โภชนาการเพื่อสุขภาพ

"You are what you eat" อาหารที่คุณรับประทาน มีความสำคัญอย่างมาก ต่อสุขภาพร่างกายของคุณ แต่น่าเสียดายที่ยังคงมีความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับ โภชนาการเพื่อสุขภาพ อยู่มากมาย ดังนั้น การแยกแยะข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ

เรื่องเด่นประจำหมวด

โภชนาการเพื่อสุขภาพ

สมุนไพรลดน้ำหนัก ตัวช่วยดี ๆ สำหรับคนอยากผอม

สมุนไพรลดน้ำหนัก เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยดี ๆ สำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักหรือควบคุมน้ำหนัก เพราะสารสกัดในสมุนไพรบางชนิดอาจช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญภายในร่างกาย ทำให้ร่างกายเผาผลาญไขมันที่สะสมได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่เพื่อความปลอดภัยควรศึกษาข้อมูลให้ละเอียดและปรึกษาแพทย์ก่อนบริโภคทุกครั้ง  [embed-health-tool-bmi] สมุนไพรลดน้ำหนัก ตัวช่วยดี ๆ สำหรับคนอยากผอม ขมิ้นชัน สรรพคุณ สารเคอร์คูมิน (Curcumin) ในขมิ้นชันมีสรรพคุณช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญภายในร่างกาย ทำให้ระบบการเผาผลาญภายในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สมุนไพรขมิ้นชันจึงเป็นอีกกนึ่งทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักหรือควบคุมน้ำหนัก ผลข้างเคียง หากรับประทานขมิ้นชันในปริมาณสูงติดต่อกัน อาจทำให้เกิดอาการท้องเสีย คลื่นไส้และอาเจียน  ขิง สรรพคุณ สารซิงเจอโรน ((Zingerone) ในขิงเป็นสารประกอบที่มีรสชาติเผ็ดร้อน อาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบเผาผลาญภายในร่างกาย นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยลดความอยากอาหาร ทำให้สามารถควบคุมปริมาณในแต่ละวันได้อย่างเหมาะสม ผลข้างเคียง ขิงเป็นสมุนไพรฤทธิ์ร้อน หากรับประทานในปริมาณที่มากเกินไป อาจส่งผลต่อระบบทางเดินอาหารได้  แนะนำรับประทานไม่เกินวันละ 4 กรัม และในสตรีมีครรภ์ไม่เกินวันละ 1 กรัม  ส้มแขก สรรพคุณ หลายคนมักรับประทานผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่มีสารสกัดจากส้มแขก เนื่องจากส้มแขกมีกรดมีกรดไฮดรอกซีซิตริก (Hydroxycitric Acid: HCA) ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยในการเผาผลาญไขมันภายในร่างกาย และยังมีสารเซโรโทนิน (Serotonin) ซึ่งเป็นสารเคมีในสมองที่ทำให้รู้สึกหิวน้อยลง  ผลข้างเคียง เวียนศีรษะ ปากแห้ง ปวดศีรษะ ปวดท้อง ท้องเสีย  เม็ดแมงลัก สรรพคุณ เม็ดแมงลักเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักหรือควบคุมน้ำหนัก […]

