โรคเบาหวาน

โรคเบาหวาน คือโรคที่สามารถส่งผลกระทบต่อการทำงานและสุขภาพโดยรวมของร่างกายได้อย่างมาก อีกทั้งในปัจจุบัน อัตราผู้ป่วยโรคเบาหวานในประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นทุกปี ดังนั้น การเรียนรู้และทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคเบาหวานประเภทต่าง ๆ ปัจจัยเสี่ยง และรักษาโรคเบาหวาน จึงมีความสำคัญเพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยโรคเบาหวานให้ดียิ่งขึ้น

เรื่องเด่นประจำหมวด

โรคเบาหวาน

เบาหวาน อาการ และวิธีการป้องกัน

เบาหวานเป็นภาวะที่ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ ที่เกิดจากร่างกายจัดการอินซูลินและน้ำตาลได้ไม่ดีพอ เกิดจากการขาดฮอร์โมนอินซูลิน หรือตับอ่อนไม่สามารถผลิตฮอร์โมนอินซูลินได้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย โดยอินซูลินมีหน้าที่นำพาน้ำตาลกลูโคสในกระแสเลือดที่ได้จากการรับประทานอาหาร เข้าสู่เซลล์เพื่อนำไปใช้เป็นพลังงาน เมื่ออินซูลินไม่เพียงพอจึงส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกินไป และเมื่อป่วยเป็นโรค เบาหวาน อาการ ที่พบอาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับชนิดของโรค อย่างไรก็ตาม หากไม่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ดี อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ไตเสียหาย จอประสาทตาเสื่อมได้ [embed-health-tool-bmi] เบาหวาน คืออะไร เบาหวาน คือ โรคเรื้อรังที่จะวินิจฉัยเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูงตั้งแต่ 126 มิลลิกรัม/เดซิลิตรขึ้นไป ซึ่งเป็นผลจากตับอ่อนไม่สามารถผลิตฮอร์โมนอินซูลินได้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย หากปล่อยให้ร่างกายอยู่ในสภาวะนี้นานอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้องกับโรคเบาหวาน เช่น โรคไต โรคหลอดเลือดสมอง ระบบประสาทเสื่อม   เบาหวานแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ เบาหวานชนิดที่ 1 พบได้บ่อยในวัยเด็ก เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายบกพร่อง ทำให้ตับอ่อนที่ทำหน้าที่ผลิตอินซูลินไม่สามารถผลิตอินซูลินได้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย นำไปสู่ภาวะน้ำตาลสะสมในเลือดสูงขึ้น อาจส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย ปัสสาวะบ่อย เบาหวานชนิดที่ 2 พบได้บ่อยในวัยรุ่น วัยผู้ใหญ่ที่อายุ 40 ปี ขึ้นไป เกิดจากตับอ่อนไม่สามารถผลิตฮอร์โมนอินซูลินได้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย หรือเซลล์ในร่างกายไม่ตอบสนองต่ออินซูลิน ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ หากปล่อยไว้นานอาจส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการหิวน้ำบ่อย ปัสสาวะบ่อย และน้ำหนักลดได้ ข้อมูลจากสมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย ระบุว่า ผู้หญิงมีแนวโน้มเป็นโรคเบาหวานร้อยละ […]

