พ่อแม่เลี้ยงลูก

ในทุกช่วงชีวิตของลูกน้อย เหล่าคุณพ่อคุณแม่จำเป็นที่จะต้องรู้วิธีดูแลและสนับสนุนสุขภาพโดยรวมของลูกน้อย เพื่อให้ความเป็นอยู่ของลูกน้อยดีขึ้น เพราะฉะนั้นใน พ่อแม่เลี้ยงลูก คุณจะได้พบกับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ รวมถึงเคล็ดลับในการดูแลลูกให้แข็งแรง มีความสุข และสามารถปรับตัวได้ในทุกสถานการณ์

เรื่องเด่นประจำหมวด

พ่อแม่เลี้ยงลูก

โปลิโอ เป็นแล้วรักษาไม่หาย แต่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน

โปลิโอ หรือที่รู้จักกันในชื่อ ไข้ไขสันหลังอักเสบ เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากไวรัสโปลิโอ (Poliovirus) ซึ่งเคยส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพของมนุษย์ในอดีต โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กเล็ก แม้ว่าในปัจจุบันโรคนี้จะลดลงอย่างมากเนื่องจากการพัฒนาวัคซีน แต่ความตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคและการป้องกันยังคงมีความสำคัญ [embed-health-tool-vaccination-tool] โปลิโอ คืออะไร โรคโปลิโอเกิดจากเชื้อไวรัสในตระกูล Picornavirus โดยไวรัสนี้แบ่งเป็น 3 สายพันธุ์หลัก ได้แก่ PV1, PV2 และ PV3 ซึ่งไวรัสสามารถเข้าสู่ร่างกายผ่านการบริโภคน้ำหรืออาหารที่ปนเปื้อน รวมถึงการสัมผัสกับผู้ติดเชื้อโดยตรง เมื่อไวรัสเข้าสู่ร่างกาย มันจะแพร่กระจายในลำไส้และระบบประสาทส่วนกลาง ทำลายเซลล์ประสาทที่ควบคุมการเคลื่อนไหว ส่งผลให้เกิดภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรงหรืออัมพาต การแพร่กระจายของโรค โรคโปลิโอแพร่กระจายได้ง่ายในพื้นที่ที่มีการสุขาภิบาลไม่ดี โดยเชื้อไวรัสจะถูกขับออกจากร่างกายผู้ติดเชื้อผ่านทางอุจจาระ แล้วปนเปื้อนในน้ำหรืออาหาร นอกจากนี้ การสัมผัสใกล้ชิด เช่น การสัมผัสมือหรือของใช้ส่วนตัวที่มีเชื้อไวรัสอยู่ ก็เป็นอีกเส้นทางที่โรคสามารถแพร่กระจายได้ กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงคือเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี และผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนครบถ้วน อาการของโรคโปลิโอ โรคโปลิโอมีลักษณะอาการหลากหลาย ตั้งแต่ไม่มีอาการไปจนถึงอัมพาตรุนแรง ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ (70-90%) ไม่มีอาการ แต่สามารถแพร่เชื้อได้ อาการเบื้องต้น รวมถึงไข้ต่ำ อ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อ และคลื่นไส้ อาการรุนแรง ได้แก่ อัมพาตของแขนขา หรือในบางกรณีเชื้อไวรัสอาจทำลายระบบประสาทที่ควบคุมการหายใจ ส่งผลให้เสียชีวิต สำหรับบางคนที่เคยติดเชื้อ อาจเกิดภาวะ กลุ่มอาการหลังโปลิโอ (Post-Polio Syndrome) ในระยะเวลาหลายปีหลังจากการติดเชื้อ ซึ่งทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงและปวดกล้ามเนื้อ การป้องกันด้วยวัคซีน ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาโรคโปลิโอเฉพาะเจาะจง การป้องกันที่ดีที่สุดคือการรับวัคซีน […]

