีการตรวจสอบอย่างละเอียดแล้วก็ตาม โดยโรคไหลตายในทารกนั้น มักเกิดขึ้นในขณะที่ทารกนอนหลับในเปล แม้ว่าโรคไหลตายในทารกจะเป็นเรื่องที่พบได้ยาก แต่ก็ถือว่าเป็นสาเหตุการเสียชีวิตที่พบได้บ่อยที่สุดในสหรัฐอเมริกา โดยมักจะพบในเด็กที่อายุต่ำกว่า 1 ปี ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นกับทารกที่มีอายุระหว่าง 2-4 เดือน ในปี ค.ศ. 2015 จากแหล่งที่มาที่เชื่อถือได้ มีเด็กประมาณ 1,600 คนในสหรัฐอเมริกา ที่เสียชีวิตจากโรคไหลตายในทารก อาการของ โรคไหลตายในทารก โรคไหลตายในทารกนั้นยังไม่มีอาการที่สังเกตได้อย่างชัดเจน เพราะอาการมักเกิดขึ้นอย่างกะทันหันกับทารกที่ดูเหมือนจะมีร่างกายที่แข็งแรงโดยที่คุณพ่อคุณแม่อาจไม่ทันได้คาดคิด สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงเกี่ยวกับ โรคไหลตายในทารก เนื่องจากยังไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจนของโรคไหลตายในทารก แต่นักวิทยาศาสตร์กำลังพิจารณาถึงสาเหตุที่เป็นไปได้บางประการ ซึ่งสาเหตุที่เป็นไปได้บางประการที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบนั้น ได้แก่ รูปแบบของการหยุดหายใจ เช่น การหยุดหายใจขณะนอนหลับ ความผิดปกติของสมองในส่วนที่ทำหน้าที่ควบคุมการหายใจ แม้ว่าจะยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของการเกิดโรคไหลตายในทารก แต่โรคไหลตายในทารกมีปัจจัยเสี่ยงหลายประการ ซึ่งคุณสามารถหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ได้ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จึงควรตระหนักถึงปัจจัยเหล่านี้ด้วย ซึ่งปัจจัยเสี่ยงบางประการสำหรับโรคไหลตายในเด็ก ได้แก่ เชื้อชาติ […]


ปัญหาสุขภาพเด็กแบบอื่น

กลุ่มอาการครูซอง (Crouzon Syndrome)

กลุ่มอาการครูซอง หรือ โรคกะโหลกปิดก่อนเวลาอันควร เป็นความผิดปกติทางพันธุกรรมที่ซับซ้อน ซึ่งอาจส่งผลต่อใบหน้า กะโหลกศีรษะ และฟันของทารกแรกเกิดให้หลอมรวมกันก่อนกำหนด ส่งผลให้รูปร่างของใบหน้าและกะโหลกมีความผิดปกติ ผิดรูปร่าง ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพหลายประการ เช่น ภาวะหายใจลำบาก มีปัญหาต่อการมองเห็น  อย่างไรก็ตาม กลุ่มอาการครูซองแสดงออกแตกต่างกันไปในเด็กแต่ละคน ควรปรึกษาคุณหมอเพื่อรับคำแนะนำในการผ่าตัดหรือวิธีรักษาอื่น ๆ ที่เหมาะสมต่อไป คำจำกัดความ กลุ่มอาการครูซอง (Crouzon Syndrome) คืออะไร กลุ่มอาการครูซอง หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “โรคกะโหลกปิดก่อนเวลาอันควร (Craniosynostosis)” เป็นความผิดปกติทางพันธุกรรมที่ซับซ้อน ซึ่งอาจส่งผลต่อใบหน้า กะโหลกศีรษะ และฟันของเด็ก เด็กที่เป็นโรคนี้กระดูกกะโหลกศีรษะจะหลอมรวมกันก่อนกำหนด ซึ่งนั่นจะป้องกันไม่ให้กะโหลกศีรษะเติบโตได้ตามปกติ และมีผลต่อรูปร่างของศีรษะและใบหน้าของเด็กด้วย บางครั้งกลุ่มอาการนี้ยังทำให้เกิดความดันในกะโหลกศีรษะเพิ่มขึ้น กลุ่มอาการครูซอง พบบ่อยเพียงใด กลุ่มอาการครูซอง สามารเกิดขึ้นในทารกแรกเกิด 1 ใน 61,000 คน ซึ่งโรคกะโหลกปิดก่อนเวลาอันควร เป็นกลุ่มอาการที่พบได้บ่อยที่สุด โดยเด็กทุกคนที่อยู่ในกลุ่มอาการครูซอง จะมีความเสี่ยงจากความดันในกะโหลกศีรษะ และหายใจลำบาก จนต้องได้รับการผ่าตัด อาการอาการของกลุ่มอาการครูซอง อาการของกลุ่มอาการครูซอง จะทำให้เกิดการหลอมรวมของกระดูกบางส่วนในกะโหลกศีรษะก่อนวันอันควร และส่งผลต่อรูปร่างของศีรษะและใบหน้าจนดูผิดปกติ โดยลักษณะทั่วไปของกลุ่มอาการนี้ ได้แก่ รูปร่างหน้าตาผิดปกติ กลางใบหน้าตื้น ซึ่งอาจทำให้หายใจลำบาก หน้าผากสูง ตาโปนกว้าง เบ้าตาตื้น ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาการมองเห็น ตาเหล่ จมูกเล็กเหมือนจะงอยปาก ขากรรไรบนด้อยพัฒนาการ ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาในการกินอาหาร ขากรรไกรด้านล่างยื่นออกมา การสบฟันมากเกินไป ปัญหาทางทันตกรรม หูตั้งต่ำ สูญเสียการได้ยิน เพราะช่องหูแคบ ลักษณะของโรคที่พบได้น้อย คือ เพดานโหว่ […]


