พ่อแม่เลี้ยงลูก

ในทุกช่วงชีวิตของลูกน้อย เหล่าคุณพ่อคุณแม่จำเป็นที่จะต้องรู้วิธีดูแลและสนับสนุนสุขภาพโดยรวมของลูกน้อย เพื่อให้ความเป็นอยู่ของลูกน้อยดีขึ้น เพราะฉะนั้นใน พ่อแม่เลี้ยงลูก คุณจะได้พบกับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ รวมถึงเคล็ดลับในการดูแลลูกให้แข็งแรง มีความสุข และสามารถปรับตัวได้ในทุกสถานการณ์

เรื่องเด่นประจำหมวด

พ่อแม่เลี้ยงลูก

ทารกสะอึกแบบไหนที่คุณพ่อคุณแม่ควรระวัง

เรื่องใหญ่สำหรับคุณพ่อคุณแม่คงจะหนีไม่พ้นการดูแลลูกน้อยให้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง และมีพัฒนาการที่เหมาะสมตามวัย แน่นอนว่าการใส่ใจในทุกรายละเอียดของชีวิตประจำวันเป็นสิ่งสำคัญ เพราะฉะนั้นคุณพ่อคุณแม่คงจะรู้จักลูกน้อยของตนเองดีกว่าใคร ยิ่งถ้าหากวันไหนลูกเกิดมีอาการผิดสังเกตไปจากปกติ คุณพ่อคุณแม่คงหวั่นใจไม่น้อย หนึ่งในอาการที่มักพบได้บ่อยในเด็กทารกที่มีอายุต่ำกว่า 12 เดือน คืออาการ “สะอึก”1 คุณพ่อคุณแม่อาจสงสัยว่าอาการสะอึกของลูกปกติดีหรือไม่? ลูกไม่สบายตรงไหนรึเปล่า? Hello คุณหมอได้รวบรวมคำตอบ พร้อมเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับอาการสะอึกของทารก เอาไว้ให้ในบทความนี้แล้ว ครั้งต่อไปที่ลูกสะอึกก็พร้อมรับมือด้วยความมั่นใจได้อย่างแน่นอน ลูกสะอึกแต่ละที สะเทือนไปทั้งตัว แม้ว่าอาการสะอึกจะเกิดขึ้นกับคนได้ทุกวัย ถ้าแก้ไขถูกวิธีแค่ไม่นานก็หาย ดูแล้วไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร แต่เมื่อเด็กทารกสะอึก กลับดูสะเทือนไปทั้งตัว จนคุณพ่อคุณแม่อดห่วงไม่ได้ว่าลูกจะเจ็บตรงไหนหรือรู้สึกไม่สบายหรือเปล่า ที่จริงแล้วอาการสะอึกไม่ได้รบกวนลูกน้อยแต่อย่างใด ทารกที่สะอึกสามารถกินและนอนได้ตามปกติ หากอาการสะอึกนั้นเกิดขึ้นช่วงสั้นๆ เพียง 5-10 นาที2 สาเหตุที่ทารกสะอึกคืออะไร ทารกสะอึกไม่ใช่เรื่องผิดปกติแต่อย่างใด โดยอาการนี้มักเกิดขึ้นหลังจากที่ทารกอิ่มนมแล้ว อาจเป็นไปได้ว่าเพราะดื่มเยอะ ดื่มเร็ว หรือกลืนอากาศเข้าไปด้วย สาเหตุเป็นเพราะนมที่ดื่มเข้าไปทำให้กระเพาะอาหารขยายตัว จนเกิดแรงดันส่งไปยังกล้ามเนื้อกะบังลม พอหายใจออก กล้ามเนื้อกะบังลมก็จะหดตัวอย่างรวดเร็ว จนเกิดเสียงสะอึกออกมา³ อาการสะอึกของเด็กทารก มักพบได้บ่อยในช่วง 3 เดือนแรก พออายุเข้า 4-5 เดือน อาการสะอึกก็จะค่อยๆ ลดลง หายไปเอง นอกเหนือจากสาเหตุข้างต้นแล้ว เหตุผลที่เด็กทารกสะอึกก็อาจมาจากอาการท้องอืด เพราะระบบย่อยอาหารยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ หรืออาจเป็นผลข้างเคียงจากการรับประทานยาบางชนิดก็ได้เช่นกัน3 ทารกสะอึกแบบไหนถึงเรียกว่าอันตราย     อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้น ว่าทารกสะอึกจะเกิดขึ้นเพียง 5-10 นาที จากนั้นจะค่อยๆ […]