หมวดหมู่ โภชนาการเพื่อสุขภาพ เพิ่มเติม

สูตรอาหารเพื่อสุขภาพ

สำรวจ โภชนาการเพื่อสุขภาพ

เคล็ดลับโภชนาการที่ดี

รับประทานวิตามินซีมากไป อาจได้ผลร้ายมากกว่าผลลัพธ์ที่ดี

วิตามินซี เป็นวิตามินที่ได้รับการกล่าวถึงในแง่ของคุณประโยชน์และความสามารถในการบำรุงร่างกาย หลายคนได้รับวิตามินทั้งจากการรับประทานอาหาร และจากอาหารเสริมต่าง ๆ จนดูเหมือนว่าในหนึ่งวันอาจจะได้รับวิตามินซีมาเยอะเกินไปเสียด้วยซ้ำ แล้วถ้าหากร่างกายของเรามีการ รับประทานวิตามินซีมากไป จริง ๆ จะเป็นผลเสียต่อสุขภาพอย่างไรบ้าง มาหาคำตอบกันได้กับบทความนี้จาก Hello คุณหมอ วิตามินซีกับร่างกาย วิตามินซีหรือที่เรียกว่ากรดแอสคอร์บิค (Ascorbic acid) เป็นสารอาหารที่มีความจำเป็นต่อการเจริญเติบโต การพัฒนาและซ่อมแซมเนื้อเยื่อต่าง ๆ ของร่างกาย ยิ่งไปกว่านั้น วิตามินซี ยังเป็นสารอาหารที่ได้รับการจัดเอาไว้ว่าเป็นหนึ่งในสารอาหารที่มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพต่อร่างกายสูง วิตามินซีมีส่วนช่วยในการบรรเทาอาการหวัด ป้องกันโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด มีคุณสมบัติในการการสร้างคอลลาเจน กระตุ้นการดูดซึมธาตุเหล็ก ช่วยในการรักษาบาดแผล บำรุงกระดูก กระดูกอ่อน และฟัน รวมถึงยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพผิวอีกด้วย รับประทานวิตามินซีมากไป ให้ผลเสียอย่างไรบ้าง วิตามินซีเป็นสารอาหารที่ให้ประโยชน์และไม่มีโทษใด ๆ ต่อร่างกาย เพราะได้รับการจัดเอาไว้ว่าเป็นสารอาหารที่มีความปลอดภัยมากที่สุด ดังนั้นการรับประทานวิตามินซีมากเกินปริมาณที่ร่างกายควรจะได้รับในแต่ละวันนั้น จะไม่เป็นการส่งผลให้ร่างกายเกิดโรคร้ายแรงใด ๆ แต่อย่างไรก็ตาม แม้ร่างกายจะไม่มีผลกระทบของโรคร้าย แต่การได้รับปริมาณวิตามินซีที่มากจนเกินไป ก็ยังคงส่งผลเสียต่อร่างกาย ดังนี้ ผลเสียต่อระบบย่อยอาหาร เนื่องจากการมีวิตามินซีมากจนเกินไปอาจทำให้ร่างกายดูดซึมไปใช้ไม่หมดหรือไม่ถูกดูดซึม และวิตามินซีที่ไม่ถูกดูดซึมนี้นี่เองที่ทำให้ระบบทางเดินอาหารเกิดการระคายเคือง ร่างกายมีปริมาณธาตุเหล็กมากเกินไป วิตามินซีทำหน้าที่กระตุ้นการดูดซึมธาตุเหล็ก เมื่อวิตามินซีมากเกินไปก็เป็นการกระตุ้นให้ร่างกายดูดซึมเอาธาตุเหล็กมากขึ้นตามไปด้วย เสี่ยงต่อการเกิดนิ่วในไต เมื่อวิตามินซีมากเกินไป ส่วนที่เกินมาและไม่ถูกดูดซึมนั้นจะถูกขับออกมาเป็นของเสีย ซึ่งของเสียที่ว่านั้นเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดนิ่วในไต นอกจากความเสี่ยงดังกล่าวแล้ว ยังมีผลเสียอื่นที่อาจเกิดขึ้นได้ […]


เคล็ดลับโภชนาการที่ดี

5 สุดยอด ผลไม้ให้วิตามินเคสูง อยากสุขภาพดีต้องไม่พลาด

การรับประทานวิตามิน อาหารเสริม เป็นการเพิ่มสารอาหาร นอกเหนือจากการรับประทานอาหารชนิดต่าง ๆ ในแต่ละวัน เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารนั้น ๆ ในปริมาณที่มากพอจะช่วยบำรุง และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย แต่สำหรับ วิตามินเค ที่แทบจะไม่ปรากฎให้เห็นในรูปแบบอาหารเสริมเลย จะสามารถรับประทานได้จากอาหารชนิดใดบ้าง วันนี้ Hello คุณหมอ มีคำตอบมาให้แล้ว กับสุดยอด ผลไม้ให้วิตามินเคสูง ที่คุณควรรู้จัก [embed-health-tool-bmi] วิตามินเค คืออะไร วิตามินเค หรือ วิตามินK เป็นวิตามินที่มีหน้าที่และบทบาทสำคัญต่อลิ่มเลือด ป้องกันไม่ให้เลือดออกมากเกินไป หรือเลือดออกจนไหลไม่หยุด โดยจะมีความแตกต่างจากวิตามินชนิดอื่น ๆ เช่น วิตามินซี วิตามินบี ตรงที่วิตามินเคมักจะไม่ได้ถูกนำมาใช้รับประทานเป็นอาหารเสริมกันอย่างแพร่หลาย แต่อย่างไรก็ตาม ยังคงสามารถพบอาหารเสริมที่เป็นวิตามินเคได้บ้างในบางพื้นที่ เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา  วิตามินเคเป็นกลุ่มของสารประกอบที่ประกอบไปด้วย วิตามินเค 1 และวิตามินเค 2 เมื่อลองจำแนกความแตกต่างแล้วพบว่า วิตามินเค 1 ได้จากการรับประทานผักใบเขียว และผักชนิดต่าง ๆ ในขณะที่ วิตามินเค 2 ได้จากการรับประทานเนื้อสัตว์ ไข่ ชีส และการสังเคราะห์จากแบคทีเรียบางชนิด  วิตามินเค ดีอย่างไร หากร่างกายของเรามีวิตามินเคไม่เพียงพอ […]