โรคติดเชื้อในเด็ก

ส่าไข้ สาเหตุ อาการ การรักษาและป้องกัน

หากคุณลองสังเกตตนเองแล้วพบว่า ตามร่างกายเริ่มมีรอยผื่นแดงแปลก ๆ พร้อมมีไข้ขึ้นสูงร่วมด้วยเป็นเวลานาน ก็สามารถเป็นไปได้ว่าสัญญาณดังกล่าวนี้อาจเป็นสัญญาณแรกเริ่มที่ส่งผลให้คุณอาจกำลังเสี่ยงเป็น ส่าไข้ (Roseola) และอาจจำเป็นต้องได้รับการวินิจฉัย รวมถึงเข้ารับการรักษาอย่างเหมาะสมโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ คำจำกัดความส่าไข้ (Roseola) คืออะไร ส่าไข้ (Roseola) สามารถเรียกอีกชื่อหนึ่งได้ว่า หัดกุหลาบ หรือผื่นกุหลาบ เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากการที่ผู้ป่วยได้รับเชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกาย และมักปรากฎออกมาให้พบเห็นในรูปแบบของผดผื่นที่มีลักษณะสีแดง หรือสีน้ำตาล ทั้วทั้งบริเวณหน้าท้อง ใบหน้า แขน ขา เป็นต้น ส่าไข้ สามารถพบบ่อยได้เพียงใด ส่าไข้อาจพบได้บ่อยกับบุคคลทั่วไปทุกช่วงวัย โดยเฉพาะกับเด็กที่มีช่วงอายุตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 2 ปีด้วยกัน อีกทั้งส่าไข้ยังคงมีความเป็นไปได้น้อยมากที่จะเกิดขึ้นกับในวัยผู้ใหญ่ แต่ถึงแม้จะเกิดขึ้นความเจ็บป่วยจากอาการต่าง ๆ นั้น ก็ยังอยู่ในระดับที่ไม่รุนแรงมากเมื่อเทียบกับอาการที่เกิดขึ้นกับวัยของเด็กเล็ก อาการอาการของส่าไข้ เบื้องต้นอาการของส่าไข้ที่คุณสามารถสังเกตได้ง่าย ๆ นั่นก็คือ การที่คุณ หรือคนใกล้ตัวมีไข้ขึ้นสูงราว ๆ ประมาณ 38.8-40.5 องศาเซลเซียสขึ้นไป พร้อมกับมีผดผื่นสีชมพู สีแดง ปรากฏให้เห็นทั่วทั้งร่างกาย ในขณะเดียวกันผู้ป่วยบางรายก็อาจแสดงอาการ ดังต่อไปนี้เพิ่มเติมขึ้นมาร่วมก็เป็นได้เช่นเดียวกัน อารมณ์ไม่คงที่ หงุดหงิดง่าย เปลือกตาบวม ท้องเสีย รู้สึกเบื่ออาหาร หรือทานอาหารได้น้อยลง เจ็บคอ ปวดช่องหู ถึงแม้ว่า ส่าไข้ หรือ หัดกุหลาบ มักหายได้ไปได้เอง 3-7 วัน รวมถึงอาการไข้ที่จะลดลงภายในประมาณ […]