หมวดหมู่ โรคเบาหวาน เพิ่มเติม

สำรวจ โรคเบาหวาน

ภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน

คอดำ เบาหวาน สาเหตุ การรักษาและการป้องกัน

อาการคอดำ สามารถมีสาเหตุได้หลากหลาย แต่ถ้าเป็นผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานจะมีลักษณะเป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่งมีลักษณะผิวคล้ำ หนา นูน หยาบกร้าน หรือบางคนอาจมีติ่งเนื้อยื่นออกมา เกิดจากร่างกายมีภาวะดื้อต่ออินซูลิน ทำให้ระดับอินซูลินเพิ่มสูงขึ้นและกระตุ้นการเจริญเติบโตของผิวหนังมากขึ้น มักพบในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มีรูปร่างอ้วน ดังนั้น หากมีอาการคอดำเกิดขึ้นอย่างกะทันหันควรเข้าพบคุณหมอทันที เพราะอาจเป็นสัญญาณของโรคเบาหวาน อาการคอดำ ในผู้ป่วยเบาหวาน อาการคอดำ เป็นการเปลี่ยนแปลงของผิวหนังที่เกิดขึ้นอย่างช้า ๆ ได้แก่ ผิวคล้ำขึ้น ผิวหนา หยาบกร้าน บางคนอาจมีติ่งเนื้อยื่นออกมา และอาจมีอาการคันหรือมีกลิ่นเหม็นร่วมด้วย ส่วนใหญ่อาจพบตามบริเวณรอยพับของผิวหนัง เช่น รักแร้ ขาหนีบ คอ ทั้งนี้ควรเข้าพบคุณหมอหากมีการเปลี่ยนแปลงของผิวหนังเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน หรือมีอาการคัน เจ็บปวด มีกลิ่นเหม็นร่วมด้วย เพราะอาจเป็นสัญญาณของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 หรือปัญหาสุขภาพอื่น ๆ เช่น มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งตับ สาเหตุของคอดำ ในผู้ป่วยเบาหวาน คอดำ ในผู้ป่วยเบาหวาน มีสาเหตุจากระดับอินซูลินที่สูงขึ้นไปกระตุ้นเซลล์ผิวหนัง ทำให้ผิวหนังเจริญเติบโตมากกว่าปกติ ภาวะนี้ทางการแพทย์ เรียกว่า โรคผิวหนังช้าง (Acanthosis Nigricans) ส่วนใหญ่พบมากผู้ที่มีน้ำหนักเกินและมีรูปร่างอ้วน หรือในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มีภาวะดื้อต่ออินซูลินและมีรูปร่างอ้วน การรักษาคอดำ ในผู้ป่วยเบาหวาน ปัจจุบันยังไม่มีการรักษาอาการคอดำ อาจเป็นเพียงการรักษาในกรณีของผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรืออ้วนให้ลดน้ำหนัก […]


ภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน

เท้าบวม เบาหวาน สาเหตุและการดูแล

เท้าบวม เบาหวาน หรือเท้าเบาหวาน เป็นอาการที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยเบาหวานเมื่อผู้ป่วยมีระดับน้ำตาลในเลือดสูง และสะสมในเส้นเลือดมากขึ้นทำให้หลอดเลือดตีบหรืออุดตัน ส่งผลให้เลือดไหลเวียนไม่ดีจนเลือดไม่สามารถไปเลี้ยงเนื้อเยื่อที่เท้าได้เพียงพอ ของเหลวจะเข้าไปสะสมอยู่ตามอวัยวะส่วนต่าง ๆ เช่น ขา ข้อเท้า เท้า จนทำให้เกิดอาการบวมขึ้น นอกจากนี้ บาดแผลที่เท้าและการติดเชื้ออาจส่งผลทำให้เกิดอาการเท้าบวมได้เช่นกัน หากมีบาดแผลที่เท้าหรืออาการผิดปกติอื่น ๆ ควรเข้ารับการรักษา เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อน สาเหตุของอาการเท้าบวม เบาหวาน เท้าบวมจากเบาหวาน อาจเกิดจากสาเหตุหลัก 2 ประการ ที่ผู้ป่วยเบาหวานพบบ่อยและส่งผลต่อเท้า ดังนี้ โรคหลอดเลือดตีบ โรคเบาหวานส่งผลกระทบต่อการไหลเวียนของเลือด ทำให้เส้นเลือดต่างๆ แข็งตัวและขาดความยืดหยุ่น จากการสะสมของน้ำตาลและไขมันในเส้นเลือด จนทำให้หลอดเลือดแดงตีบหรืออุดตันเรื้อรัง ทำให้เลือดไม่สามารถไปเลี้ยงเนื้อเยื้อบริเวณเท้าได้อย่างเพียงพอ หากผู้ป่วยเบาหวานเกิดบาดแผลที่เท้าจะส่งผลให้แผลหายช้าหรือแผลอาจไม่สมานตัว เนื่องจากหลอดเลือดตีบจนเลือดไม่สามารถไปเลี้ยงเนื้อเยื่อที่เท้าเพื่อรักษาแผลได้ จนอาจนำไปสู่ปัญหาต่าง ๆ เช่น เท้าบวม ตะคริว ปวด แผลเปื่อย สีผิวที่เท้าเปลี่ยน ในกรณีรุนแรงเมื่อเลือดไหลเวียนได้น้อยลงอาจทำให้มีอาการเจ็บปวด ติดเชื้อ กลายเป็นเนื้อตาย คุณหมออาจต้องรักษาด้วยการตัดเนื้อเยื่อบริเวณเนื้อตาย นิ้วเท้า หรือรุนแรงถึงขั้นตัดขา โรคระบบประสาทจากเบาหวาน โรคเบาหวานที่เกิดขึ้นอย่างยาวนานอาจทำลายเส้นประสาทจนทำให้ผู้ป่วยเบาหวานมีการรับรู้ความรูสึกที่เท้าเปลี่ยนแปลงไป หลากหลายรูปแบบตั้งแต่ เจ็บปวด ระคายเคืองหรือชา ไม่มีความรู้สึกเจ็บปวด ซึ่งหากเป็นการชาที่รุนแรงนั้น จะทำให้ผู้ป่วยเบาหวานไม่รู้สึกเจ็บปวดเมื่อมีบาดแผล จนนำไปสู่การติดเชื้อรุนแรงที่เท้าได้ จึงอาจทำให้ไม่รู้ตัวว่าได้รับบาดเจ็บบริเวณเท้า นำไปสู่ความเสี่ยงทำให้แผลอักเสบ […]


ภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน

แผลเบาหวาน สาเหตุ การรักษาและการป้องกัน

แผลเบาหวาน เกิดขึ้นเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกินไป ทำให้ผิวหนังรักษาตัวเองได้ช้าลง เมื่อผู้ป่วยเบาหวานมีแผลเกิดขึ้นแม้เพียงเล็กน้อยก็สามารถพัฒนากลายเป็นแผลที่ใหญ่ขึ้นและเสี่ยงติดเชื้อได้ โดยส่วนใหญ่แผลเบาหวานมักเกิดขึ้นบริเวณเท้า เนื่องจากเส้นเลือดตีบตันจนเลือดไม่สามารถเข้าไปเลี้ยงเนื้อเยื่อบริเวณเท้าได้ ทำให้เลือดไหลเวียนกลับมาไม่สะดวก ทำให้เกิดปลายประสาทอักเสบ ไม่รู้สึกเจ็บ เกิดบาดแผลได้ง่าย และเมื่อเกิดแผลจึงทำให้แผลหายช้า สาเหตุที่ทำให้แผลเบาหวานหายช้า แผลเบาหวาน ส่วนใหญ่เป็นแผลเปิดที่เท้าและอาจมีภาวะแทรกซ้อนร่วมด้วย เช่น การติดเชื้อ ซึ่งสาเหตุที่ทำให้แผลเบาหวานหายช้า อาจมีดังนี้ ความผิดปกติของหลอดเลือด ผู้ป่วยเบาหวานอาจมีภาวะเส้นเลือดตีบแข็งและอุดตันในเส้นเลือดแดงใหญ่และเส้นเลือดฝอย ทำให้เลือดไม่สามารถเข้าไปเลี้ยงเนื้อเยื่อได้ และเกิดเป็นแผลขึ้น พบบ่อยที่บริเวณปลายนิ้วเท้าและตำแหน่งการลงน้ำหนัก เช่น ส้นเท้า นอกจากนี้ การที่เลือดไม่สามารถเข้าไปเลี้ยงเนื้อเยื่อได้เพียงพอ ยังอาจส่งผลให้แผลที่เกิดขึ้นจากสาเหตุอื่น เช่น ตะปูตำ เล็บขบ หรือแผลจากการบาดเจ็บสมานตัวได้ช้าลง โดยเฉพาะในผู้ที่สูบบุหรี่ มีไขมันในเลือดสูง และความดันโลหิตสูง ซึ่งอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มการตีบตันของเส้นเลือดมากขึ้นอีกด้วย การติดเชื้อแทรกซ้อน ส่วนใหญ่แผลเบาหวานมักมีการติดเชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้ออื่น ๆ ร่วมด้วย ส่งผลทำให้แผลเกิดการอักเสบและลุกลามมากขึ้น ร่วมกับปัญหาเส้นเลือดฝอยอุดตันทำให้เลือดไม่สามารถไปเลี้ยงเนื้อเยื่อได้ จนอาจทำให้แผลไม่สมานตัวและมีกลิ่นเหม็นเน่า นอกจากนี้ หากผู้ป่วยเบาหวานมีภาวะแทรกซ้อนทางประสาทและหลอดเลือด อาจมีแนวโน้มทำให้แผลเบาหวานรักษายากยิ่งขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงที่คุณหมอจะรักษาอวัยวะเหล่านั้นไว้ได้ จนจำเป็นต้องตัดเนื้อตายส่วนนั้นทิ้งไป ปลายประสาทเสื่อม ปลายประสาทเสื่อมเป็นภาวะที่พบบ่อยในผู้ป่วยโรคเบาหวาน ส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นในผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานมานานหลายปี โดยผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานจะมีเมตาบอลิซึม (Metabolism) ซึ่งเป็นกระบวนการทางเคมีที่รักษาความสมดุลของร่างกายที่ผิดปกติ ทำให้เกิดการเสื่อมของเซลล์เส้นประสาท ปลายประสาทเสื่อม สามารถแบ่งได้ดังนี้ ประสาทอัตโนมัติเสื่อม ส่งผลกระทบต่อการควบคุมการหดและขยายของหลอดเลือดและการหลั่งเหงื่อ ทำให้ร่างกายหลั่งเหงื่อน้อยลง ผิวแห้ง แตก […]


ภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน

เบาหวานขึ้นตา อาการที่ควรสังเกต

เบาหวานขึ้นตา หรือ ภาวะเบาหวานขึ้นจอตา เป็นภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นในผู้ป่วยโรคเบาหวาน เกิดจากความเสียหายของเนื้อเยื่อหลอดเลือดบริเวณด้านหลังดวงตา หรือที่เรียกว่า เรตินา (Retina) ภาวะนี้สามารถเกิดขึ้นได้ในผู้ป่วยโรคเบาหวานทั้งชนิดที่ 1 และชนิดที่ 2 ยิ่งระยะของโรคเบาหวานลุกลามและระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้น อาจยิ่งเพิ่มโอกาสทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนในดวงตามากขึ้น จนอาจทำให้สูญเสียการมองเห็น นอกจากนี้ หากอาการรุนแรงขึ้น อาจส่งผลให้หลอดเลือดฝอยบริเวณจอประสาทตาและหลอดเลือดฝอยทั่วร่างกายเสื่อมได้เช่นกัน เบาหวานขึ้นตา อาการเป็นอย่างไร เบาหวานขึ้นตา อาจทำให้หลอดเลือดด้านหลังดวงตาเกิดความเสียหาย ผู้ป่วยโรคเบาหวานประมาณ 40%-45% มักเกิดภาวะเบาหวานขึ้นตา ซึ่งในระยะเริ่มต้นอาจยังไม่แสดงอาการใด ๆ หรืออาจมีปัญหาการมองเห็นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่หากไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้สูญเสียการมองเห็นได้ อาการเบาหวานขึ้นจอตา เมื่อโรคเบาหวานลุกลามมากขึ้นหรือเกิดขึ้นเป็นระยะเวลานาน อาจทำให้มีอาการเหล่านี้ มองเห็นภาพซ้อน มองเห็นเป็นจุดหรือเส้นสีดำในดวงตา ตาพร่ามัว การมองเห็นไม่ชัดเจน ดวงตาไม่สามารถปรับให้มองเห็นในที่มืดได้ดีเท่าที่ควร ไขมันรั่วในจอตา ทำให้จอประสาทตาบวม จอประสาทตาหลุดลอก เลือดออกในน้ำวุ้นตา สูญเสียการมองเห็น อาการจอตาบวมน้ำจากเบาหวาน เกิดจากของเหลวสะสมอยู่บริเวณกึ่งกลางของเรตินา อาจทำให้มีอาการเหล่านี้ ตาพร่ามัว มองเห็นเป็นคลื่นหรือเส้นสีดำในตา มองเห็นสีซีดจางลงหรือสีเหลือง มองเห็นเงาตะกอนน้ำวุ้นตา (Floaters) คือ เห็นเป็นเงาดำเล็ก ๆ ที่เกิดจากตะกอนในน้ำวุ้นตา อาการเบาหวานและต้อหิน ผู้ป่วยเบาหวานอาจมีความเสี่ยงเกิดโรคต้อหินเป็น 2 เท่า เนื่องจากผู้ป่วยเบาหวานอาจมีภาวะแทรกซ้อนมีเส้นเลือดผิดปกติที่บริเวณม่านตา อาจอุดทางเดินของน้ำภายในลูกตา ทำให้ความดันตาสูงขึ้น หากปล่อยไว้เป็นเวลานานความดันที่เกิดขึ้นอาจกดให้ประสาทตาฝ่อได้ ซึ่งโรคต้อหินเป็นโรคที่ทำลายเส้นประสาทตา […]