หมวดหมู่ พ่อแม่เลี้ยงลูก เพิ่มเติม

สำรวจ พ่อแม่เลี้ยงลูก

เด็กทารก

ผ้าอ้อมเด็กแรกเกิด เลือกแบบไหนดี และวิธีป้องกันผื่นผ้าอ้อม

ผ้าอ้อม เด็ก แรก เกิด สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่ ผ้าอ้อมแบบผ้า และผ้าอ้อมสำเร็จรูป หลายบ้านมักเลือกใช้ผ้าอ้อมเด็กแรกเกิดทั้ง 2 ประเภทสลับกันไปตามความสะดวก เช่น ใส่ผ้าอ้อมแบบผ้าในตอนกลางวันแล้วใส่ผ้าอ้อมสำเร็จรูปในตอนกลางคืน ทั้งนี้ คุณพ่อคุณแม่ควรศึกษาวิธีเปลี่ยนผ้าอ้อมที่ถูกต้อง เพราะอาจช่วยป้องกันการเกิดผื่นผ้าอ้อมได้ [embed-health-tool-baby-poop-tool] ผ้าอ้อม เด็ก แรก เกิด ควรเลือกอย่างไร การเลือกใช้ผ้าอ้อมเด็กแรกเกิดอาจพิจารณาจากข้อดีและข้อเสียของผ้าอ้อมแต่ละประเภท ดังนี้ ผ้าอ้อมเด็กแรกเกิดแบบผ้า (Cloth diaper) ผ้าอ้อมเด็กแรกเกิดแบบผ้า เช่น ผ้าอ้อมผ้าสาลู ผ้าอ้อมหนังไก่ (ทำจากผ้าสำลีกับผ้าสาลู) สามารถระบายอากาศได้ดีและไม่ทำให้ผิวระคายเคือง ทั้งยังเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย เนื่องจากผ้าอ้อมเด็กแรกเกิดแบบผ้าสามารถซักให้สะอาดและนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ข้อดี อ่อนโยนต่อผิวเด็กที่บอบบาง ระบายอากาศได้ดี ลดการเกิดผื่นผ้าอ้อม มีชนิดของเนื้อผ้าให้เลือกเยอะ ประหยัดค่าใช้จ่ายมากกว่าแบบใช้แล้วทิ้ง สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้อีก ข้อเสีย ซึมเปื้อนได้ง่าย อาจต้องใช้กางเกงหรือแผ่นรองซับ ต้องซักผ้าอ้อมเป็นประจำทุกวัน ไม่สะดวกเมื่อต้องเดินทาง ผ้าอ้อมเด็กแรกเกิดแบบสำเร็จรูป (Disposable diaper) หรือผ้าอ้อมเด็กแบบใช้แล้วทิ้ง เป็นผ้าอ้อมเด็กที่มีคุณสมบัติดูดซับของเสียได้ดี มีทั้งแบบเทปกาวและแบบกางเกง สำหรับเด็กแรกเกิด คุณพ่อคุณแม่อาจเลือกใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูปแบบเทปกาวที่มีราคาถูกกว่าเนื่องจากเด็กในวัยนี้จะขับถ่ายบ่อย โดยเฉพาะหลังกินนมทุกครั้ง ทำให้อาจต้องเปลี่ยนผ้าอ้อมประมาณ 10 ครั้ง/วัน […]


เด็กทารก

ทารก 2 เดือน และการเสริมพัฒนาการอย่างสร้างสรรค์

ทารก 2 เดือน เป็นวัยที่เริ่มแสดงลักษณะนิสัยให้คุณพ่อคุณแม่เห็นมากขึ้น คุณแม่จะเริ่มสังเกตได้ว่าลูกชอบหรือไม่ชอบอะไร จะนอนหลับ ขับถ่าย หรือรู้สึกหิวช่วงไหน โดยทั่วไป ทารกวัยนี้จะเริ่มตื่นในตอนกลางวันมากขึ้น เปิดโอกาสให้คุณพ่อคุณแม่ได้สื่อสารกับทารกมากขึ้น อีกทั้งทารก 2 เดือนยังสามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายได้ราบรื่นขึ้น เริ่มแสดงกิริยาเพื่อสื่อสารกับคนรอบข้าง คุณพ่อคุณแม่อาจช่วยเสริมพัฒนาการของทารก 2 เดือนได้ด้วยการใช้เวลาพูดคุย เปิดเพลงกล่อมเบา ๆ เล่านิทานให้ฟังก่อนนอน เป็นต้น [embed-health-tool-child-growth-chart] ทารก 2 เดือน และพัฒนาการที่ควรรู้ พัฒนาการทั่วไปของทารก 2 เดือน อาจมีดังต่อไปนี้ พัฒนาการด้านอารมณ์และสังคม มีท่าทางสงบลงเมื่อถูกอุ้มและมีคนพูดคุยด้วย ยิ้มแย้มเมื่อมีคนพูดคุยด้วยหรือยิ้มให้ แสดงอาการดีใจเมื่อมีคนเดินเข้าไปหา ชอบมองใบหน้าของคุณพ่อคุณแม่ พัฒนาการด้านภาษาและการสื่อสาร ตื่นตัวเมื่อได้ยินเสียงและหันไปหาต้นเสียง ส่งเสียงอ้อแอ้ แทนที่จะร้องไห้เพียงอย่างเดียว แสดงออกทางสีหน้าและท่าทางเพื่อพยายามบอกความต้องการของตัวเอง พัฒนาการด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว ยกศีรษะเมื่ออยู่ในท่านอนคว่ำ ขยับแขนขาทั้งสองข้างไปมาได้อย่างราบรื่น คลายมือออกได้ เอื้อมมือไปจับใบหน้าของคนที่เอาหน้ามาใกล้ ๆ แกว่งมือไปทางวัตถุ พัฒนาการด้านสติปัญญา เริ่มมองตามคนและวัตถุ เริ่มงอแงหรือหงุดหงิดเมื่อรู้สึกเบื่อหน่าย ให้ความสนใจกับใบหน้าที่เห็น สัญญาณความผิดปกติใน ทารก 2 เดือน ตามปกติแล้ว พัฒนาการของทารกแต่ละคนจะแตกต่างกันไป และอาจพัฒนาได้ช้าเร็วไม่เท่ากันแม้จะอยู่ในวัยเดียวกัน อย่างไรก็ตาม หากทารก 2 เดือน มีความผิดปกติต่อไปนี้ […]