เคล็ดลับโภชนาการที่ดี

สุขภาพดี ห่างไกลโรค ด้วยเคล็ดลับ กินอาหารตามกรุ๊ปเลือด

การ กินอาหารตามกรุ๊ปเลือด เป็นแนวคิดของ Dr. Peter J. D’Adamo ผู้ได้รับรางวัลแพทย์ธรรมชาติบำบัดยอดเยี่ยม ด้วยความเชื่อที่ว่า “เลือดแต่ละกรุ๊ปมีสารเคมีแตกต่างกัน ดังนั้น การทานอาหารจึงแตกต่างกัน” กินอาหารตามกรุ๊ปเลือด ช่วยให้สุขภาพดีจริงหรือไม่ การ กินอาหารตามกรุ๊ปเลือด ยังมีข้อโต้แย้งจากนักวิทยาศาสตร์ แพทย์และนักโภชนาการจำนวนหนึ่ง เนื่องจากยังไม่พบหลักฐานที่ชัดเจนว่า จะช่วยให้สุขภาพดีจริงหรือไม่ และบางข้อมูลก็ยังขาดหลักฐานในการพิสูจน์ ดังนั้น การเลือกรับประทานอย่างเหมาะสมโดยทานให้ครบ 5 หมู่ในปริมาณที่ไม่มากและไม่น้อยเกินไป จะเกิดประโยชน์สูงสุดและเป็นโทษต่อร่างกายน้อยที่สุด กินอาหารอาหารตามกรุ๊ปเลือด สุขภาพดี ห่างไกลโรค  เนื่องจากเลือดแต่ละกรุ๊ปมีสารเคมีต่างกัน อาจจะส่งผลให้คนแต่ละกรุ๊ปเลือดมีความสามารถในการย่อยอาหารต่างกัน ถ้าสามารถย่อยได้หมด ร่างกายก็จะนำสารอาหารไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ แต่ถ้าย่อยไม่หมด ก็จะตกค้างอยู่ในร่างกายและเน่าเสีย เมื่อถูกดูดซึมกลับไปอีกครั้งก็จะทำให้ร่างกายป่วยง่ายขึ้น ดังนั้น การกินอาหารไม่ตรงตามกรุ๊ปเลือดจะมีผลให้ป่วยง่าย และมีความเสื่อมตามเซลล์และส่วนต่างๆของร่างกายได้เร็วขึ้นนั่นเอง เมนูแนะนำสำหรับแต่ละกรุ๊ปเลือด กรุ๊ป A กินปลาอาทิตย์ละ 3-4 ครั้ง เพื่อเสริมโปรตีน หลีกเลี่ยงปลาเนื้อขาว เช่น ปลาตาเดียว หรือปลาจะละเม็ด เพราะจะรบกวนระบบย่อยอาหาร หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ต่างๆ  อาจกินได้นิดหน่อย และควรดื่มนมถั่วเหลือง นมแพะ  หรือโยเกิร์ตไขมันต่ำ แทนนมวัว และกินไข่ได้บ้างเป็นครั้งคราว กรุ๊ป B ควรทานเนื้อแกะ, […]