ปัญหาสุขภาพเด็กแบบอื่น

โรคขาดการยับยั้งการสมาคม สาเหตุ อาการและการรักษา

โรคขาดการยับยั้งการสมาคม (Disinhibited Social Engagement Disorder หรือ DSED) มักเกิดขึ้นกับเด็กที่อายุต่ำกว่า 18 ปี เป็นโรคที่เกี่ยวกับทักษะการเข้าสังคมของเด็ก โดยเด็กจะรู้สึกไว้วางใจและสนิทสนมกับคนแปลกหน้าได้ง่ายกว่าปกติ อาจมีสาเหตุมาจากเด็กถูกละเลยและไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างใกล้ชิดจากคนในครอบครัว ทำให้เด็กไม่สนิทสนมหรือผูกพันกับคนในครอบครัวเท่าที่ควร แต่กลับต้องการทำความรู้จักและรู้สึกสบายใจเมื่อพบเจอกับคนแปลกหน้า ทำให้เด็กเสี่ยงที่จะหลงเชื่อคำชักชวนจนส่งผลให้เป็นอันตรายต่อตัวเด็กได้ โรคขาดการยับยั้งการสมาคม คืออะไร โรคขาดการยับยั้งการสมาคม จัดอยู่ในกลุ่มความผิดปกติทางความผูกพัน (Attachment Disorder) ที่อาจเกิดขึ้นเมื่อเด็กไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่และความรักจากพ่อแม่เท่าที่ควร ส่งผลให้เด็กไม่รู้สึกสนิทสนมหรือผูกพันกับพ่อแม่ตัวเอง แต่กลับสบายใจเวลาอยู่กับคนอื่น หรือคนแปลกหน้ามากกว่า โรคนี้มักเกิดกับเด็กที่อายุต่ำว่า 18 ปี และผู้ป่วยจะต้องเข้ารับการรักษาอย่างเหมาะสมจึงจะสามารถหายจากโรคได้ สัญญาณของโรคขาดการยับยั้งการสมาคม คู่มือการวินิจฉัยและสถิติสำหรับความผิดปกติทางจิต (Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorders หรือ DSM) ซึ่งเป็นหลักเกณฑ์การวินิจฉัยความผิดปกติทางจิตซึ่งจัดทำโดยสมาคมจิตเวชศาสตร์แห่งสหรัฐอเมริกา (American Psychiatric Association) ที่นิยมใช้อย่างแพร่หลายในหมู่แพทย์และนักวิจัยหลายประเทศรวมถึงประเทศไทยด้วย ระบุว่า หากเด็กมีอาการดังต่อไปนี้มากกว่า 2 ข้อขึ้นไป อาจเข้าข่ายเป็นโรคขาดการยับยั้งการสมาคม เด็กอาจตื่นเต้นมากเกินไป ไม่รู้สึกกลัว ไม่รู้สึกเขินอาย หรือขาดการยับยั้งชั่งใจเวลาพบเจอหรือมีปฏิสัมพันธ์กับคนแปลกหน้า หรือผู้ใหญ่ที่ไม่คุ้นเคยกันมาก่อน เด็กอาจแสดงพฤติกรรมที่ดูเป็นมิตรหรือสนิทสนมกับคนแปลกหน้ามากเกินไป พูดเก่งกว่าปกติ มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมกับวัยหรือขนมธรรมเนียมประเพณี […]


