ยาชา ปลอดภัยแค่ไหน เรื่องที่คุณควรรู้ เกี่ยวกับการใช้ ยาชา

ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย ทีม Hello คุณหมอ


เขียนโดย พลอย วงษ์วิไล · แก้ไขล่าสุด 11/05/2020

    ยาชา ปลอดภัยแค่ไหน เรื่องที่คุณควรรู้ เกี่ยวกับการใช้ ยาชา

    ยาชานั้นแม้ว่าจะเป็นยาระงับอาการปวดที่คุ้นหูของเราหลายคน แต่ใช่ว่าทุกคนจะคุ้นเคยกับยาชนิดนี้ และอาจมีคนไม่น้อยที่รู้สึกกังวลใจเกี่ยวกับความปลอดภัยของการใช้ยาชา บทความนี้ Hello คุณหมอ จะมานำเสนอ เรื่องน่ารู้ ก่อนการใช้ ยาชา เพื่อช่วยตอบข้อสงสัย และคลายความกังวลใจให้กับคุณผู้อ่าน

    ยาชาคืออะไร

    ยาชา หรือยาชาเฉพาะที่ (Local Anesthesia) หมายถึงยาระงับความรู้สึกที่ทำให้ร่างกายบริเวณใดบริเวณหนึ่งเกิดอาการชา และไม่รับรู้ความรู้สึก หรือรับความรู้สึกได้น้อยลง ยาชานั้นจะทำงานโดยการยับยั้งกระแสประสาทที่รับรู้อาการปวดไม่ให้ไปสู่สมอง ทำให้เราไม่สามารถรับรู้อาการปวดในบริเวณที่เราใช้ยาชาได้

    ยาชานั้นสามารถทำให้คุณไม่รับรู้ความรู้สึกได้ แต่ไม่ได้ทำให้คุณสลบ ดังนั้นคุณจึงจะยังมีสติอยู่ครบถ้วนตลอดกระบวนการผ่าตัดนั้นๆ ในบางครั้งยานี้ก็อาจใช้เป็นยากดประสาทเพื่อให้คุณรู้สึกสงบและผ่อนคลายมากขึ้น

    ยาชาเฉพาะที่นั้นจะใช้สำหรับ

    • การผ่าตัดเล็กๆ ที่ไม่จำเป็นใช้ยาสลบ เช่น การผ่าตัดหูด
    • กระบวนการผ่าตัดที่สามารถทำได้อย่างรวดเร็ว และผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องพักรักษาค้างคืน
    • ทันตกรรมต่างๆ เช่น การผ่าฟันคุด หรือการถอนฟัน
    • กระบวนการผ่าตัดที่ไม่จำเป็นต้องให้กล้ามเนื้อของผู้ป่วยคลายตัว หรือหมดสติ
    • ยาชาเหล่านี้จะออกฤทธิ์เร็ว ใช้เวลาเพียงแค่ 2-5 นาที ก่อนจะหมดฤทธิ์ภายในระยะเวลาไม่เกิน 3 ชั่วโมง

    ประเภทต่างๆ ของยาชา

    ยาชานั้นมีอยู่สองประเภทหลักๆ คือ ยาชาสำหรับทา และยาชาสำหรับฉีด โดยการเลือกใช้รูปแบบของยาชา และขนาดยาชา นั้นจะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ตั้งแต่อายุ น้ำหนักตัว การแพ้ยา ประเภทของการรักษา หรือโรคที่กำลังเป็นอยู่ การเลือกรูปแบบของยาชาให้เหมาะสมจะทำให้จัดการกับอาการปวดได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

    ยาชาสำหรับทา

    ยาชาสำหรับทาใช้สำหรับทาโดยตรงลงบนผิวหนังหรือเนื้อเยื่อเมือกที่ต้องการ เช่น ภายในปาก จมูก หรือลำคอ ยาชาสำหรับทาอาจใช้สำหรับการเย็บแผล การตัดไหม การฉีดยา การใส่สายน้ำเกลือ สายสวน หรือต่อท่อต่างๆ เข้าสู่ร่างกาย การผ่าตัดดวงตา เช่น ผ่าตัดต้อกระจก การรักษาด้วยเลเซอร์ และการส่องกล้อง