หมวดหมู่ พ่อแม่เลี้ยงลูก เพิ่มเติม

สำรวจ พ่อแม่เลี้ยงลูก

โภชนาการสำหรับทารก

เมนู ลูก รัก วัย 9 -10 เดือน ควรเป็นอย่างไร

ลูกวัย 9-10 เดือน เป็นวัยที่สามารถรับประทานอาหารแข็งและเริ่มเรียนรู้การใช้มือในการรับประทานอาหารด้วยตัวเอง ดังนั้น เมนู ลูก รัก วัย 9 -10 เดือน จึงควรอุดมไปด้วยสารอาหารที่หลากหลายและครบถ้วนทั้งเนื้อสัตว์ คาร์โบไฮเดรต ผักและผลไม้ นอกจากนี้ ควรผ่านการปรุงสุก สับเป็นชิ้นพอหยาบ และไม่ผ่านการปรุงรส เพื่อให้รับประทานง่ายและไม่ส่งผลเสียต่อระบบย่อยอาหาร [embed-health-tool-bmi] โภชนาการลูกรักวัย 9 -10 เดือน ที่เหมาะสม ลูกรักวัย 9 -10 เดือน สามารถรับประทานอาหารแข็งได้ ½ ถ้วย ประมาณ 3-4 ครั้ง/วัน พร้อมกับอาหารว่างด้วย โดยอาจแบ่งได้ ดังนี้ อาหารที่อุดมด้วยโปรตีน 1/4-1/2 ถ้วย ผลิตภัณฑ์ธัญพืช 1/4-1/2 ถ้วย ผัก 1/2-3/4 ถ้วย ผลไม้ 1/2-3/4 ถ้วย และควรรับประทานนมแม่หรือนมผงหลังอาหาร 7-8 ออนซ์ ประมาณ 3-4 ครั้ง/วัน เพื่อให้ลูกได้รับสารอาหารอย่างเต็มที่ โดยก่อนป้อนอาหารแข็งให้ลูกควรสับอาหารให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ […]


โภชนาการสำหรับทารก

เมนูอาหารเด็ก6เดือน ที่ควรกินมีอะไรบ้าง และควรหลีกเลี่ยงอะไรบ้าง

เด็ก 6 เดือน เป็นวัยที่เริ่มเรียนรู้ทักษะการกินอาหารแข็งทั้งการสัมผัส การเคี้ยว และการกลืน เมนูอาหารเด็ก6เดือน จึงควรเป็นอาหารที่มีเนื้อสัมผัสอ่อนนุ่ม บดละเอียด และรสชาติอ่อน ๆ พร้อมทั้งควรอุดมไปด้วยสารอาหารที่ครบถ้วน เพื่อให้เด็กคุ้นเคยกับรสชาติอาหารแบบใหม่ และได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากขึ้น [embed-health-tool-bmi] โภชนาการเด็ก 6 เดือน ควรเป็นอย่างไร เด็ก 6 เดือนเป็นวัยที่สามารถเริ่มกินอาหารแข็งได้แล้ว แต่ยังคงต้องกินนมแม่หรือนมผงเป็นอาหารหลักอยู่ โดยปริมาณนมและอาหารแข็งที่เด็ก 6 เดือนควรได้รับอาจมีดังนี้ นมแม่หรือนมผง 4-6 ออนซ์ ประมาณ 4-6 ครั้ง/วัน การเริ่มต้นให้อาหารแข็งเป็นอาหารเสริม ควรบดอาหารเพียงชนิดเดียวในปริมาณเล็กน้อยประมาณ 1-2 ช้อนชา 4 ครั้ง/วัน และอาจค่อย ๆ เพิ่มอาหารแข็งเป็น 1-2 ช้อนโต๊ะ โดยผสมกับนมแม่หรือนมผงเพื่อไม่ให้อาหารข้นเกินไปและกินง่ายมากขึ้น เมื่อเด็กเริ่มชินกับอาหารแข็งสามารถเพิ่มปริมาณอาหารแข็งเป็น ½ ถ้วย ประมาณ 2-3 ครั้ง/วัน ดังนี้ นมแม่หรือนมผง 6-8 ออนซ์ ประมาณ 3-5 ครั้ง/วัน โปรตีน 1-2 […]