ข้อมูลโภชนาการ

น้ำมันงาขี้ม้อน แหล่งรวมโอเมก้า 3 และคุณประโยชน์ยกกำลังสาม

น้ำมันที่ได้รับการสกัดจากพืช และจากสัตว์นั้นมีหลายชนิด ทั้งน้ำมันงา น้ำมันสน น้ำมันหมู หรือแม้แต่น้ำมันมะกอก ซึ่งน้ำมันสกัดเหล่านี้นอกจากจะนำมาใช้ประกอบอาหาร เพิ่มรสชาติของอาหารให้อร่อย และน่ารับประทานมากขึ้นแล้ว ก็ยังให้ประโยชน์ต่อร่างกายอีกด้วย วันนี้ Hello คุณหมอ ขอพาไปทำความรู้จักกับอีกหนึ่งน้ำมันที่สกัดมาจากพืช นั่นคือ น้ำมันงาขี้ม้อน น้ำมันงาขี้ม้อน คืออะไร น้ำมันงาขี้ม้อนได้รับการสกัดมาจากเมล็ดของต้นงาขี้ม้อน ซึ่งเป็นพืชที่พบได้มากในแถบเอเชียและในทวีปอเมริกาเหนือในบางพื้นที่ ต้นงาขี้ม้อนนั้นเป็นพืชตระกูลล้มลุกหรือพืชตระกูลพุ่ม น้ำมันงาขี้ม้อนมักถูกใช้ในสูตรหรือตำรับอาหารเกาหลี บางแห่งอาจใช้เป็นน้ำมันหรือน้ำมันอบแห้ง ตามแต่ความนิยมของแต่ละบุคคลและแต่ละพื้นที่ โภชนาการสำคัญของ น้ำมันงาขี้ม้อน น้ำมันงาขี้ม้อนนั้น ให้ทั้งกรดไขมันแบบอิ่มตัว และกรดไขมันไม่อิ่มตัว ซึ่งเป็นกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย และร่างกายจำเป็นที่จะต้องได้รับสารอาหารจากกรดไขมันทั้งสองชนิดนี้ ยิ่งไปกว่านั้น น้ำมันงาขี้ม้อนยังเป็นที่ขึ้นชื่อกันว่าเป็นแหล่งที่อุดมไปด้วยโอเมก้า 3ในปริมาณที่สูงมาก จากการวิจัยค้นพบว่าโอเมก้า3ในน้ำมันงาขี้ม้อนนั้น สูงกว่าปริมาณของโอเมก้า 3 ที่ได้มาจากปลาหรือปลาทะเลน้ำลึก นอกจากนี้ยังให้สารโอเมก้า 6 และ 9 อีกด้วย ผิวสวยสดใสด้วยน้ำมันงาขี้ม้อน ต้านเชื้อแบคทีเรีย น้ำมันงาขี้ม้อนมีคุณสมบัติในการต้านเชื้อแบคทีเรีย และลดการอักเสบ เนื่องจากเป็นแหล่งของกรดไลโนเลอิก (Linoleic acid) ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการนำมาใช้แก้ปัญหาสุขภาพผิว ลดเลือนริ้วรอย หากคุณมีริ้วรอย แล้วต้องการใช้วิธีธรรมชาติในการกำจัดริ้วรอยเหล่านี้ คุณไม่ควรพลาดการบำรุงผิวด้วยน้ำมันงาขี้ม้อน เพราะมีโอเมก้า 3 และสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประโยชน์ต่อสภาพผิวหนังที่มีริ้วรอย ช่วยต้านอนุมูลอิสระ อนุมูลอิสระเป็นตัวการที่เข้ามาทำร้ายเซลล์ผิวของเราให้หม่นหมองและหมดความมั่นใจ แต่สารฟลาโวนส์ (Flavones) ที่อยู่ในน้ำมันงาขี้ม้อน มีฤทธิ์เป็นสารต้านอิสระ ช่วยป้องกันความเสียหายของเซลล์ผิวหนังที่จะเกิดจากอนุมูลอิสระได้ บำรุงผิวแห้ง ผิวแห้งนั้นนอกจากจะกวนใจแล้ว ก็ยังทำให้เราหมดความมั่นใจเวลาแต่งตัวออกไปข้างนอกด้วย […]