    รูปแบบของยาชาสำหรับทา

    • ยาน้ำ
    • ยาครีม
    • ยาเจล
    • ยาพ่น
    • แผ่นแปะยา

    นอกจากนี้ คุณยังอาจหาซื้อยาชาที่ขายตามร้านขายยาได้ เพื่อให้สำหรับบรรเทาอาการปวดจากการปวดฟัน ปวดเหงือก เจ็บแผล แมลงกัดต่อย เจ็บคอ หรือแผลลวกระดับเบา

    ยาชาสำหรับฉีด

    โดยปกติแล้วยาชาสำหรับฉีดนี้จะใช้โดยแพทย์หรือทันตแพทย์เท่านั้น แพทย์จะฉีดยาชาเข้าในบริเวณที่ต้องการให้เกิดอาการชาโดยตรงก่อนการผ่าตัด โดยกระบวนการที่ต้องใช้ยาชาสำหรับฉีดอาจมีดังต่อไปนี้

    • ทันตกรรมต่างๆ เช่น ผ่าฟันคุด รักษารากฟัน ถอนฟัน
    • การผ่าตัดชิ้นเนื้อผิวหนังบริเวณเล็กๆ เช่น หูด
    • การผ่าตัดกำจัดเนื้องอกใต้ผิวหนัง
    • การกำจัดไฝ
    • การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ
    • การตรวจวินิจฉัยโรค เช่น การเจาะไขสันหลัง

    ความเสี่ยงที่อาจมาพร้อมกับการใช้ยาชา

    ยาชาเฉพาะที่จัดได้ว่าเป็นวิธีการระงับความเจ็บปวดที่ปลอดภัย และมีความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงน้อยที่สุด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการใช้ยาชานั้นจะไม่ส่งผลเสียอะไรเลย 100% เสมอไป เพราะการใช้ยาชายังสามารถทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ และในบางครั้งก็อาจทำให้เกิดอาการที่รุนแรงได้เช่นกัน โดยปกติแล้วผลข้างเคียงของการใช้ยาชามักจะมีเพียงอาการเบาๆ และคงอยู่ไม่นาน แค่เพียงเท่าระยะที่ยาชาออกฤทธิ์เท่านั้น

    ผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้น

    • รู้สึกปวดหรือแสบเล็กน้อยในบริเวณที่ฉีดยา
    • เกิดรอยช้ำในบริเวณที่ฉีดยา
    • ตาพร่า มองเห็นไม่ชัด
    • วิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน
    • ปวดหัว
    • กล้ามเนื้อกระตุก
    • รู้สึกอ่อนแรงไม่หาย
    • หูอื้อ
    • มีรสขมภายในปาก
    • อาการแพ้ เช่น ผดผื่น ลมพิษ คัน และหายใจไม่ออก

    ในกรณีที่หายาก การใช้ยาชาเกินขนาด ก็อาจทำให้เกิดความเป็นพิษจากยาชาได้ โดยเฉพาะเด็กเล็กที่จะมีโอกาสเกิดภาวะนี้ได้มากกว่าผู้ใหญ่เนื่องจากมีน้ำหนักตัวน้อยกว่า ยาชานั้นอาจจะส่งผลกระทบต่อระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้ระบบประสาทส่วนกลางนั้นทำงานได้ช้าจนเกินไป นำไปสู่อาการหัวใจเต้นชาลงและหายใจช้าลง ทำให้เกิดอาการชัก ความดันโลหิตต่ำ และอาจส่งผลให้หัวใจหยุดเต้นได้ในที่สุด

    Hello Health Group ม่ได้ให้คำปรึกษาด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค และการรักษาโรคแต่อย่างใด

    Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

    ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย

    ทีม Hello คุณหมอ


    เขียนโดย พลอย วงษ์วิไล · แก้ไขล่าสุด 11/05/2020

    โฆษณา

    คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

    โฆษณา
    โฆษณา
    โฆษณา