โภชนาการสำหรับทารก

อาหารเด็ก6เดือน ที่เหมาะสมตามวัย มีอะไรบ้าง

โดยทั่วไป เด็กสามารถเริ่มกินอาหารแข็งหรืออาหารเสริมอื่น ๆ นอกเหนือจากนมแม่หรือนมผงได้ตั้งแต่อายุ 6 เดือนขึ้นไป ทั้งนี้ คุณพ่อคุณแม่ควรเลือก อาหารเด็ก6เดือน ที่เหมาะกับช่วงวัยและสุขภาพของเด็ก เช่น ผักและผลไม้ที่บดหรือปั่นละเอียด อาหารที่มีธาตุเหล็ก อาหารประเภทแป้ง อาหารที่มีโปรตีน ซึ่งนอกจากจะให้สารอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของร่างกาย สมอง และระบบประสาทของเด็กแล้ว ยังช่วยฝึกพัฒนาการในการเคี้ยวและการกลืนอาหาร รวมถึงช่วยให้เด็กได้เรียนรู้เนื้อสัมผัสของอาหารด้วย [embed-health-tool-vaccination-tool] เด็กเริ่มกินอาหารแข็ง (Solid foods) ได้เมื่อไหร่ อาหารแข็ง คือ อาหารเสริมโภชนาการสำหรับทารกที่นอกเหนือไปจากน้ำนมแม่หรือนมผง โดยทั่วไปแล้ว คุณพ่อคุณแม่สามารถให้เด็กเริ่มกินอาหารแข็งควบคู่ไปกับการให้กินนมแม่ได้ตั้งแต่เด็กอายุ 6 เดือนขึ้นไป เพื่อให้เด็กได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์เพิ่มขึ้น เช่น แร่ธาตุ วิตามิน ซึ่งจะช่วยให้เด็กมีพัฒนาการที่สมบูรณ์แข็งแรงตามวัย ทั้งนี้ ควรเริ่มให้เด็กกินอาหารเนื้อนิ่ม รสชาติอ่อน เคี้ยวและกลืนได้ง่าย เพื่อป้องกันการสำลักอาหารหรืออาหารติดคอ โดยอาจให้เด็ก 6 เดือนกินอาหารแข็งวันละ 2 ครั้ง เพียงครั้งละ 2-3 ช้อนโต๊ะ/มื้อ เนื่องจากกระเพาะอาหารของเด็กวัยนี้ยังเล็ก จึงอาจยังรับอาหารได้น้อย และหากอิ่มเกินไปก็อาจทำให้กินนมแม่ได้น้อยลง คุณพ่อคุณแม่สามารถป้อนอาหารเด็ก6เดือนด้วยช้อน หรือให้เด็กฝึกหยิบจับอาหารด้วยตัวเองก็ได้ ในระยะแรกเด็กอาจเลือกกินเนื่องจากไม่คุ้นเคยกับรูปร่าง เนื้อสัมผัส และรสชาติอาหาร คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรบังคับให้เด็กกินอาหารที่เด็กไม่อยากกินเพราะอาจทำให้กินยากกว่าเดิม ควรให้เด็กกลับไปกินนมแม่หรือนมขวดตามปกติ […]