ปัญหาสุขภาพเด็กแบบอื่น

ลูกน้อยอาเจียนเป็นเลือด สาเหตุเกิดจากอะไร วิธีดูแลเบื้องต้นทำอย่างไร

ลูกน้อยอาเจียนเป็นเลือด คือ อาการที่ทารกสำรอกเศษเลือดออกมาจากปาก หรือมีน้ำลายไหลโดยมีเลือดติดออกมาด้วย ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ลูกน้อยอาเจียนนั้นแตกต่างกันออกไป มักเป็นอาการที่เกิดขึ้นหลังคลอด หรือการที่คุณแม่ให้นมแล้วหัวนมแตกจนมีเลือดปนออกมาเมื่อลูกอาเจียน อย่างไรก็ตาม คุณพ่อคุณแม่ควรศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับการอาเจียนเป็นเลือด เพื่อจะได้สังเกตและดูแลลูกน้อยได้อย่างถูกวิธี ลูกน้อยอาเจียนเป็นเลือด เป็นเรื่องปกติหรือไม่ ลูกอาเจียนเป็นเลือด คืออาการที่ทารกสำรอกออกมาเป็นเลือด หรือมีเลือดปนมาด้วย ทั้งนี้อาจเกิดขึ้นได้ในหลายกรณี เช่น อาจเกิดจากการที่ทารกกลืนเลือดของคุณแม่ระหว่างการคลอดเข้าไป โดยภาวะนี้สังเกตได้จากของเหลวที่มีสีแดง หรือสีชมพู ซึ่งจะเกิดกับทารกในช่วง 2-3 วันแรกหลังจากทารกคลอด หรือทารกกลืนเลือดของคุณแม่ที่มีอาการหัวนมแตกเข้าไป ทำให้เมื่อสำรอกอาจมีเลือดจากหัวนมแตกปนออกมาด้วย แต่ในทั้ง 2 กรณีนี้ ลักษณะของอาเจียนเป็นเลือดจะเป็นเพียงเศษเลือดเล็กน้อยเท่านั้น ปกติแล้วหากทารกอาเจียนเป็นเลือดในกรณีดังกล่าว มักไม่น่ากังวล แต่หากลูกน้อยอาเจียนเป็นเลือดร่วมกับมีไข้ ท้องบวม มีผื่นขึ้น มีอาการเซื่องซึม หรือร้องไห้งอแงไม่หยุดขณะที่อาเจียนเป็นเลือด ควรพาลูกน้อยไปหาคุณหมอในทันที เพราะอาจมีปัญหาภาวะสุขภาพอย่างอื่นเป็นสาเหตุร่วมด้วย สาเหตุที่ทำให้ ลูกอาเจียนเป็นเลือด อาจมีสาเหตุหลายประการที่ทำให้ลูกน้อยอาเจียนเป็นเลือดและมักมีระดับความรุนแรงที่แตกต่างกันไปในทารกแต่ละคน ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ลูกน้อยอาเจียนมีเลือดปนนั้น มีดังนี้ หัวนมแตกทำให้ ลูกอาเจียนเป็นเลือด อาการหัวนมแตกเป็นเรื่องปกติสำหรับคุณแม่ที่ให้นมบุตร โดยเฉพาะคุณแม่ที่เริ่มให้นมบุตรจะมีอาการระคายเคืองที่หัวนมจากแรงดึง แรงกด หรือเนื่องจากผิวหนังสัมผัสกับน้ำลาย อาการอาจแย่มากจนผิวหนังแตก และมีเลือดออก ทำให้มีเลือดปะปนไปกับน้ำนมที่ลูกกิน และทำให้ลูกอาเจียนเป็นเลือด หากไม่เห็นรอยแตกใด ๆ แต่ลูกอาเจียนเป็นเลือด ให้ลองตรวจนำน้ำนมมาตรวจดูว่ามีเลือดปนหรือไม่ ในกรณีที่คุณแม่สังเกตเห็นเลือดในน้ำนมแม่ ให้นำน้ำตาล หรือน้ำเปล่าป้อนให้แก่ลูกน้อยของคุณหลังกินนมเสร็จ เพื่อเจือจางเลือดในท้องของเด็ก และโปรดหยุดให้นมลูกทางหัวนมที่แตกเป็นเวลา 2-3 […]