พ่อแม่เลี้ยงลูก

ครีมกันแดดเด็ก แบบไหนกันแดดได้ดี และปลอดภัยต่อลูกน้อย

การใช้ครีมกันแดดเป็นประจำทุกวันเพื่อปกป้องผิวจากรังสียูวี เป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับคนทุกวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็ก ๆ ที่มีผิวบอบบาง เมื่อเด็กอายุเกิน 6 เดือน คุณพ่อคุณแม่ควรทา ครีมกันแดดเด็ก ซึ่งมีส่วนประกอบที่อ่อนโยนต่อผิวเด็ก และควรสอนให้เด็ก ๆ ทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน และทาซ้ำทุก ๆ 2 ชั่วโมง เพื่อให้ครีมกันแดดสามารถช่วยปกป้องผิวได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ [embed-health-tool-child-growth-chart] ครีมกันแดดเด็ก ควรเลือกแบบไหน การสัมผัสแสงแดดโดยตรง อาจทำให้ผิวหนังได้รับรังสีอัลตราไวโอเลต หรือรังสียูวี (Ultraviolet หรือ UV) ซึ่งประกอบไปด้วยรังสียูวีเอ (UVA) ที่มีส่วนสร้างความเสียหายให้กับผิว อาจทำให้ผิวเกิดริ้วรอย จุดด่างดำ และความหมองคล้ำ และรังสียูวีบี (UVB) ที่ทำให้ผิวชั้นนอกไหม้แดด กระตุ้นการสร้างเมลานินใหม่เป็นสีน้ำตาล ทำให้ผิวดูหมองคล้ำ ทั้งยังทำลายดีเอ็นเอใต้ผิวหนัง ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งผิวหนัง สำหรับการป้องกันผิวของลูกน้อยจากแสงแดดอย่างมีประสิทธิภาพ คุณพ่อคุณแม่ควรเลือก ครีมกันแดดเด็ก ที่มีซิงค์ออกไซด์ (Zinc oxide) หรือ ไททาเนียมไดออกไซด์ (Titanium dioxide หรือ TiO2) เป็นส่วนประกอบ เนื่องจากมีความสามารถในการเป็นเกราะป้องกันแสงแดดและสะท้อนแสงแดด ทั้งยังเป็นสารที่อ่อนโยนต่อผิวและไม่ทำให้ผิวเด็กที่บอบบางระคายเคือง นอกจากนี้ ควรเลือกครีมกันแดดเด็กที่มีค่าเอสพีเอฟ (SPF) […]