เด็กทารก

ลักษณะอุจจาระทารกปกติ เป็นอย่างไร และทารกถ่ายบ่อยแค่ไหน

ลักษณะอุจจาระทารกปกติ จะเป็นก้อนนิ่ม เนื้ออาจเหลวเล็กน้อย และอาจมีหลายสี เช่น สีเทา สีเขียว สีเหลือง สีน้ำตาล แตกต่างไปตามอายุและอาหารที่ทารกรับเข้าสู่ร่างกาย อีกทั้งทารกแต่ละคนยังมีความถี่ในการขับถ่ายไม่เหมือนกันด้วย ทารกบางคนอาจถ่ายอุจจาระทุกครั้งหลังกินนม หรือบางคนอาจถ่ายอุจจาระเพียงสัปดาห์ละครั้ง ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติในทารกที่กินเพียงนมแม่หรือนมผงและไม่จำเป็นต้องขับถ่ายของเสียมากนัก ปัญหาการขับถ่ายของทารกส่วนใหญ่อาจเกิดขึ้นในช่วงที่ทารกเริ่มกินอาหารแข็ง หากทารกถ่ายน้อยลง ร่วมกับมีอาการอื่น ๆ เช่น อุจจาระมีเลือดปน ร้องไห้งอแง มีอาการขาดน้ำ อาจเป็นสัญญาณของปัญหาการขับถ่ายที่ควรพาไปพบคุณหมอ [embed-health-tool-baby-poop-tool] ลักษณะอุจจาระทารกปกติ เป็นอย่างไร ลักษณะอุจจาระทารกปกติ อาจมีหลายสี เช่น สีเขียว สีเหลือง สีน้ำตาล และมีเนื้อสัมผัสที่ต่างกันไปตามอายุและอาหารที่รับเข้าสู่ร่างกาย ในช่วงประมาณ 2-3 วันแรกหลังคลอด ทารกจะถ่ายอุจจาระออกมาเป็นสีเทา เนื้อเหนียว หรือที่เรียกว่าขี้เทา (Meconium) ซึ่งเป็นของเสียที่สะสมอยู่ในระบบย่อยอาหารของทารกตลอดการตั้งครรภ์ หลังจากนั้น อุจจาระของทารกจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองมัสตาร์ด อาจมีเนื้อนิ่มและเหลวเล็กน้อย ซึ่งเป็น ลักษณะอุจจาระทารกปกติ เมื่อทารกกินนมแม่ แต่หากทารกกินนมผงอาจมีอุจจาระสีเหลืองเข้มขึ้น และเมื่อคุณพ่อคุณแม่เริ่มให้ทารกกินอาหารแข็ง (Solid food) อุจจาระของทารกอาจเป็นสีเขียว สีเหลือง สีน้ำตาล หรือสีส้ม ตามอาหารที่ทารกรับเข้าสู่ร่างกาย และเมื่ออายุมากขึ้นเรื่อย ๆ […]


พ่อแม่เลี้ยงลูก

RSV คือ ไวรัสอาร์เอสวี สาเหตุการติดเชื้อทางเดินหายใจในเด็ก

RSV คือ เชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนบนบริเวณจมูกและคอ และในระบบทางเดินหายใจส่วนล่างบริเวณปอด มักแพร่ระบาดในช่วงฤดูฝนไปจนถึงฤดูหนาว หรือประมาณเดือนกรกฎาคม-มกราคม โดยทั่วไปแล้ว RSV จะทำให้เด็กมีอาการคล้ายไข้หวัดธรรมดา เช่น คัดจมูก น้ำมูกไหล ไอ มีเสมหะ มีไข้ กินนมและอาหารได้น้อยลง หายใจลำบาก อาการแสดงจะปรากฏหลังได้รับเชื้อประมาณ 2-5 วัน และอาจมีอาการประมาณ 5-7 วัน ส่วนใหญ่สามารถหายได้เอง แต่หากเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น หลอดลมฝอยอักเสบ ปอดอักเสบ (ปอดบวม) โดยเฉพาะในเด็กที่คลอดก่อนกำหนดซึ่งมีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอหรือในเด็กที่มีโรคเกี่ยวกับหัวใจหรือปอด ก็อาจเสี่ยงเกิดภาวะหายใจล้มเหลวและถึงขั้นเสียชีวิตได้ [embed-health-tool-vaccination-tool] RSV คือ อะไร อาร์เอสวี หรือ RSV คือ Respiratory Syncytial Virus เป็นเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ พบได้บ่อยในเด็กเล็ก แต่ก็สามารถเกิดขึ้นได้ในคนทุกวัย เด็กส่วนใหญ่อาจติดเชื้อ RSV อย่างน้อย 1 ครั้งก่อนอายุถึง 2 ขวบ และอาจติดเชื้อซ้ำได้อีกในภายหลัง ส่วนใหญ่แล้วอาการจะรุนแรงที่สุดในช่วง 3-5 วันแรกที่มีอาการแสดง ก่อนอาการจะค่อย ๆ […]