ความผิดปกติทางพัฒนาการและพฤติกรรม

โรคพฤติกรรมอันธพาล สัญญาณของโรค สาเหตุ วิธีรักษาและรับมือ

โรคพฤติกรรมอันธพาล เป็นกลุ่มโรคทางพฤติกรรมและอารมณ์ที่พบในเด็กและวัยรุ่น ผู้ที่เป็นโรคนี้จะมีปัญหาในการปฏิบัติตามกฎระเบียบ ชอบละเมิดสิทธิของผู้อื่น ไม่รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น และมักจะแสดงพฤติกรรมที่สังคมไม่ยอมรับ โรคพฤติกรรมอันธพาล คืออะไร โรคพฤติกรรมอันธพาล (Conduct Disorder) บางครั้งเรียกว่า โรคคอนดักต์ โรคพฤติกรรมเกเร โรคเด็กเกเร โรคความประพฤติผิดปกติ เป็นต้น โรคนี้เป็นกลุ่มโรคทางพฤติกรรมและอารมณ์ที่พบในเด็กและวัยรุ่น ผู้ที่เป็นโรคนี้จะมีปัญหาในการปฏิบัติตามกฎระเบียบ ชอบละเมิดสิทธิของผู้อื่น ไม่รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น และมักจะแสดงพฤติกรรมที่สังคมไม่ยอมรับ ซึ่งเด็กคนอื่น หรือผู้ใหญ่เห็นแล้วก็อาจจะบอกว่า การแสดงออกของเด็กหรือวัยรุ่นที่เป็นโรคพฤติกรรมอันธพาลนั้นเป็นสิ่งผิด หรือสิ่งไม่ดี โดยที่ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วนี่คือโรคจิตเภทชนิดหนึ่ง สัญญาณของโรคพฤติกรรมอันธพาล พฤติกรรมของโรคพฤติกรรมอันธพาลนั้นมีหลากหลาย ทั้งนี้ อาจขึ้นอยู่กับอายุของเด็กและระดับความรุนแรงของโรค แต่โดยปกติแล้ว พฤติกรรมที่เป็นสัญญาณของโรคนี้สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 พฤติกรรมใหญ่ ๆ ได้แก่ พฤติกรรมก้าวร้าว (Aggressive Behavior) เช่น ล้อเลียน หรือรังแกผู้อื่น จงใจทำให้ผู้อื่น หรือสัตว์ต่าง ๆ ได้รับบาดเจ็บ หรือได้รับอันตราย ชอบต่อสู้ ชกต่อยกับผู้อื่น ใช้อาวุธ บังคับใจ ข่มขืน หรือล่วงเกินทางเพศผู้อื่นโดยที่อีกฝ่ายไม่ยินยอม ขโมยของจากคนที่ตัวเองทำร้าย พฤติกรรมเชิงทำลาย (Destructive Behavior) เช่น เจตนาก่อเพลิงไหม้ เพื่อให้สถานที่นั้น หรือสิ่งของนั้นเสียหาย เจตนาทำลายทรัพย์สิน […]


โรคระบบประสาทในเด็ก

โรคแบตเทน (Batten disease) สาเหตุ อาการ และการรักษา

โรคแบตเทน คือ โรคทางพันธุกรรมเกี่ยวข้องกับระบบประสาท โดยอาจเริ่มเป็นได้ตั้งแต่ช่วงวัยเด็กอายุ 5-10 ปี โรคนี้อาจส่งผลให้สมองเสื่อม ทักษะการสื่อสารไม่ดี และอาจทำให้มีอายุสั้น ถึงแม้ว่าโรคนี้ยังไม่มีการรักษาให้หายขาด แต่สามารถรักษาตามอาการที่เป็นเพื่อบรรเทาอาการและลดความรุนแรงได้ ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่จึงควรสังเกตอาการลูก หากพบว่ามีอาการผิดปกติควรพาเข้าพบคุณหมอทันที โรคแบตเทน คืออะไร โรคแบตเทน คือ โรคทางพันธุกรรมที่เกิดจากการกลายพันธ์ุของยีน มักเกิดขึ้นในเด็กอายุ 5-10 ปี ที่ส่งผลกระทบต่อระบบประสาท ทำให้เด็กมีการสื่อสารไม่ดี ไม่มีสมาธิ มีปัญหาการเคลื่อนไหวร่างกาย ไปจนถึงวัยรุ่นหรือผู้ใหญ่ได้ โรคแบตเทน แบ่งออกเป็น 5 ประเภท ได้แก่ โรคแบตเทนแต่กำเนิด (Congenital NCL) ทำให้ทารกแรกเกิดมีอาการชักบ่อยครั้งและมีภาวะศีรษะเล็ก (Microcephaly) ซึ่งเป็นประเภทที่พบได้ยากและมักส่งผลให้เสียชีวิตหลังลืมตาดูโลกได้ไม่นาน โรคแบตเทนในทารกแรกเกิด (Infantile NCL) อาการมักปรากฏขึ้นเมื่อเด็กมีอายุ 6 เดือน ถึง 2 ปี ซึ่งอาจส่งผลให้เด็กมีภาวะศีรษะเล็ก กล้ามเนื้อหดรัดตัวอย่างรุนแรง เด็กส่วนใหญ่ที่เป็นโรคแบตเทนประเภทนี้อาจส่งผลให้เสียชีวิตก่อนอายุ 5 ปี โรคแบตเทนในทารกแรกเกิดระยะท้าย (Late Infantile NCL) ส่วนใหญ่พบได้ในเด็กอายุ 2-4 […]