โรคเด็กและอาการทั่วไป

โนโรไวรัส สาเหตุอาการท้องเสียที่ระบาดในเด็ก

โนโรไวรัส (Norovirus) เป็นเชื้อไวรัสก่อโรคในระบบทางเดินอาหารที่พบได้บ่อยในเด็ก เชื้อไวรัสชนิดนี้สามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วผ่านการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ เช่น น้ำลาย น้ำมูก อาเจียน อุจจาระ การสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ การรับประทานอาหารที่ปนเปื้อน ยิ่งหากเด็กอยู่ในพื้นที่ปิดและมีผู้คนพลุกพล่านอย่างโรงเรียน เนอสเซอรี สถานรับเลี้ยงเด็ก ก็ยิ่งเสี่ยงรับเชื้อได้ง่าย การรักษาโรคติดเชื้อโนโรไวรัสทำได้ด้วยการดูแลให้ผู้ติดเชื้อพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำให้มาก ๆ และหลีกเลี่ยงการออกไปที่สาธารณะเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไปยังบุคคลอื่น โดยทั่วไป หากดูแลถูกวิธี อาการจะดีขึ้นภายในไม่กี่วัน ในปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนที่ใช้ป้องกันการติดเชื้อโนโรไวรัส คุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกอยู่ในวัยเด็กเล็กหรือวัยเรียนจึงควรรักษาความสะอาดบริเวณพื้นที่อยู่อาศัยเป็นประจำ และฝึกให้ลูกดูแลสุขอนามัยของตัวเองให้ดี เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อโนโรไวรัส [embed-health-tool-vaccination-tool] โนโรไวรัส คืออะไร โนโรไวรัส เป็นชื่อกลุ่มไวรัสที่ทำให้เกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร ทำให้กระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบ ไวรัสชนิดนี้พบได้บ่อยและติดต่อได้ง่ายมาก มักระบาดในหมู่เด็กเล็กและเด็กวัยเรียนที่รวมตัวกันในสถานที่เดียวกันหรือรับประทานอาหารที่จัดเตรียมไว้ให้กับคนจำนวนมาก เช่น เนอสเซอรี่ สถานรับเลี้ยงเด็ก โรงเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารประเภทหอยดิบหรือหอยที่สุกไม่ทั่วถึง ผักและผลไม้ที่ยังไม่ปรุงสุกหรือล้างไม่สะอาด นอกจากนี้ โนโรไวรัสยังสามารถแพร่กระจายผ่านวิธีต่อไปนี้ได้ด้วย การสัมผัสกับน้ำลาย อาเจียน หรืออุจจาระของผู้ติดเชื้อ การรับละอองอาเจียนของผู้ติดเชื้อเข้าสู่ร่างกาย การสัมผัสกับมือที่ไม่ได้ล้างของผู้ติดเชื้อ การสัมผัสกับวัตถุที่ผู้ติดเชื้อสัมผัสมาก่อน การรับประทานอาหารและน้ำดื่มร่วมกับผู้ติดเชื้อ อาการของการติดเชื้อ โนโรไวรัส การติดเชื้อโนโรไวรัสอาจทำให้มีอาการต่อไปนี้ อาเจียน คลื่นไส้ ท้องเสีย ปวดท้องคล้ายปวดประจำเดือน มีไข้ต่ำ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ โดยทั่วไป ผู้ติดเชื้อโนโรไวรัสจะแสดงอาการภายใน 1-2 วันหลังรับเชื้อ […]


พ่อแม่เลี้ยงลูก

ห้องนอนเด็ก และการสร้างบรรยากาศการนอนที่ดีให้กับลูกน้อย

เด็ก ๆ มักใช้เวลาอยู่ในห้องนอนมากที่สุด โดยเฉพาะในเวลากลางคืน คุณพ่อคุณแม่จึงควรจัดเตรียม ห้องนอนเด็ก ให้เหมาะสมสำหรับเป็นพื้นที่พักผ่อนและมีความปลอดภัยในการอยู่อาศัย เช่น เลือกเปลหรือเตียงที่เหมาะกับวัยของเด็ก หลีกเลี่ยงการใช้เฟอร์นิเจอร์ที่มีเหลี่ยมมุมแหลมคม ยึดตู้เสื้อผ้าเข้ากับผนังห้อง จัดไฟให้เหมาะสม ทั้งยังควรจัดตารางการนอนและกำหนดกิจวัตรก่อนนอนให้กับเด็ก เพื่อให้เด็กรู้สึกผ่อนคลายและสามารถนอนหลับพักผ่อนได้อย่างเต็มที่ [embed-health-tool-child-growth-chart] เด็ก ๆ ควรนอนวันละกี่ชั่วโมง การนอนหลับให้เพียงพอเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้เด็ก ๆ เจริญเติบโตและมีพัฒนาการที่สมบูรณ์สมวัย โดยเฉพาะการนอนหลับพักผ่อนในตอนกลางคืนซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ต่อมใต้สมองหลั่งโกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) หรือฮอร์โมนแห่งการเจริญเติบโตที่ทำหน้าที่เสริมสร้างการเจริญเติบโตของกระดูกและอวัยวะต่าง ๆ และช่วยให้เด็กสูงตามวัยที่เหมาะสม มูลนิธิการนอนหลับแห่งชาติ (National Sleep Foundation) ของประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ระบุเวลาที่เหมาะสมในการนอนของเด็กแต่ละช่วงวัยไว้ ดังนี้ เด็กอายุ 3-5 ปี ควรนอนหลับอย่างน้อย 11-13 ชั่วโมง/วัน เด็กอายุ 5-9 ปี ควรนอนหลับอย่างน้อย 10-11 ชั่วโมง/วัน เด็กอายุ 10-14 ปี ควรนอนหลับอย่างน้อย 9 ชั่วโมง - 9 ชั่วโมง 45 นาที/วัน เด็กอายุ 15-17 […]