โรคเบาหวานชนิดที่ 2

6 พฤติกรรมเสี่ยง ที่อาจทำให้เกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2

เบาหวานชนิดที่ 2 เป็นโรคเบาหวานที่พบบ่อย เกิดขึ้นเมื่อร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกินไป แต่ไม่สามารถนำไปใช้เป็นพลังงานได้ เนื่องจากตับอ่อนผลิตฮอร์โมนอินซูลินได้ไม่เพียงพอ ซึ่งอินซูลินมีหน้าที่ในการนำน้ำตาลเข้าสู่เซลล์เพื่อเปลี่ยนเป็นพลังงาน นำไปสร้างเป็นกล้ามเนื้อและเลี้ยงเนื้อเยื่อต่าง ๆ ทั่วร่างกาย เมื่อเซลล์ได้รับน้ำตาลน้อยลง ก็อาจทำให้ระบบต่าง ๆ ในร่างกายทำงานผิดปกติ  ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐอเมริกาให้ข้อมูลว่า ผู้ป่วยโรคเบาหวาน 90%-95% เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 อาจเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย แต่อาจพบได้บ่อยในวัยกลางคนและผู้สูงอายุ โดยผู้ที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไป มีประวัติครอบครัวเป็นโรคเบาหวาน มีน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน นอกจากนี้ การรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ ไม่ออกกำลังกาย และปัญหาสุขภาพบางอย่าง เช่น ความดันโลหิตสูง ก็อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 มากขึ้น โรคเบาหวานอาจส่งผลต่ออวัยวะสำคัญในร่างกาย เช่น หัวใจ หลอดเลือด เส้นประสาท ดวงตา ไต ดังนั้น หากได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคเบาหวาน ก็อาจมีแนวโน้มเป็นโรคอื่น ๆ ตามมา เช่น โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดสมอง โรคไต 6 พฤติกรรมเสี่ยง ที่อาจทำให้เกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 สาเหตุของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 […]


โรคเบาหวานชนิดที่ 2

อาการเบาหวาน สัญญาณเตือนโรคเบาหวานชนิดที่ 2

อาการเบาหวาน ที่เป็นสัญญาณเตือนว่าเป็นโรคเบาหวาน มักเป็นผลจากภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ก่อนจะไปพบคุณหมอสามารถตรวจอาการเบื้องต้นว่าเข้าข่ายป่วยเป็นเบาหวานหรือไม่ และรีบเข้าปรึกษาคุณหมอ เพื่อการตรวจรักษาอย่างถูกต้องร่วมกับการดูแลตนเอง อาการเบาหวาน โรคเบาหวาน แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดหลัก ๆ คือ โรคเบาหวานชนิดที่ 1 (Type 1 Diabetes Mellitus) เกิดจากเซลล์ตับอ่อนถูกภูมิคุ้มกันทำลาย ทำให้ขาดอินซูลิน มักพบตั้งแต่เด็กหรือวัยรุ่น แต่อาจพบได้ในผู้ใหญ่บางรายได้เช่นกัน โรคเบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 Diabetes Mellitus) เกิดจากภาวะดื้ออินซูลิน เป็นเบาหวานชนิดที่พบบ่อยที่สุด คิดเป็นร้อยละ 95 ของผู้ป่วยเบาหวานทั้งหมด มักพบในผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วนร่วมด้วย โดยปกติแล้วผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 1 และผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 จะมีอาการแตกต่างกัน แต่มีอาการที่เป็นสัญญาณเตือนโรคเบาหวานทั้ง 2 ชนิดที่คล้ายคลึงกัน ได้แก่ เหนื่อยง่าย หิวบ่อย ถ่ายปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำมากกว่าปกติ ปากแห้งและคันตามผิวหนัง ตาพร่าหรือมองเห็นภาพไม่ชัด โรคเบาหวานชนิดที่ 1 อาการป่วยมักเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วภายในเวลาเพียงไม่กี่วันหรือไม่กี่สัปดาห์ และมักวินิจฉัยพบเมื่ออยู่ในระยะอันตรายแล้ว ส่วนโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในช่วงแรกอาจยังไม่แสดงอาการชัดเจนมากนัก หากผู้ป่วยไม่ทันสังเกตก็มักจะไม่ทราบว่าตนเองเป็นโรคนี้ ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะทราบว่าป่วยเป็นโรคเบาหวานเมื่อร่างกายเกิดอาการและส่งผลกระทบกับสุขภาพโดยรวม ดังนั้น […]