วัคซีน

ข้อควรรู้เกี่ยวกับ วัคซีนโรตา ทางเลือกในการปกป้องลูกน้อย จากเชื้อไวรัสในของเล่น

วัคซีนโรตา คือวัคซีนที่มีไว้สำหรับป้องกัน ไวรัสโรตา (Rotavirus) ซึ่งเป็นไวรัสที่อาจส่งผลให้ทารกและเด็กเล็กมีอาการท้องเสีย อาเจียน เป็นไข้ ซึ่งเป็นวัคซีนที่พบได้ในอุจจาระและสามารถแพร่กระจายได้ผ่านทางพื้นผิวต่าง ๆ เช่น ลูกบิดประตู โต๊ะ ประตู ของเล่น ดังนั้น จึงควรศึกษาเกี่ยวกับข้อดีและข้อเสียของการฉีดวัคซีนโรตา หรือปรึกษาคุณหมอก่อนฉีดวัคซีน [embed-health-tool-bmi] วัคซีนโรตา สำคัญอย่างไร วัคซีนโรตาหรือวัคซีนป้องกันไวรัสโรตานั้น มีจุดประสงค์หลักคือการป้องกันร่างกายของผู้รับวัคซีน ไม่ให้ติดเชื้อไวรัสโรตา ไวรัสที่อาจทำให้ทารกและเด็กเล็ก เกิดอาการท้องเสียและอาเจียน ซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดภาวะขาดน้ำ (Dehydration) และมีไข้สูงได้ หากไม่ได้รับการรักษาดูแลอย่างถูกต้องและทันท่วงที ไวรัสโรตา (Rotavirus) นั้นเป็นไวรัสที่แพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วมาก โดยเรามักจะสามารถพบไวรัสเหล่านี้ได้ในอุจจาระของผู้ที่ติดเชื้อ และอาจไม่ระวังเรื่องความสะอาด อาจทำให้เชื้อโรคนี้ปนเปื้อนไปสู่พื้นผิวต่างๆ เช่น โต๊ะ ประตู ลูกบิด และของเล่นเด็ก ที่เด็กอาจจะนำเข้าสู่ปาก ทำให้ติดเชื้อเป็นรายต่อไปได้ ทั่วโลกนั้นจะพบผู้ป่วยฉุกเฉินที่ติดเชื้อไวรัสโรตากว่า 2 ล้านราย และส่งผลให้เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี ต้องเสียชีวิตจากการติดเชื้อไวรัสโรตานี้ไม่ต่ำกว่า 500,000 รายต่อปี ในทางกลับกัน เด็กโต วัยรุ่น และผู้ใหญ่ที่ติดเชื้อไวรัสโรตา อาจจะมีอาการที่รุนแรงน้อยกว่า แต่ก็ยังสามารถแพร่กระจายเชื้อไวรัสไปให้ผู้อื่นได้อยู่ดี ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคติดต่อ (Centers for Disease […]



