สุขภาพเป็นเรื่องสำคัญที่เราไม่ควรละเลย โดยเฉพาะการปล่อยให้มี ไขมันสะสม จำนวนมากอยู่ตามจุดต่าง ๆ ภายใต้ผิวหนังของร่างกาย เนื่องจาก ดูผิวเผินร่างกายของคุณอาจไม่แสดงอาการใด ๆ แต่หากเวลาผ่านไป ไขมันสะสมนี้อาจแปรเปลี่ยน หรือนำพาโรคเรื้อรังต่าง ๆ มาสู่ร่างกายของคุณได้ แต่ไขมันสะสมนั้นจะส่งผลให้เกิดโรคเรื้อรังอะไรได้บ้าง แล้วมันทำลายสุขภาพอย่างไร ติดตามได้ในบทความนี้ของ Hello คุณหมอ
ไขมันสะสม คืออะไร
ไขมันสะสม (Subcutaneous Fat) มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ไขมันใต้ผิวหนัง” โดยเป็นไขมันที่เกิดจากพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่มีแคลอรี่ในปริมาณมาก และไม่ได้รับการเผาผลาญด้วยการออกกำลังกายเสียส่วนใหญ่ นอกจากนั้นผู้ที่มีภาวะดื้ออินซูลิน ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ก็สามารถเกิดภาวะ ไขมันใต้ผิวหนัง ได้เช่นกัน เรื่องจากผู้ป่วยโรคนี่ร่างกายอาจทำหน้าที่สลายไขมันได้ยาก จนทำให้เกิดไขมันสะสมภายในช่องท้อง และนำไปสู่การเกิดโรคต่าง ๆ ตามมา
ความเสี่ยงก่อให้เกิดโรคจากไขมันสะสม
หากร่างกายมี ไขมันใต้ผิวหนัง เป็นเวลานาน โดยไม่ได้รับการเผาผลาญและเปลี่ยนเป็นพลังงานเพื่อนำมาใช้ในแต่ละวัน เมื่อคุณอายุมากขึ้น หรือมีน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น ก็สามารถส่งทำให้เกิดโรคเรื้อรังต่าง ๆ เหล่านี้ได้
- โรคเบาหวานชนิดที่ 2
- โรคหัวใจ ซึ่งมาพร้อมกับอัตราการเต้นของหัวใจที่ผิดปกติ
- ความดันโลหิตสูง
- โรคมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งเต้านม
- ไขมันพอกตับ
- โรคหลอดเลือดในสมอง
- โรคอัลไซเมอร์
- โรคไต
- ภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ
บางกรณี อาจทำให้ร่างกายคุณได้รับโรคดังกล่าวโรคใดโรคหนึ่ง หรือสามารถเป็นพร้อมกันหลาย ๆ โรคได้ ดังนั้น หากคุณยังรักสุขภาพตนเอง และอยากเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง โปรดขอคำปรึกษาจากแพทย์ พร้อมตรวจร่างกายเพิ่มเติมเพื่อรับวิธีการดูแลอย่างถูกต้อง ก่อนเกิด ไขมันใต้ผิวหนัง จำนวนมาก
วิธีกำจัด ไขมันใต้ผิวหนัง ง่าย ๆ ที่คุณควรลอง
สำหรับวิธีการลดไขมันสะสม ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวันบางอย่างให้มีระเบียบวินัยมากขึ้น เป็นวิธีที่คุณสามารถทำเองได้ง่าย ๆ ที่บ้าน โดยวิธีการกำจัดไขมันใต้ผิวหนัง สามารถทำได้ดังนี้
- เลือกรับประทานอาหารที่ประกอบด้วยโปรตีน ผัก ผลไม้ และหลีกเลี่ยงอาหารที่ให้น้ำตาลสูง หากคุณต้องการสารให้ความหวาน ควรเลือกจากส่วนประกอบที่สกัดจากธรรมชาติแคลอรี่ต่ำ เช่น น้ำเชื่อมหญ้าหวาน เป็นต้น
- การออกกำลังกายในรูปแบบแอโรบิค คาร์ดิโอ พร้อมกับฝึกฝนความแข็งแรงของมวลกล้ามเนื้อร่วม
- ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ลดระดับความเครียดลง เพราะความเครียดและความวิตกกังวล จะส่งผลให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ออกมา
สำหรับบางคนที่ต้องการปรับเปลี่ยนวิธีการรับประทานอาหาร และออกกำลังกาย อาจจำเป็นต้องได้รับคำปรึกษาจากแพทย์ นักโภชนาการ หรือเทรนเนอร์เสียก่อน นอกจากนั้น อาจจะต้องมีการตรวจวินิจฉัยอาการที่คุณเป็นอยู่ร่วมด้วย เพื่อจะได้วางแผนการปรับรูปแบบวิธีการรับประทานอาหาร และออกกำลังกายให้เหมาะสมกับคุณ ไปพร้อม ๆ กับการมีสุขภาพที่แข็งแรง
เช็ก BMI ประเมินความเสี่ยงจากไขมันสะสม
แม้ไขมันสะสมจะมองเห็นได้จากรูปร่างบางส่วน แต่การประเมินความเสี่ยงด้านสุขภาพควรมีตัวชี้วัดที่ชัดเจน แนะนำให้เริ่มจาก ค่า BMI (ดัชนีมวลกาย) ซึ่งช่วยประเมินภาพรวมว่าน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ปกติ น้ำหนักเกิน หรืออ้วน เพื่อใช้เป็นข้อมูลตั้งเป้าหมายลดไขมันและวางแผนปรับพฤติกรรมให้เหมาะกับร่างกายมากขึ้น
คำนวณ BMI ของคุณได้ที่นี่
[embed-health-tool-bmi]
BMI ช่วยอะไรได้บ้าง?
- ช่วยประเมินสถานะน้ำหนักโดยรวมได้รวดเร็ว
- ช่วยตั้งเป้าหมายการลดน้ำหนักให้ชัดเจนและเหมาะกับตัวเอง
- ช่วยติดตามแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนัก เมื่อปรับอาหารและออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง
- เป็นข้อมูลเบื้องต้นก่อนปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เพื่อวางแผนดูแลสุขภาพแบบเฉพาะบุคคล
BMI เป็นเพียงการประเมินเบื้องต้น ไม่สามารถใช้บ่งบอกได้ว่าร่างกายมีมวลกล้ามเนื้อหรือสัดส่วนไขมันเท่าไหร่ หากมีโรคประจำตัว ตั้งครรภ์ หรือมีข้อกังวลด้านสุขภาพ ควรปรึกษาคุณหมอก่อนเริ่มลดน้ำหนักอย่างจริงจัง
อยากได้แนวทางดูแลสุขภาพและคุมน้ำหนักแบบทำตามได้จริง?
หากคุณมีไขมันสะสมเยอะ น้ำหนักเริ่มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หรือมีโรคร่วม เช่น เบาหวาน ความดัน ไขมันในเลือดสูง การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญจะช่วยประเมินความเสี่ยง วางแผนโภชนาการและการออกกำลังกายให้เหมาะกับร่างกาย รวมถึงติดตามผลได้อย่างปลอดภัยและต่อเนื่อง โดยเฉพาะในคนที่ลองปรับพฤติกรรมเองแล้วแต่ยังไม่เห็นผล




