โรคเบาหวาน

เบาหวานอาการที่ควรสังเกต

เบาหวานอาการที่สังเกตได้สังเกตได้ชัดคือ อาการหิวบ่อย ปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำมากขึ้น ปากแห้ง ตาพร่า นอกจากนี้ยังอาจมีอาการที่แตกต่างกันตามโรคเบาหวานแต่ละชนิด การทำความเข้าใจเกี่ยวกับอาการของโรคเบาหวาน อาจสามารถช่วยให้ผู้ป่วยรู้ตัวไว สามารถเข้ารับการรักษาได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ และป้องกันไม่ให้เกิดอาการที่รุนแรงหรือภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวานได้ เบาหวานอาการเป็นอย่างไร อาการเริ่มต้นของเบาหวานทั้ง 2 ประเภทที่คล้ายคลึงกัน มีดังนี้ หิวบ่อยและอ่อนเพลีย ร่างกายจะเปลี่ยนอาหารเป็นกลูโคสเพื่อให้เซลล์ดูดซึมและใช้เป็นพลังงาน โดยมีอินซูลินช่วยดูดซึมกลูโคส หากร่างกายสร้างอินซูลินได้ไม่เพียงพอหรือเซลล์ต่อต้านอินซูลิน ก็ไม่สามารถดูดซึมกลูโคสไปเป็นพลังงานให้ร่างกายได้ ทำให้มีอาการหิวบ่อยและเหนื่อยมากกว่าปกติ ปัสสาวะบ่อยและกระหายน้ำมากขึ้น โดยปกติคนทั่วไปจะปัสสาวะประมาณวันละ 4-7 ครั้ง แต่ผู้ป่วยเบาหวานอาจปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ เนื่องจากร่างกายไม่สามารถดูดซึมกลูโคสได้ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง ร่างกายจึงต้องผลิตปัสสาวะมากขึ้นเพื่อขับน้ำตาลส่วนเกินออกจากร่างกาย และเมื่อร่างกายสูญเสียน้ำมากจึงส่งผลให้ผู้ป่วยกระหายน้ำมากขึ้นตามไปด้วย ปากแห้งและคันผิวหนัง เนื่องจากร่างกายขับของเหลวออกปริมาณมาก ทำให้ร่างกายขาดน้ำและสูญเสียความชุ่มชื้น จนผิวแห้ง ปากแห้ง และมีอาการคันที่ผิวหนัง ตาพร่ามัว การเปลี่ยนแปลงระดับของเหลวในร่างกายอาจทำให้เลนส์ในดวงตาบวมซึ่งส่งผลต่อการโฟกัสของดวงตา และทำให้มีอาการมองเห็นไม่ชัดได้ น้ำตาลในเลือดสูง หมายถึงภาวะที่ระดับน้ำตาลในเลือดมากกว่า 180 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ทำให้เกิดอาการต่าง ๆ เช่น กระหายน้ำมาก ปัสสาวะมาก ตาพร่า หิวมากขึ้น ชาที่เท้า เหนื่อยล้า ปัสสาวะมีน้ำตาล น้ำหนักลด ติดเชื้อทางช่องคลอดและผิวหนัง […]