วัยรุ่น

Precocious puberty คือ ภาวะเป็นหนุ่มสาวก่อนวัย สังเกตได้อย่างไร

Precocious puberty คือ ภาวะเป็นหนุ่มสาวก่อนวัย เกิดจากการหลั่งฮอร์โมนเพศที่ทำให้ร่างกายเปลี่ยนแปลง เช่น มีหน้าอก มีประจำเดือน มีหนวดขึ้น มีขนตามแขน ขา อวัยวะเพศ องคชาตและอัณฑะขยายใหญ่ขึ้น ตั้งแต่เด็กผู้หญิงมีอายุไม่ถึง 8 ปี และเด็กผู้ชายมีอายุไม่ถึง 9 ปี ส่งผลให้เด็กเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นก่อนวัยที่ควรจะเป็น อีกทั้งกระดูกและกล้ามเนื้อยังพัฒนารวดเร็วกว่าปกติจนหยุดพัฒนาก่อนเวลา ส่งผลให้เตี้ยกว่าที่ควรเนื่องจากร่างกายถูกเร่งให้โตเร็วเกินไป และอาจทำให้เด็กรู้สึกวิตกกังวลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายของตัวเองที่รวดเร็วเกินไป จนกระทบต่อสภาพจิตใจได้ด้วย หากคุณพ่อคุณแม่พบว่าบุตรหลานมีอาการที่เข้าข่าย Precocious puberty ควรพาเด็กไปพบคุณหมอและรับการรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ  เพื่อช่วยให้เด็กกลับมามีพัฒนาการเหมาะสมตามวัย [embed-health-tool-bmi] Precocious puberty คือ อะไร ภาวะเป็นหนุ่มสาวก่อนวัย หรือ Precocious puberty คือ ภาวะที่เด็กมีพัฒนาการของกระดูก กล้ามเนื้อ ระบบสืบพันธุ์ รวมไปถึงมีการเปลี่ยนแปลงของรูปร่าง ขนาด ความสูงของร่างกาย เร็วกว่าเด็กทั่วไปในวัยเดียวกัน ส่งผลให้เด็กเจริญเติบโตไปเป็นวัยรุ่นก่อนวัยอันควร มักพบในเพศหญิงบ่อยกว่าเพศชาย โดยปกติแล้วร่างกายของเด็กผู้หญิงจะเริ่มเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นตอนอายุ 9-13 ปี ในขณะที่เด็กผู้ชายจะเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นตอนอายุ 9-14 ปี แต่หากร่างกายของเด็กผู้หญิงเปลี่ยนแปลงก่อนอายุ 8 ปี และร่างกายของเด็กผู้ชายเปลี่ยนแปลงก่อนอายุ […]