พ่อแม่เลี้ยงลูก

ลูก ไม่อยากไปโรงเรียน เกิดจากอะไร คุณพ่อคุณแม่ควรทำอย่างไร

ลูก ไม่อยากไปโรงเรียน บางครั้งอาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น การกลั่นแกล้ง ความรุนแรง ความพิการ ฐานะครอบครัว ปัญหาสุขภาพ ซึ่งวิธีการพูดคุยกับลูกและค้นหาสาเหตุของปัญหา อาจเป็นวิธีที่จะช่วยให้ลูกอยากไปโรงเรียนมากขึ้น [embed-health-tool-vaccination-tool] สัญญาณที่บ่งบอกว่าลูก ไม่อยากไปโรงเรียน หากลูกมีความรู้สึกไม่อยากไปโรงเรียนอาจแสดงอาการบางอย่าง เพื่อเป็นการต่อต้านการไปโรงเรียน ดังนี้ ร้องไห้ แสดงอารมณ์ฉุนเฉียว ตะโกนหรือกรีดร้อง ซ่อนหรือขังตัวเองไว้ในห้องคนเดียว ลูกปฏิเสธที่จะลุกจากเตียง ออกจากห้อง หรือแต่งตัวไปโรงเรียน ขอร้องหรืออ้อนวอนว่าไม่อยากไปโรงเรียน ลูกอาจโกหกว่าปวดเมื่อยหรือป่วยก่อนไปโรงเรียน ลูกแสดงความกลัวและความวิตกกังวลอย่างมากเมื่อต้องไปโรงเรียน ลูกเริ่มมีปัญหาในการนอนหลับ ลูกอาจขู่จะทำร้ายตัวเอง ลูกร้องไห้ในโรงเรียน สาเหตุที่ลูก ไม่อยากไปโรงเรียน สาเหตุที่ทำให้ลูกไม่อยากไปโรงเรียนที่พบได้บ่อย อาจมีดังนี้ การกลั่นแกล้งและความรุนแรงในโรงเรียน เป็นสิ่งรุนแรงที่สามารถกระทบจิตใจเด็ก ทำให้เด็กรู้สึกหวาดกลัวที่จะไปโรงเรียน รู้สึกว่าโรงเรียนไม่ใช่สถานที่ที่ปลอดภัยอีกต่อไป ฐานะทางครอบครัว เด็กบางคนที่มีฐานะทางครอบครัวไม่ดี อาจไม่ได้รับการสนับสนุนเรื่องอุปกรณ์การเรียน เสื้อผ้า หรือสิ่งอื่น ๆ ซึ่งอาจทำให้เด็กรู้สึกแตกต่างจากเพื่อนในโรงเรียน รวมทั้งอาจถูกกลั่นแกล้งและล้อเลียนถึงฐานะทางบ้านด้วย ความพิการ ความพิการไม่ใช่ปัญหาในการเรียนหนังสือหรือการใช้ชีวิต แต่บางครั้งอาจทำให้เด็กถูกล้อเลียนหรือถูกกลั่นแกล้งจากเพื่อนภายในโรงเรียนจนส่งผลกระทบต่อจิตใจจนทำให้ไม่อยากไปโรงเรียน ปัญหากับครู เด็กบางคนอาจมีปัญหากับครูในบางเรื่อง เช่น การลงโทษที่รุนแรง ความก้าวร้าว ผลการเรียน  หากวันไหนมีวิชาที่ต้องเรียนกับครูคนนี้เด็กอาจไม่อยากไปโรงเรียนได้ ผลการเรียนไม่ดี เด็กทุกคนมีความสามารถที่ไม่เท่ากัน ดังนั้น เด็กบางคนจึงอาจมีผลการเรียนในบางวิชาที่อ่อนกว่าเพื่อนคนอื่น […]