เคล็ดลับโภชนาการที่ดี

วิธีการทำ ชาไหมข้าวโพด ที่มาพร้อมกับประโยชน์ด้านสุขภาพ

สังเกตกันไหมว่าทำไมชาวเกาหลีถึงมีผิวพรรณที่ขาวผ่องใส ผิวเนียนนุ่มดูสุขภาพดี จนทำให้วัยรุ่นส่วนใหญ่ค้นหาความลับนี้ บางคนก็เลือกวิธีการใช้สกินแคร์ตามรีวิวที่โด่งดัง แต่จริงๆ แล้วยังมีความลับอีกอย่างที่คุณไม่ต้องเสียเงินเยอะมากมายขนาดนั้น วันนี้ Hello คุณหมอ ขอแนะนำการทำ ชาไหมข้าวโพด สุดดังที่กำลังฮิตไม่แพ้กัน มาให้ทุกคนได้ลอง ทำความรู้จักกับ ไหมข้าวโพด ก่อนจะไปเป็น ชา กัน ไหมข้าวโพด (Corn silk) คือ เส้นใยที่เกาะอยู่บนฝักข้าวโพดสีเหลืองนวลที่เรานิยมนำมาต้ม หรือนำมาประกอบอาหารเพื่อรับรับประทาน ซึ่งมีสารไฟโตสเตอรอล (Phytosterols) โปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน เกลือแร่ และไฟเบอร์ ซึ่งเป็นคุณค่าด้านโภชนาการมีประสิทธิภาพสูง ป้องกันโรคหัวใจ และควบคุมระดับคอเลสเตอรอล นอกจากนี้ยังมีกรดในตัวที่ช่วยในการปรับปรุงสภาพของสุขภาพช่องปาก บำรุงผิวหนัง ลดการติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะ ระบบทางเดินปัสสาวะอักเสบของต่อมลูกหมาก รักษานิ่วในไต ได้เป็นอย่างดีเมื่อรับประทานอย่างถูกวิธี และเหมาะสม ก่อนการดื่ม ชาไหมข้าวโพด สิ่งที่คุณควรรู้ไว้ คือ ประโยชน์ของชาไหมข้าวโพดที่ชวนให้คุณต้องอึ้ง แทบไม่น่าเชื่อว่าเส้นใยที่เรามองข้ามจะมีสารที่ทำให้สุขภาพร่างกายเราแข็งแรงจากภายในสู่ภายนอกได้เพียงนี้ ได้รับวิตามินซี และสารต้านอนุมูลอิสระ : ชาไหมข้าวโพดประกอบไปด้วยวิตามินซีจำนวนมาก ในการรักษาประสิทธิภาพแก่อวัยวะภายใน ลดความเครียดจากการเกิดออกซิเดทีฟ (Oxidative stress) ที่ถูกทำลายด้วยอนุมูลอิสระ และกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตได้ดี ให้คุณมีพลังในการทำกิจกรรมต่างๆได้ อย่างคล่องแคล่ว ลดระดับน้ำตาลในเลือด : ผู้ที่มีความดันโลหิตสูงเหมาะกับการดื่มชาไหมข้าวโพดเป็นที่สุด […]


ข้อมูลโภชนาการ

Decaf Coffee ดีต่อสุขภาพจริงหรือ

Decaf Coffee คือ กาแฟไม่มีคาเฟอีน แต่ยังมีสารประกอบอื่น ๆ เช่น โพลีฟีนอล (Polyphenols) คลอโรจีนิก (Chlorogenic Acid) และลิกแนน (Lignans) ซึ่งสารเหล่านี้อาจมีประโยชน์ต่อร่างกายเช่น ช่วยให้ร่างกายต่อสู้กับเชื้อโรคบางชนิด ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ [embed-health-tool-bmi] Decaf Coffee คืออะไร Decaf Coffee คือ กาแฟไม่มีคาเฟอีน หรือที่เรียกกันว่า กาแฟดีแคฟ (Decaffeinated Coffee) เป็นกาแฟที่มาจากเมล็ดกาแฟที่นำคาเฟอีนออกอย่างน้อย 97% ซึ่งวิธีการเอาคาเฟอีนออกจากเมล็ดกาแฟนั้นมีด้วยกันหลายวิธีแต่ที่นิยมคือ การสกัดคาเฟอีนออกโดยใช้คาร์บอนไดออกไซด์หรือตัวกรองถ่าน ซึ่งเรียกว่า กระบวนการน้ำของสวิส (Swiss Water Process) โดยเมล็ดกาแฟจะถูกสกัดเอาคาเฟอีนออกก่อนที่จะนำไปคั่วและบด คุณค่าของกาแฟไม่มีคาเฟอีนจะใกล้เคียงกับกาแฟทั่วไป ต่างกันเพียงปริมาณคาเฟอีนเท่านั้น อย่างไรก็ตาม รสชาติและกลิ่นอาจจะรุนแรงขึ้นเล็กน้อย รวมถึงสีอาจจะเปลี่ยนไปด้วย โดยปกติแล้ว Decaf Coffee มักเป็นที่ชื่นชอบของผู้ที่ไม่ค่อยชอบรสขมและไม่ชอบกลิ่นของกาแฟปกติ ข้อแตกต่างระหว่าง Decaf Coffee กับ กาแฟปกติ Decaf Coffee มีความคล้ายคลึงกับกาแฟปกติ แต่อาจจะมีคาเฟอีนอยู่น้อยหรือไม่มีเลย ในการนำคาเฟอีนออกจากเมล็ดกาแฟ […]