โรคเด็กและอาการทั่วไป

โรคในทารกแรกเกิด ที่พบได้บ่อย มีอะไรบ้าง

โรคในทารกแรกเกิด อาจเป็นอาการเจ็บป่วยเช่นเดียวกับเด็กในวัยอื่น ๆ  แต่อาจเกิดขึ้นได้บ่อยครั้งกว่า เพราะร่างกายของทารกแรกเกิดนั้นยังไม่เจริญเติบโตเต็มที่ ระบบภูมิคุ้มกันยังไม่แข็งแรง ดังนั้น จำเป็นที่คุณพ่อคุณแม่และผู้ใหญ่ในครอบครัว ควรให้ความใส่ใจและสังเกตทารกแรกเกิดเพื่อจะได้ดูแลและรักษาอย่างทันท่วงที โรคในทารกแรกเกิด ที่พบได้บ่อย ภาวะท้องอืด ภาวะท้องอืด เป็นโรคในทารกแรกเกิด ที่พบได้บ่อยมากเป็นอันดับต้น ๆ เด็กทารกมักมีอาการท้องอืด แน่นท้อง และท้องป่องเป็นประจำ โดยเฉพาะขณะกินนมแม่ และหลังกินนมเสร็จ เมื่อเกิดภาวะท้องอืด จะทำให้ทารกน้อยรู้สึกอึดอัด ไม่สบายตัว หายใจลำบาก เป็นต้น สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ต้องระวังเมื่อลูกท้องอืด ก็คือ หากเป็นอาการท้องอืดที่ไม่เป็นอันตราย ท้องมักนิ่ม หากทารกท้องแข็ง บวม แน่น รวมทั้งมีอาการอาเจียน หรือท้องเสียนานเกิน 2 วันร่วมด้วย ควรพาไปพบคุณหมอทันที เพราะอาการที่เกิดขึ้นอาจไม่ได้เป็นเพราะมีแก๊สในกระเพาะอาหาร หรือท้องผูกตามปกติ แต่อาจเป็นสัญญาณของปัญหาเกี่ยวกับลำไส้ที่เป็นอันตรายได้ โรคดีซ่าน โรคดีซ่าน ทำให้ผิวหนัง ดวงตา และปากของทารกเปลี่ยนเป็นสีเหลือง เนื่องจากในร่างกายมีระดับบิลิรูบิน (Bilirubin) สูงผิดปกติ โดยบิลิรูบินเป็นสารประกอบที่เกิดขึ้นระหว่างกระบวนการสลายเซลล์เม็ดเลือดแดงเก่าและสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดงใหม่ของร่างกาย ปกติแล้ว ร่างกายของคนเราจะกำจัดบิลิรูบินออกทางตับ แต่ในช่วง 2-3 วันหลังลืมตาดูโลก ตับของทารกแรกเกิดจะยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ ทำให้ร่างกายทารกแรกเกิดบางคนไม่สามารถกำจัดบิลิรูบินออกได้ตามปกติ ในร่างกายเลยมีบิลิรูบินมากเกินไป ทำให้เกิดเป็นโรคดีซ่านหรือตัวเหลืองนั่นเอง แม้โรคดีซ่านจะเป็นโรคในทารกแรกเกิดที่พบบ่อย แต่ในบางกรณี ระดับบิลิรูบินที่สูงเกินไปก็อาจทำให้สมองของทารกแรกเกิดบาดเจ็บได้ ฉะนั้น […]

ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา

กำลังมองหาเรื่องราวในการเลี้ยงดูบุตรใช่หรือไม่?

เข้าร่วมชุมชนการเลี้ยงดูบุตรและแลกเปลี่ยนข้อมูลกับคุณแม่และคุณพ่อคนอื่น ๆ เข้าร่วมชุมชนได้เลย!





ad iconโฆษณา

ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของเรา

ทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของ Hello คุณหมอ ประกอบไปด้วยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มาร่วมสร้างสรรค์บทความในเว็บไซต์ของเราตามความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญของเราจะช่วยรับรองว่าข้อมูลด้านสุขภาพของเราถูกต้อง เป็นปัจจุบัน และตรงตามหลักฐานจากงานวิจัยล่าสุด
ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรามุ่งมั่นเต็มที่ในการช่วยให้คุณได้รับข้อมูลและความรู้ด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือ เข้าใจง่าย และเป็นประโยชน์ และพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพกับคุณเสมอ เพื่อให้คุณได้รับทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น

ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ชุมชน