พ่อแม่เลี้ยงลูก

วิธีกระตุ้นให้ลูกพูด มีอะไรบ้าง และการกระตุ้นให้ลูกพูดสำคัญอย่างไร

ลูกเริ่มเรียนรู้และพัฒนาทักษะทางภาษากับการพูดตั้งแต่แรกเกิด ซึ่งจะเริ่มเรียนรู้และเลียนแบบจากคุณพ่อคุณแม่และคนรอบข้าง โดย วิธีกระตุ้นให้ลูกพูด อาจทำได้หลายวิธี แต่ควรเป็นวิธีที่เหมาะสมในแต่ละช่วงอายุด้วย [embed-health-tool-due-date] ความสำคัญในการส่งเสริมพัฒนาการพูดของลูก ทารกเริ่มเรียนรู้ทักษะด้านการฟังและการพูดตั้งแต่แรกเกิด โดยจะเริ่มเรียนรู้จากการฟังเสียงคุณพ่อคุณแม่และคนรอบข้าง ทำความเข้าใจกับภาษา จากนั้นจะเริ่มสื่อสารด้วยการเปล่งเสียงแต่ไม่ใช้คำพูด ซึ่งการฝึกทักษะด้านภาษาและกระตุ้นให้ลูกพูดจึงมีความสำคัญอย่างมากในการดำเนินชีวิตของลูกในอนาคต ดังนี้ ช่วยให้ลูกสามารถเข้าเรียนและทำกิจกรรมในโรงเรียนได้เป็นอย่างดี เพราะเด็กที่มีทักษะการพูดและการใช้ภาษาที่ดีจะสามารถทำความเข้าใจกับความรู้ในห้องเรียนได้ดี และยังสามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับเด็ก เพราะเมื่อลูกพูดได้คล่องจะช่วยให้ลูกสามารถสื่อสารกับเพื่อนหรือคนรอบข้างได้อย่างมั่นใจ ช่วยให้เด็กสามารถสื่อสารความต้องการได้ดี เมื่อลูกมีความต้องการ หรือต้องการปฏิเสธบางอย่าง การพูดเป็นสิ่งที่จะสามารถสื่อสารได้ตรงประเด็นมากที่สุด ช่วยให้เด็กผูกมิตรกับคนรอบข้างได้ การพูดเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการผูกมิตรกับเพื่อนและคนรอบข้าง ช่วยให้เด็กเข้าใจโลกรอบตัว เพราะเมื่อลูกมีความเข้าใจในทักษะทางภาษาและการพูดมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งช่วยให้ลูกพัฒนาความรู้รอบตัวได้มากเท่านั้น วิธีกระตุ้นให้ลูกพูด วิธีกระตุ้นให้ลูกพูดอาจแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะ ดังนี้ การเป็นตัวอย่างที่ดี ลูกสามารถเรียนรู้ทักษะทางภาษาและการพูดได้ดีที่สุดจากการสังเกตและเลียนแบบพฤติกรรมของผู้ใหญ่ ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่และคนรอบข้างจึงควรเป็นแบบอย่างที่ดีในการพูด เช่น พูดเป็นคำหรือประโยคอย่างช้า ๆ ชัดเจน และใจเย็น ใช้ภาษาที่เหมาะสมกับวัยของลูก พูดพร้อมกับสบตาลูกทุกครั้ง พูดประโยคเดิมซ้ำ ๆ บ่อย ๆ จะช่วยย้ำเตือนให้ลูกจำได้เร็วขึ้น พูดประโยคเดิมซ้ำ ๆ หากลูกพูดผิดก็พูดแก้ไขคำเดิมเรื่อย ๆ จากนั้นให้ขยายไปเป็นคำอื่น ๆ มากขึ้น พูดอธิบายและแสดงความคิดเห็นในที่สิ่งที่ตัวเองหรือลูกกำลังทำ ตั้งใจฟังเมื่อลูกพูด และอดทนเมื่อลูกพูดช้าหรือพูดผิด […]