โรคเบาหวานชนิดที่ 2

รับมือเบาหวานชนิดที่ 2 ด้วยโภชนาการที่สมดุล

นอกเหนือจากการปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการใช้ยาตามคำแนะนำของคุณหมอแล้ว อีกหนึ่งวิธีสำหรับ รับมือเบาหวานชนิดที่ 2 คือ การให้ความสำคัญในเรื่อง ของอาหาร เนื่องจากอาหารจะส่งผลโดยตรงต่อระดับน้ำตาลในเลือด หากผู้ป่วยเบาหวานเลือกรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสม ก็จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดขึ้นสูง และเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด ภาวะเส้นประสาทเสียหาย ภาวะเบาหวานขึ้นตา โรคติดเชื้อ โรคไต ซึ่งอาจทำให้สุขภาพและคุณภาพชีวิตในระยะยาวลดลง [embed-health-tool-bmi] อาหาร สำคัญอย่างไรกับ เบาหวาน ผู้ป่วยเบาหวาน หมายถึง ผู้ที่มีค่าน้ำตาลในเลือดสูง เนื่องจากร่างกายไม่สามารถผลิตอินซูลินได้เพียงพอ หรือมีภาวะดื้ออินซูลิน (Insulin Resistance) ร่างกายจึงไม่สามารถจัดการกับระดับน้ำตาลในเลือดได้อย่างเหมาะสม สิ่งสำคัญสำหรับการ รับมือเบาหวานชนิดที่ 2 จึงเป็นการระมัดระวังไม่ให้ระดับน้ำตาลในเลือดขึ้นสูงมากจนเกินไป โดยเฉพาะหลังจากการรับประทานอาหารในแต่ละมื้อ ผู้ป่วยควรคำนึงถึง ค่าดัชนีน้ำตาล (GI) ซึ่งเป็นตัวเลขที่สามารถบอกได้ว่า อาหารแต่ละชนิดจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดหลังรับประทานพุ่งขึ้นสูงเท่าไหร่ หากต้องการควบคุมเบาหวานได้ดี จึงควรเลือกรับประทานอาหารที่มีดัชนีน้ำตาลต่ำ เนื่องจากไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นมากจนเกินไปหลังรับประทาน อาหารที่ผู้ป่วยเบาหวานควรรับประทาน ผู้ป่วยเบาหวานควรเลือกรับประทานอาหาร ดังนี้ โปรตีน ควรเน้นโปรตีนที่มีไขมันต่ำ เช่น เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ปลา ไข่ ที่ปรุงโดยไม่ผ่านการทอด ถั่วต่าง ๆ ธัญพืชเต็มเมล็ด เต้าหู้ นมและผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมไขมันต่ำ ผัก ควรรับประทานผักเพิ่มขึ้น โดยในแต่ละมื้อแนะนำให้รับประทานผักในสัดส่วนประมาณ ½ […]


โรคเบาหวาน

อาหารทดแทน ทางเลือกใหม่สำหรับเบาหวานทุกระยะ

สำหรับผู้เป็นเบาหวาน การดูแลเรื่องอาหารให้เหมาะสม ถือเป็นความท้าทายอย่างหนึ่งในการควบคุมภาวะของโรคเบาหวาน เพราะอาหารที่รับประทานเข้าไปมีผลโดยตรงกับระดับน้ำตาลในเลือด ปัจจุบันจึงมีการคิดค้นอาหารทดแทนสูตรครบถ้วนสำหรับผู้เป็นเบาหวานโดยเฉพาะ เพื่อเป็นทางเลือกในการดูแลร่างกายที่สะดวกและจัดการโภชนาการได้สมดุลมากขึ้น อาหารทดแทนสูตรครบถ้วนสำหรับผู้เป็นเบาหวาน ตอบโจทย์แนวทางการดูแลรักษาผู้เป็นเบาหวานและผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกิน1 เนื่องจากมีประโยชน์ที่สอดคล้องกับการรักษาทางการแพทย์ ดังนี้ รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม และจำกัดพลังงานอย่างเหมาะสม เพื่อควบคุมน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากอาหารทดแทนสูตรครบถ้วนมีคาร์โบไฮเดรตชนิดพิเศษ ช่วยเพิ่มความอิ่มหลังมื้ออาหาร ทั้งยังให้พลังงานต่ำกว่ามื้ออาหารปกติ เน้นการรับประทานอาหารที่มาจากพืชเป็นหลัก โดยมีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (MUFA) และไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (PUFA) สูง หลีกเลี่ยง ไขมันทรานส์ และจำกัดไขมันอิ่มตัวซึ่งในอาหารทดแทนสูตรครบถ้วนอุดมไปด้วยไขมันไม่อิ่มตัว เชิงเดี่ยว (MUFA) และไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (PUFA) สูง ดีต่อสุขภาพหัวใจ มีการปรึกษาและวางแผนทางโภชนาการและมื้ออาหารทดแทน ในอาหารทดแทนสูตรครบถ้วนเป็นสูตรอาหารที่พัฒนาขึ้นเพื่อเป็นอาหารเสริมหรือทดแทนมื้ออาหารได้เป็นอย่างดี อาาหรทดแทนสูตรครบถ้วนสำหรับผู้เป็นเบาหวาน นอกจากจะครบถ้วนด้วยสารอาหารหลัก ต่าง ๆ พร้อมแร่ธาตุและวิตามินนานาชนิดแล้ว ยังมีส่วนประกอบของคาร์โบไฮเดรตชนิดพิเศษที่ย่อยและดูดซึมได้อย่างช้า ๆ มีโปรตีนสูงถึง 20% มากกว่าสูตรมาตรฐานทั่วไป และมีกรดไขมัน MUFA สูง ซึ่งสารอาหารเหล่านี้จำเป็นสำหรับผู้เป็นเบาหวานที่ต้องได้รับอย่างครบถ้วน ประโยชน์ของอาหารทดแทนที่ครอบคลุมถึงผู้เป็นเบาหวานในแต่ละกลุ่ม ภาวะก่อนเป็นโรคเบาหวาน (Prediabetes) เป็นภาวะที่เริ่มมีความผิดปกติในการควบคุมระดับน้ำตาล คือ มีระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหาร (Fasting Blood Sugar) […]