ข้อมูลโภชนาการ

เม็ดแมงลัก

เม็ดแมงลัก เป็นพืชสมุนไพรพื้นบ้านของคนไทยที่นิยมกินกันมาช้านานแล้ว โดยเฉพาะสาว ๆ ในปัจจุบันที่ใส่ใจดูแลรูปร่างของตัวเอง มักใช้เม็ดแมงลักเป็นตัวช่วยในการลดน้ำหนัก นอกจากนั้นยังดีต่อสุขภาพและเป็นยารักษาโรคได้อีกด้วย เม็ดแมงลักกับการรักษาโรค ป้องกันโรคหัวใจ ช่วยขับคอเลสเตอรอลไม่ดีออกจากร่างกาย เพราะเม็ดแมงลักมีเส้นไยที่ช่วยดูดซับไขมันได้ เมื่อร่างกายไม่สามารถย่อยกากไยพวกนี้ได้ ไขมันไม่ดีจึงถูกขับออกมาพร้อมกับเส้นไยของเม็ดแมงลัก ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจได้ด้วย ปรับสมดุลระบบขับถ่าย ช่วยในการขับถ่าย เนื่องด้วยเม็ดแมงลักเมื่อแช่น้ำแล้วมีลักษณะเป็นเจลาติน นิ่ม ลื่น กลืนง่าย มีไฟเบอร์สูง ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น ขับถ่ายง่าย ควบคุมการลดน้ำหนัก เม็ดแมงลักเป็นตัวช่วยที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องควบคุมน้ำหนักหรือลดน้ำหนักสามารถพองตัวได้ถึง 45 เท่า และให้พลังงานน้อยมาก แทบจะไม่มีพลังงานเลย ดังนั้นเมื่อรับประทานก่อนอาหารก็จะช่วยให้รู้สึกอิ่มท้องได้เร็วขึ้น ลดระดับคอเลสเตอรอลไม่ดีออกจากร่างกาย ในอาหารที่เราทานเข้าไปมีทั้งคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) และคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) แต่เม็ดแมงลักมีส่วนช่วยขับคอเลสเตอรอลตัวร้ายออกจากร่างกายได้ เพราะเส้นใยของแมงลักสามารถดูดซับไขมันไว้ได้ เมื่อร่างกายไม่สามารถย่อยกากใยพวกนี้ได้ ไขมันไม่ดีก็จะถูกขับออกมาพร้อมกับเส้นใยของแมงลัก แต่ไม่มีผลใด ๆ ต่อไขมันดี ดีท็อกซ์ล้างลำไส้ ช่วยดีท็อกซ์แก้ปัญหาอุจจาระตกค้าง ซึ่งเป็นสาเหตุมาจากการเคี้ยวอาหารไม่ละเอียด รับประทานอาหารที่มีกากใยน้อย มีพยาธิ ระบบย่อยอาหารผิดปกติ ระบบดูดซึมไม่ดี และขับถ่ายไม่เป็นเวลาช่วยทำความสะอาดผนังลำไส้ อุจจาระไม่เกาะลำไส้ เคล็ดลับในการกินเม็ดแมงลัก ใช้เม็ดแมงลัก 1-2 ช้อนชา ต่อน้ำ 1 แก้วใหญ่ แช่ให้เม็ดพองเต็มที่ ถ้าจะกินเพื่อลดน้ำหนัก ให้กินก่อนอาหาร แนะนำให้กินในมื้อเย็น แต่ถ้าใช้เป็นยาระบายให้กินก่อนนอน จะทำให้การขับถ่ายดีในตอนเช้า ข้อแนะนำในการกินเม็ดแมงลัก ไม่ควรกินเม็ดแมงลักในปริมาณที่มากจนเกินไป เพราะจะทำให้แน่นท้องจนรู้สึกไม่สบายตัว ในการเลือกซื้อเม็ดแมงลัก ควรเลือกบรรจุภัณฑ์ที่ปิดมิดชิด ได้รับมาตรฐาน ผ่านการตรวจรับรองว่าสะอาด ไม่มีสารเจือปน […]


เคล็ดลับโภชนาการที่ดี

สีผสมอาหารสังเคราะห์ ทานได้ แล้วมีอันตรายหรือเปล่า?