วัยรุ่น

สิ่งที่ พ่อ แม่ไม่ควร ทํา กับลูกวัยรุ่น มีอะไรบ้าง

วัยรุ่น เป็นวัยที่ร่างกายและจิตใจเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมาก ทำให้มีอารมณ์แปรปรวนและหงุดหงิดง่าย นอกจากนั้น ยังอาจเริ่มมีสังคมใหม่ เพื่อนใหม่ รวมทั้งกิจกรรมใหม่ ๆ ที่พ่อแม่อาจไม่คุ้นเคยและเริ่มตั้งคำถามหรือต้องการที่จะควบคุมพฤติกรรมของลูก จนอาจทำให้เกิดความขัดแย้งได้ง่าย ทั้งนี้ พ่อแม่ควรทำความเข้าใจว่า สิ่งที่ พ่อ แม่ไม่ควร ทำกับ ลูกวัยรุ่น มีอะไรบ้าง [embed-health-tool-ovulation] พฤติกรรมของวัยรุ่น วัยรุ่นเป็นช่วงวัยที่ต้องการความเข้าใจและความรักเช่นเดียวกับวัยอื่น ๆ เพียงแต่พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ระดับฮอร์โมน อารมณ์ต่าง ๆ จนเกิดเป็นความหงุดหงิด ไม่สบายตัว นอกจากนี้ ความต้องการในชีวิตเองก็เริ่มเปลี่ยนไปเช่นเดียวกัน ต้องการอยู่กับเพื่อน มีความเป็นส่วนตัว ไม่ต้องการการควบคุม อยากรู้อยากเห็น เริ่มทดลองสิ่งต่าง ๆ และอาจเริ่มทำตัวท้าทายพ่อแม่ เริ่มมีความลับ อย่างไรก็ตาม แม้ลูกวัยรุ่นจะแสดงออกว่าพวกเขาไม่ต้องการพ่อแม่ แต่ในความเป็นจริงแล้ว พวกเขายังต้องการกำลังใจ ความรัก ความเอาใจใส่ และความเข้าใจจากพ่อแม่ ดังนั้น พ่อแม่ อาจจะต้องปรับตัวเช่นเดียวกัน และแสดงออกอย่างพอดีให้ลูกวัยรุ่นทราบว่า รักและเป็นห่วง แต่ให้อิสระในการตัดสินใจ หากลูกมีปัญหาก็พร้อมจะอยู่เคียงข้าง นอกจากนั้น พ่อแม่ควรทราบว่า สิ่งที่ พ่อ แม่ไม่ควร ทํา กับลูกวัยรุ่น […]


วัยรุ่น

พัฒนาการของวัยรุ่น ด้านต่าง ๆ มีอะไรบ้างที่พ่อแม่ควรใส่ใจ

พัฒนาการของวัยรุ่น จะเริ่มขึ้นเมื่ออายุประมาณ 10-14 ปีสำหรับเด็กผู้หญิง ในขณะที่เด็กผู้ชายจะเกิดขึ้นในช่วงระหว่างอายุ 12-16 ปี โดยเป็นช่วงวัยที่กำลังเปลี่ยนผ่านจากวัยเด็กไปสู่วัยผู้ใหญ่ ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ ความต้องการทางเพศ รวมทั้งพฤติกรรมการเข้าสังคม หากเข้าใจและปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงนี้ได้จะทำให้วัยรุ่นและคนครอบครัวก้าวข้ามช่วงเวลาสำคัญนี้ไปได้ด้วยความเข้าใจอันดีและมีความสุข [embed-health-tool-ovulation] พัฒนาการของวัยรุ่น ด้านร่างกายและระบบสืบพันธุ์ การเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกายในวัยรุ่นนั้นรวมไปถึงกระบวนการพัฒนาของระบบสืบพันธ์ ซึ่งในช่วงนี้ร่างกายจะเริ่มผลิตฮอร์โมนเพศที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของอวัยวะต่าง ๆ ทำให้น้ำหนักและส่วนสูงเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน นอกจากนั้นยังรวมไปถึงการมีกลิ่นตัว มีสิวขึ้น และเริ่มมีขนขึ้นตามร่างกายและอวัยวะส่วนต่าง ๆ เช่น รักแร้ อวัยวะเพศ หน้าแข้ง หน้าอก การเปลี่ยนแปลงในวัยรุ่นเพศหญิง ที่สังเกตเห็นได้ชัดเจน ได้แก่ หน้าอกจะเริ่มขยาย เริ่มมีเต้านม มีขนขึ้นบริเวณอวัยวะเพศ มีประจำเดือนซึ่งหมายถึงร่างกายพร้อมที่จะสืบพันธุ์หรือมีลูกได้นั่นเอง การเปลี่ยนแปลงในวัยรุ่นเพศชาย ที่สังเกตเห็นได้ชัดเจน ได้แก่ เสียงเริ่มแตกและแหบพร่า อวัยวะเพศหรือองคชาตจะมีขนาดใหญ่ขึ้น อวัยวะเพศเริ่มมีการแข็งตัวเมื่อมีความต้องการทางเพศ มีการหลั่งน้ำอสุจิเมื่อถึงจุดสุดยอด ฝันเปียก ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกาย มักเกี่ยวข้องกับระบบสืบพันธุ์และความต้องการทางเพศ วัยรุ่นจะเริ่มสำรวจตนเองและเริ่มมีความต้องการทางเพศ ผู้ปกครองจึงควรให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง โดยเฉพาะเรื่องของการป้องกันตนเองจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ รวมทั้งการรู้จักใส่ถุงยางอนามัยเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์โดยไม่พร้อม เป็นต้น อย่างไรก็ตาม พัฒนาการของวัยรุ่น ในด้านร่างกายนี้จะแตกต่างกันไปในแต่ละคน บางรายอาจจะมีพัฒนาการเร็ว ในขณะที่บางรายอาจมีพัฒนาการช้า ซึ่งอาจทำให้เกิดความกดดันหรือความเครียดได้หากพบว่าตนเองมีพัฒนาการที่แตกต่างจากกลุ่มเพื่อน ผู้ปกครองจึงมีส่วนสำคัญในการอธิบายให้ลูกวัยรุ่นเข้าใจในจุดนี้ พัฒนาการของวัยรุ่น ด้านสมองและความคิด ระดับฮอร์โมนและพัฒนาการด้านสมองล้วนเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของร่างกายและอารมณ์ เนื่องจากก่อให้เกิดพัฒนาการในด้านการใช้เหตุผล […]