โรคเบาหวานชนิดที่ 2

เคล็ดลับการเลือกอาหารฉบับง่ายสำหรับผู้เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 เพื่อการใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่

สำหรับผู้เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 สิ่งสำคัญที่สุด คือ การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมและคงที่ ดังนั้น การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์เรื่องการรับประทานอาหารจึงมีส่วนช่วยให้รับมือกับเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ดีขึ้น ซึ่งผู้เป็นเบาหวานจำเป็นต้องทำความเข้าใจเรื่องของสารอาหารก่อนเริ่มปรับแผนการรับประทาน โดยเฉพาะสารอาหารสำคัญที่ร่างกายจำเป็นต้องได้รับอย่างเหมาะสมอย่าง คาร์โบไฮเดรต คาร์โบไฮเดรตชนิดพิเศษ (ไฟเบอร์ซอล ซูโครมอลต์ FOS) โปรตีน แร่ธาตุ และวิตามินที่จำเป็น คาร์โบไฮเดรต แม้จะเป็นสารอาหารที่คุ้นเคย แต่สำหรับผู้เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ร่างกายไม่สามารถตอบสนองต่อฮอร์โมนอินซูลิน (ฮอร์โมนที่ทำหน้าที่เผาผลาญคาร์โบไฮเดรต) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้น ผู้เป็นเบาหวานจึงควรควบคุมการบริโภคคาร์โบไฮเดรต ด้วยวิธีการควบคุม 2 วิธี คือ การนับปริมาณคาร์โบไฮเดรตและค่าดัชนีน้ำตาล การนับปริมาณคาร์โบไฮเดรต เป็นการคำนวณที่ไม่ซับซ้อน เพียงนับจากปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่บริโภคในแต่มื้อของแต่ละวัน โดยเฉลี่ยแล้วผู้เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ควรได้รับแคลอรี่ประมาณครึ่งหนึ่งจากคาร์โบไฮเดรต1 ซึ่งหมายความว่าหากอาหารที่บริโภคใน 1 วันมีปริมาณ 1,500 กิโลแคลอรี่ คาร์โบไฮเดรตที่ได้รับไม่ควรมากกว่า 700-800 กิโลแคลอรี่ ซึ่งจะเท่ากับคาร์โบไฮเดรตประมาณ 175-200 กรัม/วัน (4 กิโลแคลอรี่/คาร์โบไฮเดรต 1 กรัม) ค่าดัชนีน้ำตาล (Glycemic Index […]

ad iconโฆษณา
คำถามที่พบบ่อย
ad iconโฆษณา

คุณกำลังเป็นเบาหวานอยู่ใช่หรือไม่?

คุณไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว เข้าร่วมชุมชนเบาหวานและแลกเปลี่ยนเรื่องราวและประสบการณ์ของคุณ เข้าร่วมชุมชนได้เลย!





ad iconโฆษณา

ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของเรา

ทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของ Hello คุณหมอ ประกอบไปด้วยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มาร่วมสร้างสรรค์บทความในเว็บไซต์ของเราตามความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญของเราจะช่วยรับรองว่าข้อมูลด้านสุขภาพของเราถูกต้อง เป็นปัจจุบัน และตรงตามหลักฐานจากงานวิจัยล่าสุด
ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรามุ่งมั่นเต็มที่ในการช่วยให้คุณได้รับข้อมูลและความรู้ด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือ เข้าใจง่าย และเป็นประโยชน์ และพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพกับคุณเสมอ เพื่อให้คุณได้รับทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น

ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ชุมชน