สีผสมอาหารสังเคราะห์ หรือ สีสังเคราะห์ มักใช้ถูกนำมาผสมในอาหารเพื่อเพิ่มสีสันของอาหารให้ดูสดใส สวยงาม และน่ารับประทานมากขึ้น แต่การบริโภคสีผสมอาหารเป็นจำนวนมากก็อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้เช่นกัน นอกจากนี้แล้วหากเด็กๆ รับประทานมากเกินไปก็อาจส่งผลให้เกิดโรคสมาธิสั้นได้เช่นกัน ทาง Hello คุณหมอ มีเรี่องราวเหล่านี้มากฝากกันในบทความนี้ สีผสมอาหารสังเคราะห์ คืออะไร สีผสมอาหารสังเคราะห์  (Food Dye) นั้น ถูกใช้ในการเพิ่มสีสันให้กับอาหารมานานหลายศตวรรษ แต่สีสำหรับใส่ในอาหารครั้งแรกถูกสร้างขึ้นในปีค.ศ. 1856 จากน้ำมันดิน แต่ทุกวันนี้สีผสมอาหารถูกทำมาจากปิโตเลียม ในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีการพัฒนาสีผสมอาหารหลายร้อยสี แต่ส่วนใหญ่พบว่าเป็นพิษ ดังนั้นจึงมีเพียงไม่กี่สีเท่านั้นที่ยังคงใช้ในอาหารได้ แต่ผู้ผลิตอาหารส่วนใหญ่มักชอบใช้สีผสมอาหารมากกว่าสีอาหารจากธรรมชาติ เนื่องจากให้สีที่สดใสกว่านั่นเอง สำหรับ สีผสมอาหารสังเคราะห์ ที่ได้รับการอนุมัติให้ใช้งานได้จาก องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (Food and Drug Administration หรือ FDA) และ หน่วยงานความปลอดภัยด้านอาหารแห่งสหภาพยุโรป (European Food Safety Authority หรือ EFSA) มีด้วยกัน 5 สี ดังนี้ สีแดง หมายเลข 3 อีริโทรซีน (Erythrosine) : สีแดงเชอร์รี่ ใช้กันทั่วไปในลูกอม […]


เคล็ดลับโภชนาการที่ดี

บอแรกซ์ ในลูกชิ้น กินบ่อยๆ ระวังเสี่ยงตายไว

“ลูกชิ้น” เมนูอาหารทานเล่นที่หลาย ๆ คนชื่นชอบ ซึ่งสามารถหาซื้อง่ายและนำไปปรุงอาหารได้หลายเมนู เช่น ลูกชิ้นปิ้ง ลูกชิ้นทอด หรือลูกชิ้นนึ่ง เป็นต้น แต่ในปัจจุบันส่วนใหญ่อาหารที่เรารับประทานกันนั้น อาจจะมีส่วนประกอบของสารเคมีอันตรายอย่างเช่น สารบอแรกซ์ รวมอยู่ด้วย เพื่อให้ลูกชิ้นมีความกรอบ เนื้อเด้งอร่อย ทั้งที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพไม่น้อยเลยทีเดียว วันนี้ Hello คุณหมอ จะพาไปทำความรู้จักกับ บอแรกซ์ ให้มากขึ้น พร้อมกับวิธีเลือกซื้อลูกชิ้นที่ปลอดภัยกันค่ะ บอแรกซ์ คืออะไร บอแรกซ์ (Borax) เป็นสารอนินทรีย์สังเคราะห์ชนิดหนึ่ง มีชื่อทางเคมีว่า โซเดียมบอเรต (Sodium Borate)  ซึ่งผู้คนจะรู้จักกันดีในชื่อว่า ผงกรอบ หรืออาจเรียกอีกชื่อว่า น้ำประสานทอง และในภาษาจีนที่เรียกกันว่า “เม่งแซ” โดยจะมีลักษณะเป็นผงคล้ายแป้งมีสีขาวขุ่น หรืออาจจะมีลักษณะเป็นเม็ดกลมขนาดเล็กกว่าเม็ดสาคู มีรสชาติหวานเล็กน้อยและสามารถละลายน้ำได้ดี อาการของผู้ที่บริโภคอาหารปนเปื้อนบอแรกซ์ เมื่อเรารับประทานลูกชิ้นหรืออาหารต่างๆ ที่มีการปนเปื้อนสารบอแรกซ์ หากรับประทานมากๆ จนอยู่ในระดับอันตราย จะแบ่งออกได้เป็น 2 กรณีดังต่อไปนี้ กรณีอาการเฉียบพลัน ผู้ที่ได้รับสารบอแรกซ์จะมีอาการปวดศีรษะ อ่อนเพลีย หงุดหงิด ผิวหนังอักเสบและอาจมีผื่นแดง นอนไม่หลับ ผมร่วงมากผิดปกติ คลื่นไส้ อาเจียน รู้สึกเจ็บในช่องท้อง อาจมีอาการท้องร่วงหรืออุจจาระเป็นเลือดในบางครั้ง กรณีอาการเรื้อรัง ผู้ที่ได้รับสารบอแรกซ์จะมีอาการหน้าบวม […]


เคล็ดลับโภชนาการที่ดี

อดอาหารนาน ทำให้ ร่างกายขาดสารอาหาร แก้ไขได้อย่างไร?