เด็กทารก

น้ำหนักทารก และส่วนสูง ตามช่วงอายุ

ทารกแต่ละคนอาจมีการเจริญเติบโตของร่างกายและพัฒนาการที่แตกต่างกัน การทราบถึง น้ำหนักทารก และส่วนสูง จึงอาจมีส่วนช่วยในการประเมินสุขภาพร่างกายและพัฒนาการของทารกที่เหมาะสมตามวัยเบื้องต้นได้ ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ควรสังเกตและใส่ใจน้ำหนักและส่วนสูงของทารกอย่างสม่ำเสมอ เพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตอย่างเหมาะสม [embed-health-tool-vaccination-tool] น้ำหนักทารก มีความสำคัญอย่างไร น้ำหนักทารก มีความสำคัญต่อการประเมินการเจริญเติบโตที่สมบูรณ์แข็งแรงให้เหมาะสมตามวัย รวมทั้งสุขภาพร่างกายและพัฒนาการของทารกในอนาคต โดยการเปลี่ยนแปลงน้ำหนักทารกอาจขึ้นอยู่กับปัจจัยภายในและภายนอกร่างกาย ดังนี้ การตั้งครรภ์ โดยปกติทารกที่คลอดตามกำหนดจะมีสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง ส่งผลให้น้ำหนักทารกและส่วนสูงมีความเหมาะสมตามวัย พันธุกรรม อาจมีผลต่อน้ำหนักทารกและส่วนสูง โดยเฉพาะความผิดปกติทางพันธุกรรม เช่น ร่างกาย ดาวน์ซินโดรม กลุ่มอาการนูแนน (Noonan Syndrome) ซึ่งเป็นโรคที่อาจเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของยีนในร่างกายที่ส่งผลต่อน้ำหนักทารก เพศ ทารกผู้หญิงและทารกผู้ชายมักมีการเจริญเติบโตของร่างกาย น้ำหนักและส่วนสูงไม่เท่ากัน อาหาร ทารกที่กินนมแม่อาจได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างเหมาะสมมากกว่ากินนมผง ฮอร์โมน ความสมดุลของฮอร์โมนเกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตของร่างกายทารก ซึ่งส่งผลต่อน้ำหนักทารกและส่วนสูงได้ การนอนหลับ ส่งผลดีต่อการเจริญโตทางร่างกายและพัฒนาการของทารก ซึ่งอาจส่งผลต่อน้ำหนักทารกและส่วนสูงได้ น้ำหนักทารก และส่วนสูง ของทารกแรกเกิดถึงอายุ 11 เดือน ทารกแรกเกิด ทารกผู้หญิงควรมีน้ำหนักประมาณ 3.2 กิโลกรัม และมีส่วนสูงประมาณ 49.2 เซนติมเมตร ส่วนทารกผู้ชายควรมีน้ำหนักประมาณ 3.4 กิโลกรัม และมีส่วนสูงประมาณ 49.9 เซนติเมตร ทารกอายุ […]


พ่อแม่เลี้ยงลูก

ส่วนสูงตามเกณฑ์อายุ ของเด็กแต่ละวัย เป็นอย่างไร

คุณพ่อคุณแม่ควรทราบถึง ส่วนสูงตามเกณฑ์อายุ ของเด็กในแต่ละวัย เพราะอาจใช้ในการประเมินการเจริญเติบโตของร่างกายที่เหมาะสม และอาจบ่งบอกถึงสุขภาพเบื้องต้นของเด็กได้ นอกจากนี้ อาจมีปัจจัยบางประการที่ควรปรับเปลี่ยน เพื่อช่วยส่งเสริมส่วนสูงของเด็กให้เหมาะสมตามวัย [embed-health-tool-vaccination-tool] ส่วนสูงตามเกณฑ์อายุ ของเด็กแต่ละวัย เด็กควรมีการเจริญเติบโตทางร่างกายที่เกิดขึ้นอย่างเหมาะสมตามวัย โดยเฉพาะ ส่วนสูงตามเกณฑ์อายุ ที่ควรมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเหมาะสม มีดังนี้ ส่วนสูงตามเกณฑ์อายุของเด็กทารก เด็กแรกเกิด เด็กผู้หญิงควรมีส่วนสูงประมาณ 49.2 เซนติเมตร ส่วนเด็กผู้ชายควรมีส่วนสูงประมาณ 49.9 เซนติเมตร เด็กอายุ 1-6 เดือน เด็กผู้หญิงควรมีส่วนสูงประมาณ 53.7-65.7 เซนติเมตร ส่วนเด็กผู้ชายควรมีส่วนสูงประมาณ 54.7-67.6 เซนติเมตร เด็กอายุ 7-11 เดือน เด็กผู้หญิงควรมีส่วนสูงประมาณ 67.3-72.8 เซนติเมตร ส่วนเด็กผู้ชายควรมีส่วนสูงประมาณ 69.2-74.5 เซนติเมตร ส่วนสูงตามเกณฑ์อายุของเด็กวัยหัดเดิน เด็กอายุ 12-14 เดือน เด็กผู้หญิงควรมีส่วนสูงประมาณ 74-76.4 เซนติเมตร ส่วนเด็กผู้ชายควรมีส่วนสูงประมาณ 75.8-78.1 เซนติเมตร เด็กอายุ 15-17 เดือน เด็กผู้หญิงควรมีส่วนสูงประมาณ 77.5-79.7 เซนติเมตร ส่วนเด็กผู้ชายควรมีส่วนสูงประมาณ 79.2-81.3 […]