วัยรุ่น

โรคเป็นสาวก่อนวัยอันควร คืออะไร รักษาอย่างไร

โรคเป็นสาวก่อนวัยอันควร หมายถึง ภาวะที่ร่างกายของเด็กผู้หญิงเติบโตสู่ภาวะเจริญพันธุ์เร็วกว่าปกติ หรือเร็วกว่าค่าอายุเฉลี่ยของเด็กในวัยเดียวกัน โดยจะพิจารณาว่าเด็กคนไหนเป็น โรคเป็นสาวก่อนวัยอันควรเมื่อร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงก่อนอายุ 8 ปี นอกจากนี้ อาจพบได้ในเด็กผู้ชายเช่นกัน เรียกว่า โรคเป็นหนุ่มก่อนวัยอันควร โดยร่างกายจะเป็นหนุ่มก่อนอายุ 9 ปีในเด็กผู้ชาย [embed-health-tool-ovulation] โรคเป็นสาวก่อนวัยอันควร คืออะไร โรคเป็นสาวก่อนวัยอันควร (Precocious puberty) หมายถึง ภาวะที่เด็กเปลี่ยนผ่านไปสู่วัยเจริญพันธุ์เร็วกว่าค่าเฉลี่ย โดยปกติ เด็กผู้หญิงจะเริ่มเป็นสาวเมื่ออายุเฉลี่ยประมาณ 10 ปี และเด็กผู้ชายจะเริ่มเป็นหนุ่มเมื่ออายุเฉลี่ยประมาณ 11 ปี โดยเด็กผู้หญิงที่เรียกว่าเป็น โรคเป็นสาวก่อนวัยอันควร จะมีสัญญาณเตือนของภาวะเจริญพันธุ์เมื่ออายุประมาณ 8 ปี และเด็กผู้ชาย อาจเป็นโรคเป็นหนุ่มก่อนวัยอันควร เมื่อมีสัญญาณเตือนภาวะเจริญพันธุ์เมื่ออายุประมาณ 9 ปี อาการ โรคเป็นสาวก่อนวัยอันควร อาการ โรคเป็นสาวก่อนวัยอันควร สามารถสังเกตได้จากการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ดังนี้ เริ่มมีขนขึ้นตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น แขน ขา รักแร้ และขนขึ้นบริเวณอวัยวะเพศ ร่างกายสูงขึ้นหรือน้ำหนักเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วผิดปกติ หน้าอกเริ่มขยาย สะโพกผาย เริ่มมีส่วนเว้าส่วนโค้ง มีสิวขึ้นตามใบหน้า หรือบริเวณแผ่นหลัง […]

ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา

กำลังมองหาเรื่องราวในการเลี้ยงดูบุตรใช่หรือไม่?

เข้าร่วมชุมชนการเลี้ยงดูบุตรและแลกเปลี่ยนข้อมูลกับคุณแม่และคุณพ่อคนอื่น ๆ เข้าร่วมชุมชนได้เลย!





ad iconโฆษณา

ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของเรา

ทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของ Hello คุณหมอ ประกอบไปด้วยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มาร่วมสร้างสรรค์บทความในเว็บไซต์ของเราตามความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญของเราจะช่วยรับรองว่าข้อมูลด้านสุขภาพของเราถูกต้อง เป็นปัจจุบัน และตรงตามหลักฐานจากงานวิจัยล่าสุด
ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรามุ่งมั่นเต็มที่ในการช่วยให้คุณได้รับข้อมูลและความรู้ด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือ เข้าใจง่าย และเป็นประโยชน์ และพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพกับคุณเสมอ เพื่อให้คุณได้รับทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น

ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ชุมชน