หลายๆ คนคงเคยอดอาหารทั้งวันเพื่อให้ได้ กินมื้อหนักๆ ที่คุ้มจุใจอย่าง บุฟเฟ่ต์ชาบู ปิ้งย่าง แต่พอทานไปทานมากลับอิ่มไวสะงั้น ไม่คุ้มกับเสียเงินไปเลยใช่ไหม? และยังส่งผลเสียให้กับร่างกายอีกด้วยนะ เพราะอาจทำให้ ร่างกายขาดสารอาหาร ได้ มาดูแลสุขภาพให้ห่างจากภาวะนี้ กับ Hello คุณหมอ กันเถอะ ร่างกายขาดสารอาหาร (Refeeding syndrome) คือ .. ร่างกายขาดสารอาหาร (Refeeding syndrome) เป็นกลุ่มอาการที่เกิดขึ้นเมื่อผู้ที่มีภาวะขาดสารอาหาร หรืออดอาหารเป็นเวลานาน หากกลับมารับประทานอาหารอีกครั้ง จะทำให้ทานได้น้อยลงกว่าเดิม หรืออิ่มง่ายขึ้น เนื่องจากร่างกายขาดน้ำตาลกลูโคสที่เป็นตัวช่วยในการเพิ่มพลังไปเลี้ยงส่วนต่างๆ จนทำให้ต้องดึงแร่ธาตุอื่นๆ ที่อยู่ในร่างกายไปทดแทนเสียก่อน อีกสาเหตุหนึ่ง คือ ถ้าหากร่างกายได้รับคาร์โบไฮเดรตในปริมาณมาก หรือคุณรับประทานเกินควร สามารถส่งผลต่อการทำลายสมดุลของอิเล็กโทรไลต์ (Electrolyte) ได้เช่นกัน ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญที่ทำให้สารอาหารที่มีประโยชน์เข้าสู่เซลล์ และแปรเปลี่ยนเป็นกลูโคสเพื่อไปกระจายพลังงาน ให้คุณสามารถมีแรงในการทำกิจวัตรประจำวันต่างๆ อย่างไม่ติดขัด อาการแทรกซ้อนจากการอดอาหารเป็นเวลนาน เกิดความเมื่อยล้า อ่อนเพลีย ปวดเมื่อย สับสนทางอารมณ์ หายใจติดขัด สภาวะหัวใจล้มเหลว ความดันโลหิตสูง คลื่นไส้ อาเจียน ชัก ระบบประสาท และกล้ามเนื้อผิดปกติ ระดับโซเดียมผิดปกติ อาการดังกล่าว มักจะปรากฏขึ้นหลังจากคุณอดอาหารภายใน 3-4 วัน บางคนอาจไม่มีแนวโน้มที่จะมีอาการรุนแรง แต่สำหรับบางคนมักเกิดความเสี่ยงที่ส่งผลต่อสุขภาพร่างกาย ดังนั้นการเรียนรู้วิธีที่จะรักษาจึงมีความสำคัญ รักษาสุขภาพให้ปลอดภัยจาก ร่างกายขาดสารอาหาร ผู้ที่มีภาวะขาดสารอาหารควรรับการรักษาโดยแพทย์ ไม่ควรเพิ่มความเสี่ยงซื้อยารับประทานด้วยตัวเอง โดยวิธีการรักษาทางการแพทย์จะปรับระดับอิเล็กโทรไลต์ […]

ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา

ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของเรา

ทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของ Hello คุณหมอ ประกอบไปด้วยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มาร่วมสร้างสรรค์บทความในเว็บไซต์ของเราตามความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญของเราจะช่วยรับรองว่าข้อมูลด้านสุขภาพของเราถูกต้อง เป็นปัจจุบัน และตรงตามหลักฐานจากงานวิจัยล่าสุด
ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรามุ่งมั่นเต็มที่ในการช่วยให้คุณได้รับข้อมูลและความรู้ด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือ เข้าใจง่าย และเป็นประโยชน์ และพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพกับคุณเสมอ เพื่อให้คุณได้รับทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น

ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ชุมชน