พ่อแม่เลี้ยงลูก

Pedophilia หรือ โรคใคร่เด็ก ภัยคุกคามที่คุณพ่อคุณแม่ต้องใส่ใจ

โรคใคร่เด็ก หรือ Pedophilia คือ ภาวะความผิดปกติทางจิตใจที่ทำให้มีความคิดและพฤติกรรมหมกมุ่นกับการมีสัมพันธ์ทางเพศกับเยาวชน โดยทั่วไปมักพบในผู้ชายได้มากกว่าผู้หญิง คนใคร่เด็กจะมีความชอบและเสพสื่อในลักษณะนี้เป็นประจำ หากมีโอกาสก็จะเข้าหาเด็กที่ยังอายุน้อยและใช้เวลาร่วมกับเด็ก เพื่อให้เด็กคุ้นเคยและเกิดความไว้วางใจ หลังจากนั้นจะเริ่มล่วงละเมิดทางเพศเด็ก การเรียนรู้เกี่ยวกับ Pedophilia อาจช่วยให้คุณพ่อคุณแม่เข้าใจรูปแบบพฤติกรรมของคนใคร่เด็ก และให้ความรู้แก่เด็กได้อย่างเหมาะสม เพื่อป้องกันไม่ให้บุตรหลานตกเป็นเหยื่อของภัยสังคมในลักษณะนี้ โดยส่วนใหญ่แล้ว คนใคร่เด็กที่สามารถล่วงละเมิดทางเพศเด็กได้มักจะเป็นคนที่เด็กคุ้นเคยอยู่แล้ว คุณพ่อคุณแม่จึงควรแนะนำให้เด็กระมัดระวังตัวเองอยู่เสมอเวลาที่ต้องใช้เวลาหรือทำกิจกรรมร่วมกับผู้อื่น แม้ว่าจะรู้จักบุคคลผู้นั้นอยู่แล้วก็ตาม [embed-health-tool-vaccination-tool] Pedophilia คืออะไร โรคใคร่เด็ก หรือ Pedophilia (เปโด หรือ เปโดฟีเลีย) มีลักษณะเฉพาะคือ การมีจินตนาการทางเพศ มีความต้องการทางเพศ หรือมีพฤติกรรมทางเพศที่เกี่ยวข้องผู้เยาว์ ซึ่งหมายถึงบุคคลที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ เช่น รู้สึกมีอารมณ์ทางเพศเมื่อเห็นภาพเด็ก ส่วนใหญ่จะเกิดกับเด็กอายุไม่เกิน 13 ปี และมักเกิดขึ้นซ้ำ ๆ เป็นประจำ พบได้บ่อยในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง คนใคร่เด็กอาจมีความรู้สึกดึงดูดทางเพศต่อเด็กผู้ชาย เด็กผู้หญิง หรือทั้งสองเพศ และอาจรู้สึกเช่นนี้แค่ต่อเด็กหรืออาจชอบพอได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ โรคนี้เป็นรูปแบบหนึ่งของโรคพาราฟีเลีย (Paraphilia) หรือ โรคกามวิปริต ใช้เรียกผู้ที่มีอารมณ์และพฤติกรรมทางเพศที่ผิดแปลกไปจากคนทั่วไป โรคพาราฟีเลียถือเป็นความผิดปกติทางจิตอย่างหนึ่งเนื่องจากสามารถก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้อื่นได้ และควรได้รับการรักษาจากผู้เชี่ยวชาญอย่างเหมาะสม โดยอาจรักษาด้วยการใช้ยารักษาโรคทางจิตเวช การทำพฤติกรรมบำบัด (Behavior Therapy) การทำจิตบำบัดระดับลึก (Deep Psycho-therapy) […]


สุขภาพเด็ก

ยาลดไข้เด็ก มีอะไรบ้าง และควรบรรเทาอาการไข้อย่างไร

ยาลดไข้เด็ก เป็นยาที่ช่วยรักษาอาการไข้และช่วยลดอุณหภูมิในร่ายกาย ซึ่งมักใช้ยาอะเซตามิโนเฟน (Acetaminophen) หรือยาไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) ในการรักษาอาการไข้ในเด็ก อย่างไรก็ตาม หากเด็กมีอายุต่ำกว่า 2 เดือน ควรเข้าพบคุณหมอเพื่อวินิจฉัยอาการและรับยาตามขนาดที่เหมาะสมกับเด็ก เพื่อป้องกันการใช้ยาที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งอาจทำให้เด็กได้รับยาเกินขนาดและเป็นอันตรายได้ [embed-health-tool-vaccination-tool] ยาลดไข้เด็ก มีอะไรบ้าง ส่วนใหญ่คุณหมอจะทำการรักษาด้วยการให้ยาลดไข้เด็กต่อเมื่อเด็กมีอุณหภูมิร่างกายสูงกว่า 38 องศาเซลเซียส หรือหากเด็กมีอาการไม่สบายตัวมาก โดยทั่วไปอาการไข้ในเด็กจะไม่คงอยู่เป็นเวลานาน สามารถควบคุมได้ และไม่ก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง โดยคุณหมอจะประเมินระดับความรุนแรงของอาการไข้ก่อนจ่ายยาลดไข้เด็ก เพื่อให้ขนาดยาตามความเหมาะสม ซึ่งยาลดไข้เด็กที่มักใช้ในปัจจุบัน มีดังนี้ อะเซตามิโนเฟน หรือพาราเซตามอล จะให้ในขนาด 10-15 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ทุก 4-6 ชั่วโมง เพื่อช่วยรักษาอาการไข้และลดอุณหภูมิร่างกาย โดยเด็กจะมีอุณหภูมิลดลงภายใน 30-60 นาทีแรกหลังจากให้ยา ไอบูโพรเฟน จะให้ในขนาด 10 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ทุก 6-8 ชั่วโมง เพื่อช่วยลดไข้และลดอุณหภูมิ มีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับอะเซตามิโนเฟน และอาจมีผลในการลดอุณหภูมิร่างกายได้นานกว่า การรักษาแบบผสม โดยการใช้ยาอะเซตามิโนเฟนร่วมกับยาไอบูโพรเฟนรักษาอาการไข้ในเด็ก ซึ่งเป็นการให้ยาทั้ง 2 ชนิดสลับกัน อาจมีประสิทธิภาพในการลดไข้เด็กได้ดีกว่าการใช้ยาเพียงชนิดเดียวในการรักษา อย่างไรก็ตาม ไม่แนะนำให้รักษาด้วยวิธีนี้เองที่บ้าน เนื่องจากคุณพ่อคุณแม่อาจไม่เข้าใจการใช้สูตรยาทำให้เกิดความกังวลในแง่การใช้ยาอย่างไม่ถูกต้อง […]

ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา

กำลังมองหาเรื่องราวในการเลี้ยงดูบุตรใช่หรือไม่?

เข้าร่วมชุมชนการเลี้ยงดูบุตรและแลกเปลี่ยนข้อมูลกับคุณแม่และคุณพ่อคนอื่น ๆ เข้าร่วมชุมชนได้เลย!





ad iconโฆษณา

ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของเรา

ทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของ Hello คุณหมอ ประกอบไปด้วยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มาร่วมสร้างสรรค์บทความในเว็บไซต์ของเราตามความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญของเราจะช่วยรับรองว่าข้อมูลด้านสุขภาพของเราถูกต้อง เป็นปัจจุบัน และตรงตามหลักฐานจากงานวิจัยล่าสุด
ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรามุ่งมั่นเต็มที่ในการช่วยให้คุณได้รับข้อมูลและความรู้ด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือ เข้าใจง่าย และเป็นประโยชน์ และพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพกับคุณเสมอ เพื่อให้คุณได้รับทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น

ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ชุมชน